title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้นป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาในประเทศ เตรียมบูรณาการกรมศุลกากรสุ่มตรวจหน้าด่านทั่วประเทศ พร้อมบูรณาการความร่วมมือ สคบ. อย. ตรวจควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้นป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาในประเทศ เตรียมบูรณาการกรมศุลกากรสุ่มตรวจหน้าด่านทั่วประเทศ พร้อมบูรณาการความร่วมมือ สคบ. อย. ตรวจควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริโภค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ สมอ. เพิ่มมาตรการเชิงรุกในการตรวจควบคุมการจําหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่มีการโฆษณาผ่านทางทีวีดิจิทัล และสื่อออนไลน์ ในช่วงที่ประชาชนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น อย. และ สคบ. ร่วมกันทํางานเชิงรุกเพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าในท้องตลาดอย่างเข้มงวด นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังเข้ารับตําแหน่งเลขาธิการ สมอ. ว่า สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมไม่ให้สินค้าด้อยคุณภาพทะลักเข้ามาในประเทศเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1) บูรณาการความร่วมมือกับกรมศุลกากรในการสุ่มตรวจสินค้าที่ด่านศุลกากรทั่วประเทศ 2) เพิ่มความถี่ในการตรวจติดตามเมื่อผู้รับใบอนุญาตได้นําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในประเทศ โดยบูรณาการความร่วมมือกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 3) สมอ. จะตรวจติดตาม ณ โรงงานที่ตั้งในต่างประเทศทันทีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย เพราะที่ผ่านมา สมอ. ไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจโรงงานในต่างประเทศได้ หลังจากนี้ สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจติดตามมากยิ่งขึ้น เพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคให้ได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะเพิ่มมาตรการความเข้มข้นในการตรวจควบคุมการจําหน่ายสินค้าแล้ว ยังบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการตรวจควบคุมสินค้าในท้องตลาด รวมทั้งร้านค้าออนไลน์ ตลอดจนควบคุมการตลาดแบบตรง และการจําหน่ายสินค้าผ่านทางรายการโทรทัศน์ โดยมีการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อประโยชน์ในการตรวจติดตามและควบคุมสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน ก่อนถึงมือผู้บริโภค” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้นป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาในประเทศ เตรียมบูรณาการกรมศุลกากรสุ่มตรวจหน้าด่านทั่วประเทศ พร้อมบูรณาการความร่วมมือ สคบ. อย. ตรวจควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้น สกัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภค สมอ. ยกระดับมาตรการเข้มข้นป้องกันสินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาในประเทศ เตรียมบูรณาการกรมศุลกากรสุ่มตรวจหน้าด่านทั่วประเทศ พร้อมบูรณาการความร่วมมือ สคบ. อย. ตรวจควบคุมสินค้าอุปโภค บริโภค ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับผู้บริโภค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ สมอ. เพิ่มมาตรการเชิงรุกในการตรวจควบคุมการจําหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่มีการโฆษณาผ่านทางทีวีดิจิทัล และสื่อออนไลน์ ในช่วงที่ประชาชนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น อย. และ สคบ. ร่วมกันทํางานเชิงรุกเพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าในท้องตลาดอย่างเข้มงวด นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังเข้ารับตําแหน่งเลขาธิการ สมอ. ว่า สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจควบคุมไม่ให้สินค้าด้อยคุณภาพทะลักเข้ามาในประเทศเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วย 3 มาตรการหลัก ได้แก่ 1) บูรณาการความร่วมมือกับกรมศุลกากรในการสุ่มตรวจสินค้าที่ด่านศุลกากรทั่วประเทศ 2) เพิ่มความถี่ในการตรวจติดตามเมื่อผู้รับใบอนุญาตได้นําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในประเทศ โดยบูรณาการความร่วมมือกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 3) สมอ. จะตรวจติดตาม ณ โรงงานที่ตั้งในต่างประเทศทันทีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย เพราะที่ผ่านมา สมอ. ไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจโรงงานในต่างประเทศได้ หลังจากนี้ สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจติดตามมากยิ่งขึ้น เพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคให้ได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะเพิ่มมาตรการความเข้มข้นในการตรวจควบคุมการจําหน่ายสินค้าแล้ว ยังบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการตรวจควบคุมสินค้าในท้องตลาด รวมทั้งร้านค้าออนไลน์ ตลอดจนควบคุมการตลาดแบบตรง และการจําหน่ายสินค้าผ่านทางรายการโทรทัศน์ โดยมีการส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อประโยชน์ในการตรวจติดตามและควบคุมสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน ก่อนถึงมือผู้บริโภค” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ำเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม
วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ําเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ําเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม วันที่ 1 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจ ผลการดําเนินงานจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตุลาคม 2563 - กันยายน 2564) ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รายงานความคืบหน้า หน่วยงานของรัฐที่ได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและก่อหนี้แล้วจํานวนทั้งสิ้น 5,247,846 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 98.34 ของจํานวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่จัดหาได้คิดเป็น 1,333,622.22 ล้านบาท ทําให้รัฐสามารถประหยัดงบประมาณได้ 78,667.29 ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ 5.57 ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา ซึ่งเป็นผลจากวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่นําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ส่งผลให้ขั้นตอนการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้เกิดความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งเป็นต้นแบบการบูรณาการระบบฐานข้อมูลภาครัฐ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยต่อว่า สําหรับวิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) สามารถประหยัดงบประมาณได้มากที่สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประหยัดงบประมาณได้ร้อยละ 15.14 ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) มีมูลค่ามากที่สุดถึงร้อยละ 55.66 ของมูลค่างบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าถึง 919,989.69 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง พบหน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงมากที่สุดเป็นจํานวน 5,200,064 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 97.45 ของจํานวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด “รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเร่งรัดการเบิกจ่าย วางแผนปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ท่านนายกฯ สั่งการให้กรมบัญชีกลางเตรียมแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายให้มีการก่อหนี้ภายในไตรมาส 2 เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้หน่วยงานของรัฐ การประยุกต์เอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อพัฒนาประเทศและระบบการทํางานของรัฐ เพื่อทําให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั้ง SMEs และ Startup ให้สามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น และที่สําคัญต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้เน้นย้ําและให้ความสําคัญเสมอมา” นายธนกร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ำเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ําเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจ ผลการจัดซื้อจัดจ้างปี’64 ประหยัดงบฯ กว่า 7.8 หมื่นล้านบาท ย้ําเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน อย่างเป็นธรรม วันที่ 1 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจ ผลการดําเนินงานจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ตุลาคม 2563 - กันยายน 2564) ซึ่งกรมบัญชีกลางได้รายงานความคืบหน้า หน่วยงานของรัฐที่ได้ดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและก่อหนี้แล้วจํานวนทั้งสิ้น 5,247,846 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 98.34 ของจํานวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่จัดหาได้คิดเป็น 1,333,622.22 ล้านบาท ทําให้รัฐสามารถประหยัดงบประมาณได้ 78,667.29 ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ 5.57 ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา ซึ่งเป็นผลจากวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่นําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ส่งผลให้ขั้นตอนการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทําให้เกิดความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งเป็นต้นแบบการบูรณาการระบบฐานข้อมูลภาครัฐ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยต่อว่า สําหรับวิธีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) สามารถประหยัดงบประมาณได้มากที่สุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประหยัดงบประมาณได้ร้อยละ 15.14 ของวงเงินงบประมาณในการจัดหา การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) มีมูลค่ามากที่สุดถึงร้อยละ 55.66 ของมูลค่างบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าถึง 919,989.69 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง พบหน่วยงานของรัฐจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงมากที่สุดเป็นจํานวน 5,200,064 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 97.45 ของจํานวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด “รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเร่งรัดการเบิกจ่าย วางแผนปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ท่านนายกฯ สั่งการให้กรมบัญชีกลางเตรียมแผนเร่งรัดการเบิกจ่ายให้มีการก่อหนี้ภายในไตรมาส 2 เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว รวมถึงมีแผนที่จะปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างให้หน่วยงานของรัฐ การประยุกต์เอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) เพื่อพัฒนาประเทศและระบบการทํางานของรัฐ เพื่อทําให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยทั้ง SMEs และ Startup ให้สามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น และที่สําคัญต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้เน้นย้ําและให้ความสําคัญเสมอมา” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” มอบหมายสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นำสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ำดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 “อนุชา” มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นําสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ําดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด “อนุชา” มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นําสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ําดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด ห้ามละเว้น วันที่ 8 กรกฎาคม 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการจําหน่ายสลากเกินราคา มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จกรณี ยี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป ต่างพากันใช้เทคนิคทํากําไรจากสลากดิจิทัล ด้วยการกดซื้อสลากดิจิทัล โดยเน้นเอาเฉพาะเลขชุด จากนั้น ก็กดซื้อกันตามกําลังทรัพย์แล้วบันทึกไว้ นํามาจําหน่ายในกลุ่มโซเซียลด้วยราคาแพงที่เลขละ 100-120 บาท ทําให้สลากดิจิทัลถูกซื้อหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะเลขชุด นายอนุชาฯ ย้ํา การกระทําดังกล่าว เป็นความผิดตามฐานขายสลากฯ เกินราคา ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แนะให้ประชาชนซื้อสลากดิจิทัลโดยตรง ผ่านแอปเป๋าตังเท่านั้น ซึ่งระบบมีความปลอดภัยสูง ทั้งความเป็นเจ้าของสลาก และการขึ้นเงินรางวัล นายอนุชาฯ สั่งการให้สํานักงานสลากฯ ตรวจสอบความเป็นเจ้าของสลากดิจิทัลฯ หากพบการนําไปขายต่อหรือขายเกินราคา ให้เร่งดําเนินการ เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยห้ามละเว้น พร้อมขอให้ประชาชนแจ้งเบาะแสขบวนการนําสลากดิจิทัลไปขายต่อเกินราคา โทร 02-528-9999 หรือเจ้าหน้าที่รัฐ บริเวณใกล้เคียง ยืนยันรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาสลากแพงให้เกิดผลเป็นรูปธรรม การดําเนินการจําหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอป “เป๋าตัง” เพื่อให้ประชาชนได้ซื้อสลากฯ ในราคา 80 บาทได้จริง ไม่ต้องการให้ผู้ซื้อถูกเอารัดเอาเปรียบ ขอให้ยี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป อย่าฉวยโอกาสซื้อแล้วนําไปจําหน่ายเกินราคา ----------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” มอบหมายสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นำสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ำดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 “อนุชา” มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นําสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ําดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด “อนุชา” มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จ กรณียี่ปั๊ว พ่อค้าแม่ค้าปลีก นําสลากดิจิทัลไปขายต่อในกลุ่มไลน์เกินราคา ย้ําดําเนินคดีอย่างเคร่งครัด ห้ามละเว้น วันที่ 8 กรกฎาคม 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการจําหน่ายสลากเกินราคา มอบหมายสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จกรณี ยี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป ต่างพากันใช้เทคนิคทํากําไรจากสลากดิจิทัล ด้วยการกดซื้อสลากดิจิทัล โดยเน้นเอาเฉพาะเลขชุด จากนั้น ก็กดซื้อกันตามกําลังทรัพย์แล้วบันทึกไว้ นํามาจําหน่ายในกลุ่มโซเซียลด้วยราคาแพงที่เลขละ 100-120 บาท ทําให้สลากดิจิทัลถูกซื้อหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะเลขชุด นายอนุชาฯ ย้ํา การกระทําดังกล่าว เป็นความผิดตามฐานขายสลากฯ เกินราคา ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แนะให้ประชาชนซื้อสลากดิจิทัลโดยตรง ผ่านแอปเป๋าตังเท่านั้น ซึ่งระบบมีความปลอดภัยสูง ทั้งความเป็นเจ้าของสลาก และการขึ้นเงินรางวัล นายอนุชาฯ สั่งการให้สํานักงานสลากฯ ตรวจสอบความเป็นเจ้าของสลากดิจิทัลฯ หากพบการนําไปขายต่อหรือขายเกินราคา ให้เร่งดําเนินการ เพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยห้ามละเว้น พร้อมขอให้ประชาชนแจ้งเบาะแสขบวนการนําสลากดิจิทัลไปขายต่อเกินราคา โทร 02-528-9999 หรือเจ้าหน้าที่รัฐ บริเวณใกล้เคียง ยืนยันรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาสลากแพงให้เกิดผลเป็นรูปธรรม การดําเนินการจําหน่ายสลากดิจิทัลผ่านแอป “เป๋าตัง” เพื่อให้ประชาชนได้ซื้อสลากฯ ในราคา 80 บาทได้จริง ไม่ต้องการให้ผู้ซื้อถูกเอารัดเอาเปรียบ ขอให้ยี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป อย่าฉวยโอกาสซื้อแล้วนําไปจําหน่ายเกินราคา ----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ออกมาตรการเร่งช่วยเหลือลูกค้า Soft Loan ธปท. ครบกำหนด ผุดสินเชื่อช่วยประคับประคอง รักษาการจ้างงาน ฟื้นธุรกิจราบรื่น
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2565 ธพว. ออกมาตรการเร่งช่วยเหลือลูกค้า Soft Loan ธปท. ครบกําหนด ผุดสินเชื่อช่วยประคับประคอง รักษาการจ้างงาน ฟื้นธุรกิจราบรื่น SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดย ก.คลัง และ ธปท. ผุดโครงการสินเชื่อวงเงิน 500 ลบ. ช่วยเหลือลูกค้าครบระยะเวลาชําระหนี้คืน “โครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท.” ให้ได้สินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ประคับประคองกิจการ รักษาการจ้างงาน และเดินหน้าฟื้นธุรกิจราบรื่น นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ธพว. ดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยการพาเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะผ่านโครงการสินเชื่อต้นทุนต่ํา (Soft Loan) ธปท. แม้ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายราย ยังอยู่ในช่วงพึ่งเริ่มกลับมาเดินหน้าธุรกิจอีกครั้ง จําเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ดังนั้น SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ได้ออก “โครงการสินเชื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้สินเชื่อ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท.” วงเงิน 500 ล้านบาท สนับสนุนลูกค้ากลุ่มที่มีหนี้คงค้างโครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท. ที่ครบกําหนดระยะเวลาชําระหนี้คืน ให้ยังคงได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถประคับประคองกิจการ รักษาการจ้างงาน และกลับมาเดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างราบรื่น สําหรับคุณสมบัติผู้กู้ ต้องเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีสินเชื่อคงค้างในโครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท. ด้านอัตราดอกเบี้ย เริ่มต้น MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.75%) ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 8 ปี และปลอดชําระหนี้เงินต้นสูงสุด 24 เดือน ให้ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ําประกันเต็มวงเงิน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ , ค่าธรรมเนียมชําระคืนเงินกู้ก่อนครบกําหนด และค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ สิ้นสุดรับคําขอกู้ 31 ธันวาคม 2566 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน สนใจใช้บริการสินเชื่อดังกล่าว สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ https://www.smebank.co.th/ , LINE Official Account : SME Development Bank เป็นต้น รวมถึง สาขาของ ธพว. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ออกมาตรการเร่งช่วยเหลือลูกค้า Soft Loan ธปท. ครบกำหนด ผุดสินเชื่อช่วยประคับประคอง รักษาการจ้างงาน ฟื้นธุรกิจราบรื่น วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2565 ธพว. ออกมาตรการเร่งช่วยเหลือลูกค้า Soft Loan ธปท. ครบกําหนด ผุดสินเชื่อช่วยประคับประคอง รักษาการจ้างงาน ฟื้นธุรกิจราบรื่น SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล โดย ก.คลัง และ ธปท. ผุดโครงการสินเชื่อวงเงิน 500 ลบ. ช่วยเหลือลูกค้าครบระยะเวลาชําระหนี้คืน “โครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท.” ให้ได้สินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ประคับประคองกิจการ รักษาการจ้างงาน และเดินหน้าฟื้นธุรกิจราบรื่น นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ธพว. ดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยการพาเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะผ่านโครงการสินเชื่อต้นทุนต่ํา (Soft Loan) ธปท. แม้ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายราย ยังอยู่ในช่วงพึ่งเริ่มกลับมาเดินหน้าธุรกิจอีกครั้ง จําเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ดังนั้น SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ได้ออก “โครงการสินเชื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้สินเชื่อ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท.” วงเงิน 500 ล้านบาท สนับสนุนลูกค้ากลุ่มที่มีหนี้คงค้างโครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท. ที่ครบกําหนดระยะเวลาชําระหนี้คืน ให้ยังคงได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถประคับประคองกิจการ รักษาการจ้างงาน และกลับมาเดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างราบรื่น สําหรับคุณสมบัติผู้กู้ ต้องเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่มีสินเชื่อคงค้างในโครงการ พ.ร.ก. Soft Loan ธปท. ด้านอัตราดอกเบี้ย เริ่มต้น MLR ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = 6.75%) ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 8 ปี และปลอดชําระหนี้เงินต้นสูงสุด 24 เดือน ให้ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ําประกันเต็มวงเงิน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ , ค่าธรรมเนียมชําระคืนเงินกู้ก่อนครบกําหนด และค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ สิ้นสุดรับคําขอกู้ 31 ธันวาคม 2566 หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน สนใจใช้บริการสินเชื่อดังกล่าว สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ https://www.smebank.co.th/ , LINE Official Account : SME Development Bank เป็นต้น รวมถึง สาขาของ ธพว. ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สนับสนุนการทํางาน และสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกร ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการศึกษาวิจัยความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ณ โรงแรมเดอะ รอยัล ริเวอร์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ริเริ่มให้มีการศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายและความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 เพื่อนําผลการศึกษามาใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของเจ้าหน้าที่และตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องเกษตรกรให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สภาพเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละภูมิภาค รวมทั้งหากมีการค้นพบแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการพัฒนาระบบและกระบวนการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรมและการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ถือเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงด้านอาหารของโลก อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพื้นที่ทั้งประเทศมีประมาณ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมถึง 149.25 ล้านไร่ มีเกษตรกรทั้งสิ้น 8,094,954 ครัวเรือน นโยบายของรัฐบาลรวมทั้งนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแหล่งน้ําอย่างเป็นระบบ ให้สามารถแก้ไขปัญหาน้ําแล้ง น้ําท่วม การขาดแคลนน้ําภาคการผลิต น้ําอุปโภคบริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ํา ซึ่งการพัฒนาและขยายพื้นที่ชลประทานให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรม การจัดระบบการบริหารจัดการแหล่งน้ํา การใช้น้ํา และการบริหารจัดการน้ําในระดับไร่นาและชุมชนที่เชื่อมโยงกับระบบชลประทาน รวมทั้งการจัดรูปที่ดินและพัฒนาพื้นที่ดินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคง และเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านผลผลิตทางการเกษตรกับนานาประเทศได้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งที่จะนําไปสู่เป้าหมาย "ภาคเกษตรมั่นคง เกษตรกรมั่งคั่ง ทรัพยากรยั้งยืน "การศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายฯ นั้นควรมีการรับฟังและปรับปรุงแก้ไขทุก ๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การทําเกษตรกรรม น้ําย่อมเป็นสิ่งสําคัญที่จําเป็นต้องใช้ในการทําการเกษตร ซึ่งการมีกรอบ มีกฎหมาย เพื่อกํากับและควบคุมดูแลการบริหารจัดการน้ํา จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในการใช้ทรัพยากรน้ําร่วมกัน การปรับปรุงกฎข้อบังคับต่าง ๆ จึงสมควรที่จะต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึงควรให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นด้วย และในส่วนของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขและรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะสอดคล้องกับสถานการณ์ สนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ และสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกรไปพร้อม ๆ กัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สนับสนุนการทํางาน และสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกร ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการศึกษาวิจัยความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 ณ โรงแรมเดอะ รอยัล ริเวอร์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ริเริ่มให้มีการศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายและความเหมาะสมของพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2558 เพื่อนําผลการศึกษามาใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของเจ้าหน้าที่และตอบสนองต่อความต้องการของพี่น้องเกษตรกรให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ สภาพเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละภูมิภาค รวมทั้งหากมีการค้นพบแนวทางใหม่ ๆ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการพัฒนาระบบและกระบวนการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรมและการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ถือเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงด้านอาหารของโลก อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพื้นที่ทั้งประเทศมีประมาณ 321 ล้านไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมถึง 149.25 ล้านไร่ มีเกษตรกรทั้งสิ้น 8,094,954 ครัวเรือน นโยบายของรัฐบาลรวมทั้งนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแหล่งน้ําอย่างเป็นระบบ ให้สามารถแก้ไขปัญหาน้ําแล้ง น้ําท่วม การขาดแคลนน้ําภาคการผลิต น้ําอุปโภคบริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ํา ซึ่งการพัฒนาและขยายพื้นที่ชลประทานให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรม การจัดระบบการบริหารจัดการแหล่งน้ํา การใช้น้ํา และการบริหารจัดการน้ําในระดับไร่นาและชุมชนที่เชื่อมโยงกับระบบชลประทาน รวมทั้งการจัดรูปที่ดินและพัฒนาพื้นที่ดินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการจัดระบบน้ําเพื่อเกษตรกรรม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคง และเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สามารถเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านผลผลิตทางการเกษตรกับนานาประเทศได้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งที่จะนําไปสู่เป้าหมาย "ภาคเกษตรมั่นคง เกษตรกรมั่งคั่ง ทรัพยากรยั้งยืน "การศึกษาผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายฯ นั้นควรมีการรับฟังและปรับปรุงแก้ไขทุก ๆ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การทําเกษตรกรรม น้ําย่อมเป็นสิ่งสําคัญที่จําเป็นต้องใช้ในการทําการเกษตร ซึ่งการมีกรอบ มีกฎหมาย เพื่อกํากับและควบคุมดูแลการบริหารจัดการน้ํา จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในการใช้ทรัพยากรน้ําร่วมกัน การปรับปรุงกฎข้อบังคับต่าง ๆ จึงสมควรที่จะต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึงควรให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นด้วย และในส่วนของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขและรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะสอดคล้องกับสถานการณ์ สนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ และสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องเกษตรกรไปพร้อม ๆ กัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท
วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท หวังให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วันที่ 5 เมษายน 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กรอบวงเงิน 35.69 ล้านบาทโดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติมพ.ศ.2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้(คกง.)เสนอ สําหรับโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมสู่ภูมิภาค ก่อให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศจากสินค้าเกษตรคุณภาพดีและผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมจากวัตถุดิบท้องถิ่น ขณะที่ระยะเวลาดําเนินโครงการอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-ธันวาคม 2565 กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรจํานวน 4,250 ราย พื้นที่ดําเนินการใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี ชุมพร ปทุมธานี พังงา เพชรบูรณ์ สกลนคร สมุทรสงครามและจังหวัดอุดรธานี มีกิจกรรมหลักได้แก่ 1.การปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น พัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตโดยนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 2.การส่งเสริมการจัดทําสารสกัด เช่น พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูป เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยให้แก่กลุ่มเป้าหมายในจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดประกอบด้วยกิจกรรมที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ ความพร้อมของบุคลากรในพื้นที่ และความพร้อมของพื้นที่ดําเนินโครงการ ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประกอบด้วย เกษตรกรในพื้นที่ดําเนินโครงการมีรายได้ประมาณ 60 ล้านบาทต่อปี และเกิดผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม 40 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังอนุมัติให้มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ขยายระยะเวลาดําเนินโครงการแผนงานการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด 19 จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2565 และอนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขยายระยะเวลาดําเนินกิจกรรมพัฒนา Platform การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2565 และเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงิน จากเดิม 20 ล้านบาท เป็น 21 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม วงเงิน 35.69 ล้านบาท หวังให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร วันที่ 5 เมษายน 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กรอบวงเงิน 35.69 ล้านบาทโดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติมพ.ศ.2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้(คกง.)เสนอ สําหรับโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมสู่ภูมิภาค ก่อให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศจากสินค้าเกษตรคุณภาพดีและผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมจากวัตถุดิบท้องถิ่น ขณะที่ระยะเวลาดําเนินโครงการอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-ธันวาคม 2565 กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรจํานวน 4,250 ราย พื้นที่ดําเนินการใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี ชุมพร ปทุมธานี พังงา เพชรบูรณ์ สกลนคร สมุทรสงครามและจังหวัดอุดรธานี มีกิจกรรมหลักได้แก่ 1.การปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น พัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตโดยนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 2.การส่งเสริมการจัดทําสารสกัด เช่น พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูป เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยให้แก่กลุ่มเป้าหมายในจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดประกอบด้วยกิจกรรมที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ ความพร้อมของบุคลากรในพื้นที่ และความพร้อมของพื้นที่ดําเนินโครงการ ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประกอบด้วย เกษตรกรในพื้นที่ดําเนินโครงการมีรายได้ประมาณ 60 ล้านบาทต่อปี และเกิดผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม 40 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังอนุมัติให้มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ขยายระยะเวลาดําเนินโครงการแผนงานการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด 19 จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2565 และอนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขยายระยะเวลาดําเนินกิจกรรมพัฒนา Platform การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2565 และเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงิน จากเดิม 20 ล้านบาท เป็น 21 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิด “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ในวันนี้ การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก และร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าให้แก่สมุนไพรไทย “สมุนไพร” ถือเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจและพืชสุขภาพที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชสมุนไพรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อม ๆ กับการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูง สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในระดับสากล เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งมั่นผลักดันให้สมุนไพรไทยมีศักยภาพการผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่สมุนไพร สามารถส่งออกและแข่งขันได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ผมได้เห็นถึงโอกาสในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยการนําผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยและแหล่งท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรให้เป็นจุดหมายการท่องเที่ยว และพัฒนาสู่การเป็นศุนย์กลางสุขภาพ (Wellness Center) และในปี 2580 รัฐบาลได้มุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของโลกหรือ “เวิล์ด เฮิร์บ ฮับ” (World Herb Hub) พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการทางการแพทย์ระดับโลก ผมขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแรงร่วมใจบูรณาการและขับเคลื่อนการพัฒนาการแพทย์และสมุนไพรไทยให้ก้าวหน้า เป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้แก่ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจในวันนี้ และขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ให้เป็นหนึ่งในการบริการเชิงเศรษฐกิจที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีให้แก่พี่น้องชาวไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ เพื่อร่วมกันเป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ในโอกาสนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ณ บัดนี้ ขอบคุณครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “สมุนไพรไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน สื่อมวลชน และผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิด “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ในวันนี้ การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ฯ ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก และร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าให้แก่สมุนไพรไทย “สมุนไพร” ถือเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจและพืชสุขภาพที่รัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชสมุนไพรที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อม ๆ กับการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูง สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในระดับสากล เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งมั่นผลักดันให้สมุนไพรไทยมีศักยภาพการผลิตในระดับอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่สมุนไพร สามารถส่งออกและแข่งขันได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ผมได้เห็นถึงโอกาสในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยการนําผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยและแหล่งท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรให้เป็นจุดหมายการท่องเที่ยว และพัฒนาสู่การเป็นศุนย์กลางสุขภาพ (Wellness Center) และในปี 2580 รัฐบาลได้มุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของโลกหรือ “เวิล์ด เฮิร์บ ฮับ” (World Herb Hub) พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการทางการแพทย์ระดับโลก ผมขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแรงร่วมใจบูรณาการและขับเคลื่อนการพัฒนาการแพทย์และสมุนไพรไทยให้ก้าวหน้า เป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้แก่ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจในวันนี้ และขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขและองค์กรภาคีเครือข่ายทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ให้เป็นหนึ่งในการบริการเชิงเศรษฐกิจที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีกินดีให้แก่พี่น้องชาวไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ เพื่อร่วมกันเป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ในโอกาสนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดงาน “งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 18” ณ บัดนี้ ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49924
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 สธ. รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนจากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน จํานวน 600 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 แก่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนจากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน จํานวน 600 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 แก่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ วันนี้ (22 กันยายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนชนิด Single Flow จํานวน 550 เครื่องจากนางคิม คยองซัน ผู้อํานวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และคณะ และรับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน ทางการแพทย์ จํานวน 50 เครื่อง และเครื่องอบฆ่าเชื้อไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ นาโนพลาสมา 1 ชุด จากนายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท นําวิวัฒน์การช่าง (1992) จํากัด เพื่อมอบให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยโควิด 19 นายอนุทิน กล่าวว่า ในนามรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทั้ง 2 คณะ ที่มีความห่วงใยและเห็นถึงความสําคัญในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 เครื่องผลิตออกซิเจนที่ได้รับมอบในวันนี้ มีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งโรงพยาบาลต่างๆ ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ยังคงจําเป็นต้องใช้ในการรักษา เมื่อผู้ป่วยได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยทําให้อาการดีขึ้น สามารถต่อสู้กับโรคโควิด 19 ได้ ลดอัตราการเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้กับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอื่นๆ และใช้เป็นเครื่องพ่นยาได้อีกด้วย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะรีบดําเนินการจัดส่งไปยังโรงพยาบาลที่ท่านได้ประสงค์บริจาคไว้เพื่อนําไปใช้ดูแลประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป **************************************** 22 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 สธ. รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนจากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน จํานวน 600 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 แก่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนจากองค์การยูนิเซฟ และภาคเอกชน จํานวน 600 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 แก่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ วันนี้ (22 กันยายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบเครื่องผลิตออกซิเจนชนิด Single Flow จํานวน 550 เครื่องจากนางคิม คยองซัน ผู้อํานวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และคณะ และรับมอบเครื่องผลิตออกซิเจน ทางการแพทย์ จํานวน 50 เครื่อง และเครื่องอบฆ่าเชื้อไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ นาโนพลาสมา 1 ชุด จากนายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท นําวิวัฒน์การช่าง (1992) จํากัด เพื่อมอบให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยโควิด 19 นายอนุทิน กล่าวว่า ในนามรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทั้ง 2 คณะ ที่มีความห่วงใยและเห็นถึงความสําคัญในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 เครื่องผลิตออกซิเจนที่ได้รับมอบในวันนี้ มีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งโรงพยาบาลต่างๆ ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ยังคงจําเป็นต้องใช้ในการรักษา เมื่อผู้ป่วยได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอต่อร่างกายจะช่วยทําให้อาการดีขึ้น สามารถต่อสู้กับโรคโควิด 19 ได้ ลดอัตราการเสียชีวิต นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้กับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอื่นๆ และใช้เป็นเครื่องพ่นยาได้อีกด้วย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะรีบดําเนินการจัดส่งไปยังโรงพยาบาลที่ท่านได้ประสงค์บริจาคไว้เพื่อนําไปใช้ดูแลประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป **************************************** 22 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข
วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ปมท. ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปลัดสุทธิพงษ์ ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข เสริมรากฐานสังคมคุณธรรม สร้างสรรค์ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัดสุทธิพงษ์ ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข เสริมรากฐานสังคมคุณธรรม สร้างสรรค์ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้อุทิศเสียสละตนเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 มี.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีการบริหารด้านทรัพยากรบุคคลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างศักยภาพ “ราชสีห์รุ่นใหม่” เพื่อบ่มเพาะเป็นข้าราชการน้ําดีทํางานรับใช้ประชาชนและประเทศชาติสนองตอบความคาดหวังของพี่น้องประชาชน โดยเมื่อช่วงเดือนมกราคม 65 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในตําแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ นักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ และนายช่างไฟฟ้าปฏิบัติงาน และในขณะนี้ ได้มีการประกาศผลการสอบแข่งขันฯ และเรียกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตําแหน่งดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ ได้มีข้าราชการสังกัดกรมอื่น ๆ โอนย้ายมาบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการขับเคลื่อนการทํางานในฐานะผู้นําการบูรณาการและประสานการปฏิบัติกับทุกกระทรวง ทบวง กรม ในระดับพื้นที่ มีประวัติความเป็นมาที่สั่งสมภารกิจอันสําคัญควบคู่กับการบริหารราชการแผ่นดิน จึงจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะ และเสริมสร้างค่านิยมความเป็น “ผู้นํา” ในการขับเคลื่อนภารกิจงานตามอํานาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ ระเบียบ กฎหมาย รวมถึงคุณธรรม จริยธรรม และการอํานวยประโยชน์พี่น้องประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา สถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้จัดให้มีการปฐมนิเทศข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการและที่โอนมารับราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ด้วยตนเอง ผ่านระบบ ZOOM ไปยังวิทยาลัยมหาดไทย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ให้กับน้อง ๆ ข้าราชการใหม่ ซึ่งนับว่าข้าราชการกลุ่มนี้เป็น “รุ่น 130 ปีกระทรวงมหาดไทย” โดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเน้นย้ํากับข้าราชการบรรจุใหม่ทุกคน ถึงประวัติความเป็นมาของกระทรวงมหาดไทยที่มีมายาวนานถึง 130 ปี โดยได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2435 มีองค์ปฐมเสนาบดี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ซึ่งพระองค์ได้ประทานคําขวัญ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ให้กับชาวมหาดไทย เพื่อจรรโลงให้ข้าราชการทุกคนทําหน้าที่ให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ ซึ่งได้มีการสืบสานเป็นแนวปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน โดยข้าราชการใหม่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จะต้องน้อมนําพระปณิธานนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทําหน้าที่เพื่อประชาชนและเตือนใจให้พระพฤติปฏิบัติตนในทางที่เหมาะสม สะท้อนตามหลักการง่าย ๆ 3 ประการ คือ 1) ครองตน ด้วยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง อย่าให้สุขภาพทรุดโทรมด้วยอบายมุขทั้งหลาย ทําตัวให้เป็นคนที่เชื่อถือได้ น่าเลื่อมใส รักษาเวลา รักษาคําพูด รักษาสัจจะ ทําหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มสติกําลังความสามารถ เป็นคนดี ทุ่มเท อุทิศเวลาในการทํางานในตําแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ ใช้เวลาว่างในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 2) ครองคน ด้วยการเสริมสร้างการทํางานเป็นทีม มีน้ําใจไมตรี ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน รู้จักพูดคุย โอภาปราศรัย และเมื่องานของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว หมั่นเหลียวมองรอบตัวเราว่ามีงานใดของเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่เสร็จและเรามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยเขาได้ จงอย่ารีรอที่จะอาสาช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน และ 3) ครองงาน ต้องเต็มที่กับงาน โดยเฉพาะงานในหน้าที่ เรียนรู้รูปแบบการทํางานจากรุ่นพี่ข้าราชการ และขวนขวายจากระเบียบ ข้อกฎหมาย ใช้หัวใจนักปราชญ์ “สุ จิ ปุ ลิ” อันได้แก่ “สุ” คือ สุตะ หมายถึง การฟัง “จิ” คือ จินตะ หมายถึง มีความคิดในการใคร่ครวญ มีสมาธิที่จะจดจําและคิดหาเหตุและผล “ปุ” คือ ปุจฉา หมายถึง รู้จักตั้งคําถาม ทั้งถามตอบทั่วไป และถามในความรู้ของเราและที่เรายังมีข้อสงสัย เพื่อหาคําตอบที่ถูกต้อง ละเอียดเพิ่มเติม ไม่เชื่อใครได้โดยง่าย เป็นการต่อยอดจากการคิดใคร่ครวญ และ “ลิ” คือ ลิขิต หมายถึง การเขียน ซึ่งในการรับราชการ งานเขียนเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ ต้องฝึกเขียนหนังสือราชการให้เป็น ฝึกฝนด้วยการขยันอ่าน โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับวรรณคดีไทย เช่น ขุนช้าง ขุนแผน รามเกียรติ์ มัทนะพาธา ฯลฯ ซึ่งจะเสริมทักษะด้านวรรณศิลป์ให้กับตนเองให้ได้รับการพัฒนา และต้องฝึกเขียนหนังสือราชการ ศึกษาให้รู้งานเอกสาร งานสารบรรณ ต้องรู้จักอ่าน ฝึกฝนให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยงาน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ด้วยความยาวนานของการสถาปนากระทรวงมหาดไทยที่อยู่คู่กับการปกครองของประเทศไทยกว่า 130 ปี คนมหาดไทยจึงทํางานคลุกคลีตีโมงกับพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยกลไกท่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ทําให้เราได้ซึมซับวัฒนธรรมความเป็นพี่น้องของคนไทยอยู่ในสายโลหิต ดังนั้น ชีวิตของข้าราชการมหาดไทย ต้องมีแรงปรารถนา (Passion) อันแรงกล้าในการเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องมีความรู้ (Knowledge) ทั้งรู้ระเบียบ กฎหมาย วิชาการสมัยใหม่ ดิจิทัล หลักการบริหาร สิ่งแวดล้อม และแนวทางการทํางานใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในการเขียนหนังสือราชการตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ ทั้งหนังสือภายนอก หนังสือภายใน หนังสือประทับตรา หนังสือสั่งการ หนังสือประชาสัมพันธ์ และหนังสือที่จัดทําขึ้นหรือรับไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการ นอกจากนี้ ต้องรู้จักการสรุปประเด็นสําคัญ การจัดทําแผนผังความคิด (Mind Mapping) เพื่อทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ให้มันผนึกแน่นในมันสมองกลั่นกรองเป็นวิธีปฏิบัติในการทํางานเพิ่มมากขึ้น ต้องมีความสามารถในการทํางาน (Ability) เพื่อให้งานเกิดความสําเร็จ และตัวสุดท้ายที่มีความสําคัญต่อการชี้วัดตัดสินว่าจะสามารถประสบความสําเร็จในการทํางานให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน นั่นคือ ทัศนคติ (Attitude) ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สําคัญที่สุด และเมื่อ Knowledge x Ablitity x Attitude จะมีค่าเท่ากับ Success หรือ “ความสําเร็จของงาน” นั่นเอง “สิ่งสําคัญที่สุดในการใช้ชีวิตการทํางานกับเพื่อนร่วมงาน นั่นคือ ความรับผิดชอบต่องานที่เราทํา ทุ่มเท อุทิศ เสียสละ ในการทํางานให้มากที่สุด ทั้งงานในหน้าที่ความรับผิดชอบตามหน้าที่ของเรา (Job Description) และงานที่นอกเหนือจากอํานาจหน้าที่ (Extra Job) ทั้งช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ช่วยคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ และต้องอย่าทํางานที่ไม่ดี อันได้แก่ งานชุ่ย ผิด ๆ ถูก ๆ งานไม่เสร็จ ล่าช้า เกินเวลา ต้องทวงถาม ต้องมีไมตรีจิต เป็นเหมือนรวงข้าวที่สุกแล้ว มีความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนหวาน มีความเมตตา มีสัมมาคารวะ ให้เกียรติผู้อื่น เร่งรัดในการทํางาน ทําให้เนื้องานออกมาดี ทําให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น และในการทํางานย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และเห็นต่าง ซึ่งขอให้เชื่อมั่นว่า ถ้าเราทําดี เราจะได้รับสิ่งที่ดี” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา ด้าน นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการใหม่ทุกท่าน และขอให้น้อง ๆ ข้าราชการใหม่ เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทํางานอุทิศตนให้กับพี่น้องประชาชน เป็นที่รักของผู้บังคับบัญชา และพี่ ๆ ในที่ทํางาน เรียนรู้งานด้วยความมุ่งมั่น และฝึกฝนการทํางานด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพี่ ๆ ภายในสํานักงานซึ่งอาจจะมีความแตกต่างเรื่องวัยวุฒิ คุณวุฒิ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ล้นเปี่ยมของพี่ ๆ จะสามารถสอนงานข้าราชการใหม่ทุกคนได้ ขออย่าได้อายที่จะได้ถามพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในที่ทํางาน พร้อมทั้งปฏิบัติตัว ทั้งพฤติกรรม มารยาท การแต่งกายให้เรียบร้อย มีความพอเพียง รู้จักใช้จ่าย สมถะในการใช้ชีวิต อย่าฟุ่มเฟือย ต้องรู้เก็บออม และประการสําคัญที่สุด ต้องหมั่นศึกษาระเบียบ วิธีปฏิบัติราชการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ “ประโยชน์เพื่อแผ่นดิน” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทย มีกลไกราชการบริหารส่วนกลาง ได้แก่ 7 กรม 8 ส่วนราชการ คือ กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสํานักงานรัฐมนตรี 6 รัฐวิสาหกิจ คือ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย ราชการบริหารส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 7,547 แห่ง ในการกํากับดูแล โดยงานของทุกกระทรวง ทบวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นคนมหาดไทยรับผิดชอบบังคับบัญชาข้าราชการในจังหวัดต้องเป็นผู้รับผิดชอบนําไปขับเคลื่อนในระดับจังหวัด นายอําเภอ นําไปขับเคลื่อนในระดับอําเภอ ชาวมหาดไทยเป็นเหมือน “หนุมานอาสา” ที่มีพี่น้องประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นคนมีจิตอาสาที่มาจากใจ ช่วยบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน อยู่ในสายโลหิตพวกเราชาวมหาดไทย ดังนั้น จึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “คนมหาดไทยต้องเป็นผู้นําและทําก่อนคนอื่น” เป็นผู้นําในสิ่งที่ดี ทําให้คนอื่นเห็น ตามหลักการ “ผู้นําต้องทําก่อน” แต่งกายเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน มีน้ําใจ ช่วยเหลือคนอื่น ทําบุญสุนทาน ปฏิบัติธรรมตามโอกาสต่าง ๆ มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดี ทั้งมิติเศรษฐกิจ รายได้ ที่อยู่อาศัย การศึกษา สภาพแวดล้อม ประเพณีวัฒนธรรม ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ต้องรับราชการ 24 ชั่วโมง 365 วัน ช่วยกันส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สวมใส่ผ้าไทย อุดหนุนผลิตภัณฑ์โอทอปที่ผลิตด้วยน้ําพักน้ําแรงคนไทย “ข้าราชการมหาดไทยต้องนิยมไทย” รวมทั้งต้องเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นมนุษย์ 3Rs (3ช) คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ํา (Reuse) นํากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการทําถังขยะเปียกลดโลกร้อน ด้วยจิตสํานึกและการลงมือทําที่ชัดเจนเพื่อเป็นต้นแบบที่ดี และการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ชีวิตตนเอง ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ สร้างความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ ทุกสิ่งจะประสบความสําเร็จหรือเกิดผลเช่นไรอยู่ที่ตัวเรา “ชีวิตเราเปรียบเสมือนเรือหรือนาวาที่อยู่ในมหาสมุทร จะไปรอดปลอดภัยได้ เราต้องยึดหลักคุณธรรมประจําใจไว้ให้มั่น หลีกเลี่ยงการทําผิดคิดชั่ว หมกมุ่นกับอบายมุข และให้ความโลภเข้ามาครอบงํา ทําให้ไขว้เขว ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ การศึกษา เรียนรู้ ทั้งจากรุ่นพี่ข้าราชการ จากเอกสาร และสถาบันการศึกษา มีความจําเป็นกับพวกเราตลอดชีวิต อย่าทิ้งโอกาสที่ดีของชีวิต ด้วยการเพลิดเพลินอยู่กับการทํางาน โดยไม่คํานึงถึงการวางแผนให้ชีวิตเราได้มีโอกาสมีความเจริญก้าวหน้า สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว เพิ่มพูนหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะทําให้กับพี่น้องประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น เริ่มต้นด้วยการสํารวจตรวจสอบการดํารงชีวิตประจําวันให้เป็นแบบอย่างและเป็นประโยชน์กับสังคม ดังคํากล่าวที่ว่า “ชาวมหาดไทยต้องเป็นผู้นําที่ทําก่อนคนอื่น” ใช้เวลา ใช้โอกาส ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในทางที่ดี แล้วพวกเราจะประสบความสําเร็จตามที่มุ่งหวัง ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี เจอผู้บังคับบัญชาที่น่ารัก และอย่าลืมว่าบัดนี้เราคือเลือดเนื้อเชื้อไขของมหาดไทยด้วยกัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ปมท. ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปลัดสุทธิพงษ์ ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข เสริมรากฐานสังคมคุณธรรม สร้างสรรค์ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปลัดสุทธิพงษ์ ถ่ายทอดจิตวิญญาณราชสีห์ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น สร้างพลังชาวสิงห์รุ่นใหม่ วาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย สืบสานพระปณิธาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุข เสริมรากฐานสังคมคุณธรรม สร้างสรรค์ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้อุทิศเสียสละตนเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 มี.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีการบริหารด้านทรัพยากรบุคคลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างศักยภาพ “ราชสีห์รุ่นใหม่” เพื่อบ่มเพาะเป็นข้าราชการน้ําดีทํางานรับใช้ประชาชนและประเทศชาติสนองตอบความคาดหวังของพี่น้องประชาชน โดยเมื่อช่วงเดือนมกราคม 65 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในตําแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ นักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ นักวิชาการพัสดุปฏิบัติการ และนายช่างไฟฟ้าปฏิบัติงาน และในขณะนี้ ได้มีการประกาศผลการสอบแข่งขันฯ และเรียกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตําแหน่งดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ ได้มีข้าราชการสังกัดกรมอื่น ๆ โอนย้ายมาบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการขับเคลื่อนการทํางานในฐานะผู้นําการบูรณาการและประสานการปฏิบัติกับทุกกระทรวง ทบวง กรม ในระดับพื้นที่ มีประวัติความเป็นมาที่สั่งสมภารกิจอันสําคัญควบคู่กับการบริหารราชการแผ่นดิน จึงจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องถ่ายทอดประสบการณ์ ทักษะ และเสริมสร้างค่านิยมความเป็น “ผู้นํา” ในการขับเคลื่อนภารกิจงานตามอํานาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ ระเบียบ กฎหมาย รวมถึงคุณธรรม จริยธรรม และการอํานวยประโยชน์พี่น้องประชาชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา สถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้จัดให้มีการปฐมนิเทศข้าราชการที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการและที่โอนมารับราชการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ปฐมบทคนมหาดไทย” ด้วยตนเอง ผ่านระบบ ZOOM ไปยังวิทยาลัยมหาดไทย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ ให้กับน้อง ๆ ข้าราชการใหม่ ซึ่งนับว่าข้าราชการกลุ่มนี้เป็น “รุ่น 130 ปีกระทรวงมหาดไทย” โดย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเน้นย้ํากับข้าราชการบรรจุใหม่ทุกคน ถึงประวัติความเป็นมาของกระทรวงมหาดไทยที่มีมายาวนานถึง 130 ปี โดยได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2435 มีองค์ปฐมเสนาบดี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ซึ่งพระองค์ได้ประทานคําขวัญ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ให้กับชาวมหาดไทย เพื่อจรรโลงให้ข้าราชการทุกคนทําหน้าที่ให้พี่น้องประชาชนมีความสุข มีความชื่นใจ ซึ่งได้มีการสืบสานเป็นแนวปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน โดยข้าราชการใหม่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จะต้องน้อมนําพระปณิธานนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการทําหน้าที่เพื่อประชาชนและเตือนใจให้พระพฤติปฏิบัติตนในทางที่เหมาะสม สะท้อนตามหลักการง่าย ๆ 3 ประการ คือ 1) ครองตน ด้วยการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง อย่าให้สุขภาพทรุดโทรมด้วยอบายมุขทั้งหลาย ทําตัวให้เป็นคนที่เชื่อถือได้ น่าเลื่อมใส รักษาเวลา รักษาคําพูด รักษาสัจจะ ทําหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มสติกําลังความสามารถ เป็นคนดี ทุ่มเท อุทิศเวลาในการทํางานในตําแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ ใช้เวลาว่างในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 2) ครองคน ด้วยการเสริมสร้างการทํางานเป็นทีม มีน้ําใจไมตรี ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน รู้จักพูดคุย โอภาปราศรัย และเมื่องานของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว หมั่นเหลียวมองรอบตัวเราว่ามีงานใดของเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่เสร็จและเรามีความรู้ความสามารถที่จะช่วยเขาได้ จงอย่ารีรอที่จะอาสาช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน และ 3) ครองงาน ต้องเต็มที่กับงาน โดยเฉพาะงานในหน้าที่ เรียนรู้รูปแบบการทํางานจากรุ่นพี่ข้าราชการ และขวนขวายจากระเบียบ ข้อกฎหมาย ใช้หัวใจนักปราชญ์ “สุ จิ ปุ ลิ” อันได้แก่ “สุ” คือ สุตะ หมายถึง การฟัง “จิ” คือ จินตะ หมายถึง มีความคิดในการใคร่ครวญ มีสมาธิที่จะจดจําและคิดหาเหตุและผล “ปุ” คือ ปุจฉา หมายถึง รู้จักตั้งคําถาม ทั้งถามตอบทั่วไป และถามในความรู้ของเราและที่เรายังมีข้อสงสัย เพื่อหาคําตอบที่ถูกต้อง ละเอียดเพิ่มเติม ไม่เชื่อใครได้โดยง่าย เป็นการต่อยอดจากการคิดใคร่ครวญ และ “ลิ” คือ ลิขิต หมายถึง การเขียน ซึ่งในการรับราชการ งานเขียนเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ ต้องฝึกเขียนหนังสือราชการให้เป็น ฝึกฝนด้วยการขยันอ่าน โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับวรรณคดีไทย เช่น ขุนช้าง ขุนแผน รามเกียรติ์ มัทนะพาธา ฯลฯ ซึ่งจะเสริมทักษะด้านวรรณศิลป์ให้กับตนเองให้ได้รับการพัฒนา และต้องฝึกเขียนหนังสือราชการ ศึกษาให้รู้งานเอกสาร งานสารบรรณ ต้องรู้จักอ่าน ฝึกฝนให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ลดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยงาน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ด้วยความยาวนานของการสถาปนากระทรวงมหาดไทยที่อยู่คู่กับการปกครองของประเทศไทยกว่า 130 ปี คนมหาดไทยจึงทํางานคลุกคลีตีโมงกับพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยกลไกท่านกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ทําให้เราได้ซึมซับวัฒนธรรมความเป็นพี่น้องของคนไทยอยู่ในสายโลหิต ดังนั้น ชีวิตของข้าราชการมหาดไทย ต้องมีแรงปรารถนา (Passion) อันแรงกล้าในการเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องมีความรู้ (Knowledge) ทั้งรู้ระเบียบ กฎหมาย วิชาการสมัยใหม่ ดิจิทัล หลักการบริหาร สิ่งแวดล้อม และแนวทางการทํางานใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ในการเขียนหนังสือราชการตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ ทั้งหนังสือภายนอก หนังสือภายใน หนังสือประทับตรา หนังสือสั่งการ หนังสือประชาสัมพันธ์ และหนังสือที่จัดทําขึ้นหรือรับไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการ นอกจากนี้ ต้องรู้จักการสรุปประเด็นสําคัญ การจัดทําแผนผังความคิด (Mind Mapping) เพื่อทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ให้มันผนึกแน่นในมันสมองกลั่นกรองเป็นวิธีปฏิบัติในการทํางานเพิ่มมากขึ้น ต้องมีความสามารถในการทํางาน (Ability) เพื่อให้งานเกิดความสําเร็จ และตัวสุดท้ายที่มีความสําคัญต่อการชี้วัดตัดสินว่าจะสามารถประสบความสําเร็จในการทํางานให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน นั่นคือ ทัศนคติ (Attitude) ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สําคัญที่สุด และเมื่อ Knowledge x Ablitity x Attitude จะมีค่าเท่ากับ Success หรือ “ความสําเร็จของงาน” นั่นเอง “สิ่งสําคัญที่สุดในการใช้ชีวิตการทํางานกับเพื่อนร่วมงาน นั่นคือ ความรับผิดชอบต่องานที่เราทํา ทุ่มเท อุทิศ เสียสละ ในการทํางานให้มากที่สุด ทั้งงานในหน้าที่ความรับผิดชอบตามหน้าที่ของเรา (Job Description) และงานที่นอกเหนือจากอํานาจหน้าที่ (Extra Job) ทั้งช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ช่วยคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ และต้องอย่าทํางานที่ไม่ดี อันได้แก่ งานชุ่ย ผิด ๆ ถูก ๆ งานไม่เสร็จ ล่าช้า เกินเวลา ต้องทวงถาม ต้องมีไมตรีจิต เป็นเหมือนรวงข้าวที่สุกแล้ว มีความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนหวาน มีความเมตตา มีสัมมาคารวะ ให้เกียรติผู้อื่น เร่งรัดในการทํางาน ทําให้เนื้องานออกมาดี ทําให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น และในการทํางานย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และเห็นต่าง ซึ่งขอให้เชื่อมั่นว่า ถ้าเราทําดี เราจะได้รับสิ่งที่ดี” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา ด้าน นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการใหม่ทุกท่าน และขอให้น้อง ๆ ข้าราชการใหม่ เป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทํางานอุทิศตนให้กับพี่น้องประชาชน เป็นที่รักของผู้บังคับบัญชา และพี่ ๆ ในที่ทํางาน เรียนรู้งานด้วยความมุ่งมั่น และฝึกฝนการทํางานด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพี่ ๆ ภายในสํานักงานซึ่งอาจจะมีความแตกต่างเรื่องวัยวุฒิ คุณวุฒิ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ล้นเปี่ยมของพี่ ๆ จะสามารถสอนงานข้าราชการใหม่ทุกคนได้ ขออย่าได้อายที่จะได้ถามพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในที่ทํางาน พร้อมทั้งปฏิบัติตัว ทั้งพฤติกรรม มารยาท การแต่งกายให้เรียบร้อย มีความพอเพียง รู้จักใช้จ่าย สมถะในการใช้ชีวิต อย่าฟุ่มเฟือย ต้องรู้เก็บออม และประการสําคัญที่สุด ต้องหมั่นศึกษาระเบียบ วิธีปฏิบัติราชการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ “ประโยชน์เพื่อแผ่นดิน” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า กระทรวงมหาดไทย มีกลไกราชการบริหารส่วนกลาง ได้แก่ 7 กรม 8 ส่วนราชการ คือ กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และสํานักงานรัฐมนตรี 6 รัฐวิสาหกิจ คือ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย ราชการบริหารส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 7,547 แห่ง ในการกํากับดูแล โดยงานของทุกกระทรวง ทบวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นคนมหาดไทยรับผิดชอบบังคับบัญชาข้าราชการในจังหวัดต้องเป็นผู้รับผิดชอบนําไปขับเคลื่อนในระดับจังหวัด นายอําเภอ นําไปขับเคลื่อนในระดับอําเภอ ชาวมหาดไทยเป็นเหมือน “หนุมานอาสา” ที่มีพี่น้องประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นคนมีจิตอาสาที่มาจากใจ ช่วยบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน อยู่ในสายโลหิตพวกเราชาวมหาดไทย ดังนั้น จึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “คนมหาดไทยต้องเป็นผู้นําและทําก่อนคนอื่น” เป็นผู้นําในสิ่งที่ดี ทําให้คนอื่นเห็น ตามหลักการ “ผู้นําต้องทําก่อน” แต่งกายเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน มีน้ําใจ ช่วยเหลือคนอื่น ทําบุญสุนทาน ปฏิบัติธรรมตามโอกาสต่าง ๆ มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดี ทั้งมิติเศรษฐกิจ รายได้ ที่อยู่อาศัย การศึกษา สภาพแวดล้อม ประเพณีวัฒนธรรม ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ต้องรับราชการ 24 ชั่วโมง 365 วัน ช่วยกันส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สวมใส่ผ้าไทย อุดหนุนผลิตภัณฑ์โอทอปที่ผลิตด้วยน้ําพักน้ําแรงคนไทย “ข้าราชการมหาดไทยต้องนิยมไทย” รวมทั้งต้องเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นมนุษย์ 3Rs (3ช) คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ํา (Reuse) นํากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการทําถังขยะเปียกลดโลกร้อน ด้วยจิตสํานึกและการลงมือทําที่ชัดเจนเพื่อเป็นต้นแบบที่ดี และการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้ชีวิตตนเอง ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ สร้างความมั่นคงทางอาหาร ทั้งนี้ ทุกสิ่งจะประสบความสําเร็จหรือเกิดผลเช่นไรอยู่ที่ตัวเรา “ชีวิตเราเปรียบเสมือนเรือหรือนาวาที่อยู่ในมหาสมุทร จะไปรอดปลอดภัยได้ เราต้องยึดหลักคุณธรรมประจําใจไว้ให้มั่น หลีกเลี่ยงการทําผิดคิดชั่ว หมกมุ่นกับอบายมุข และให้ความโลภเข้ามาครอบงํา ทําให้ไขว้เขว ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ การศึกษา เรียนรู้ ทั้งจากรุ่นพี่ข้าราชการ จากเอกสาร และสถาบันการศึกษา มีความจําเป็นกับพวกเราตลอดชีวิต อย่าทิ้งโอกาสที่ดีของชีวิต ด้วยการเพลิดเพลินอยู่กับการทํางาน โดยไม่คํานึงถึงการวางแผนให้ชีวิตเราได้มีโอกาสมีความเจริญก้าวหน้า สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว เพิ่มพูนหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะทําให้กับพี่น้องประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น เริ่มต้นด้วยการสํารวจตรวจสอบการดํารงชีวิตประจําวันให้เป็นแบบอย่างและเป็นประโยชน์กับสังคม ดังคํากล่าวที่ว่า “ชาวมหาดไทยต้องเป็นผู้นําที่ทําก่อนคนอื่น” ใช้เวลา ใช้โอกาส ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในทางที่ดี แล้วพวกเราจะประสบความสําเร็จตามที่มุ่งหวัง ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี เจอผู้บังคับบัญชาที่น่ารัก และอย่าลืมว่าบัดนี้เราคือเลือดเนื้อเชื้อไขของมหาดไทยด้วยกัน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2566-2570 ซึ่งร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ มีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี ประกอบด้วย 101 โครงการ กรอบวงเงินรวม 2,845.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจากภาครัฐ 1,535.55 ล้านบาท และภาคเอกชน 1,310 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายพัฒนาการเกษตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.เป้าหมายรวม เช่น ยกระดับรายได้เกษตรกรภายในปี 2580 และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในสาขาเกษตรเพิ่มขึ้น 2.เป้าหมายระดับจังหวัด เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเชิงอุตสาหกรรม จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งพืชพลังงาน และ จังหวัดระยอง เป็นแหล่งรวบรวมผลไม้และอาหารทะเลสด และ 3.เป้าหมายคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพและดําเนินการได้ทันที ซึ่งประกอบด้วย 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ 1)ผลไม้ เน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง เช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ในพื้นที่จังหวัดระยองและฉะเชิงเทรา 2)ประมงเพาะเลี้ยง เน้นการเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีการผลิตและสร้างเศรษฐกิจใหม่ เช่น กุ้งก้ามกราม กุ้งขาว และปลานิล ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและระยอง 3)พืชสําหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ เน้นยกระดับผลผลิตมันสําปะหลังให้มีคุณภาพและมีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งเสริมการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าสินค้า ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี 4)พืชสมุนไพร เน้นการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชาย กัญชงและกัญชา ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรี 5)เกษตรมูลค่าสูง เน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง เช่น เนื้อโคพรีเมียมคุณภาพสูงและไข่ไก่อินทรีย์ ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง สําหรับการขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการ จะดําเนินการภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยกระดับผลิตภาพการผลิตโดยเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ จํานวน 34 โครงการ วงเงิน 596.21 ล้านบาท ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและการตลาด จํานวน 24 โครงการ วงเงิน 845.54 ล้านบาท และยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภาคเกษตรและสร้างบรรยากาศเข้าสู่ธุรกิจการเกษตรสมัยใหม่ จํานวน 43 โครงการ วงเงิน 1,403.8 ล้านบาท โดยแบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก (พ.ศ.2566-2567) เน้นเตรียมการปรับโครงสร้างการพัฒนาการเกษตรด้วยเทคโนโลยีการเกษตรและดําเนินการพัฒนาคลัสเตอร์สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ ระยะกลาง (พ.ศ.2568-2570) เน้นการขับเคลื่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่ากับภาคเกษตร พร้อมทั้งต่อยอดคลัสเตอร์การเกษตร เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายสมัยใหม่ และระยะถัดไป (พ.ศ.2571 เป็นต้นไป) มุ่งเน้นให้เกิดนวัตกรรมทั้งในการผลิตและการพัฒนาสินค้า ซึ่งต้องตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดสินค้าเกษตรและตอบสนองต่อความต้องการอาหารรูปแบบใหม่ๆ นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากร่างแผนปฏิบัติการนี้ เป็นการปรับโครงสร้างการเกษตรในพื้นที่ EEC ให้เชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ และเป็นต้นแบบการพัฒนาภาคการเกษตรในประเทศไทย ที่เน้นการประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดสินค้าเกษตรไทย และเกิดการกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขต EEC ระยะ 5 ปี ชู 5 คลัสเตอร์หลักที่มีศักยภาพพร้อมต่อยอดทันที นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2566-2570 ซึ่งร่างแผนปฏิบัติการฉบับนี้ มีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี ประกอบด้วย 101 โครงการ กรอบวงเงินรวม 2,845.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณจากภาครัฐ 1,535.55 ล้านบาท และภาคเอกชน 1,310 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายพัฒนาการเกษตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.เป้าหมายรวม เช่น ยกระดับรายได้เกษตรกรภายในปี 2580 และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในสาขาเกษตรเพิ่มขึ้น 2.เป้าหมายระดับจังหวัด เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําเชิงอุตสาหกรรม จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งพืชพลังงาน และ จังหวัดระยอง เป็นแหล่งรวบรวมผลไม้และอาหารทะเลสด และ 3.เป้าหมายคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพและดําเนินการได้ทันที ซึ่งประกอบด้วย 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ 1)ผลไม้ เน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง เช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ในพื้นที่จังหวัดระยองและฉะเชิงเทรา 2)ประมงเพาะเลี้ยง เน้นการเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีการผลิตและสร้างเศรษฐกิจใหม่ เช่น กุ้งก้ามกราม กุ้งขาว และปลานิล ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและระยอง 3)พืชสําหรับอุตสาหกรรมชีวภาพ เน้นยกระดับผลผลิตมันสําปะหลังให้มีคุณภาพและมีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ส่งเสริมการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าสินค้า ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี 4)พืชสมุนไพร เน้นการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชาย กัญชงและกัญชา ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรี 5)เกษตรมูลค่าสูง เน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าสู่ตลาดสินค้ามูลค่าสูง เช่น เนื้อโคพรีเมียมคุณภาพสูงและไข่ไก่อินทรีย์ ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง สําหรับการขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการ จะดําเนินการภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์สําคัญ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยกระดับผลิตภาพการผลิตโดยเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ จํานวน 34 โครงการ วงเงิน 596.21 ล้านบาท ยุทธศาสตร์ที่ 2 ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและการตลาด จํานวน 24 โครงการ วงเงิน 845.54 ล้านบาท และยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภาคเกษตรและสร้างบรรยากาศเข้าสู่ธุรกิจการเกษตรสมัยใหม่ จํานวน 43 โครงการ วงเงิน 1,403.8 ล้านบาท โดยแบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก (พ.ศ.2566-2567) เน้นเตรียมการปรับโครงสร้างการพัฒนาการเกษตรด้วยเทคโนโลยีการเกษตรและดําเนินการพัฒนาคลัสเตอร์สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ ระยะกลาง (พ.ศ.2568-2570) เน้นการขับเคลื่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่ากับภาคเกษตร พร้อมทั้งต่อยอดคลัสเตอร์การเกษตร เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเป้าหมายสมัยใหม่ และระยะถัดไป (พ.ศ.2571 เป็นต้นไป) มุ่งเน้นให้เกิดนวัตกรรมทั้งในการผลิตและการพัฒนาสินค้า ซึ่งต้องตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดสินค้าเกษตรและตอบสนองต่อความต้องการอาหารรูปแบบใหม่ๆ นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากร่างแผนปฏิบัติการนี้ เป็นการปรับโครงสร้างการเกษตรในพื้นที่ EEC ให้เชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ และเป็นต้นแบบการพัฒนาภาคการเกษตรในประเทศไทย ที่เน้นการประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดสินค้าเกษตรไทย และเกิดการกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57827
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ เนื่องจากวธ.และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้จัดทําแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกัน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ เป็นแผนปฏิบัติการฯฉบับแรกมีเนื้อหาสาระครอบคลุมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการร่วมกันในระยะ ๓ ปีและปัจจุบันหมดอายุลงแล้ว จึงนําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจฯเป็นเอกสารความร่วมมือทางวัฒนธรรมฉบับที่สองและดําเนินการภายใต้ความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯจะเสนอลงนามระหว่างช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วย ความร่วมมือทวิภาคี ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๔ ที่มีกําหนดจะจัดขึ้นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล เพื่อประโยชน์ในการสานต่อความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศในทุกระดับ และทุกสาขาความร่วมมือให้มีความต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สาระสําคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯฉบับนี้ ได้ขยายกรอบเวลาการบังคับใช้ให้มีอายุ ๖ ปี มุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยน และความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ศิลปะการแสดง วิจิตรศิลป์ และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปี พ.ศ. ๒๕๖๙ นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.ได้ดําเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ประกอบด้วย การหารือความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ นําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจฯ โครงการสื่อสองวัฒนธรรมไทย - เวียดนาม เพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ Bilateral Culture (Thai – Viet Nam) to Creative Industryโดยเน้นศึกษาข้อมูลกลุ่มเป้าหมายชาวเวียดนามต่อสินค้า และบริการด้านวัฒนธรรมของไทย และเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในลักษณะกิจกรรมสาระและความบันเทิง (Edutainment) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network : RUN) และสนับสนุนข้อมูลโดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมเวียดนามประจําประเทศไทย จัดงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดงาน Thailand-Vietnam Gala Night: 45 Years of Friendship ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ โรงอุปรากรฮานอย โดยมีกิจกรรม เช่น นิทรรศการภาพถ่ายทางวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม การแสดงสร้างสรรค์ของกรมศิลปากร ชุดระบํามิตรมั่นใจไทย-เวียดนาม และการสนับสนุนกระทรวงการต่างประเทศในการออกแบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย เพื่อติดตั้งในสวนมิตรภาพนานาชาติ จังหวัดบั๊กนิงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในทั้งสองประเทศและนําไปสู่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเวียดนามในด้านอื่นๆ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทำบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม ครม.ไฟเขียวไทย-เวียดนามทําบันทึกความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ปี ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ เน้นแลกเปลี่ยนบุคลากร จัดสัมมนา ประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมหลากหลายสาขาทางวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ เนื่องจากวธ.และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้จัดทําแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกัน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ เป็นแผนปฏิบัติการฯฉบับแรกมีเนื้อหาสาระครอบคลุมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการร่วมกันในระยะ ๓ ปีและปัจจุบันหมดอายุลงแล้ว จึงนําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจฯเป็นเอกสารความร่วมมือทางวัฒนธรรมฉบับที่สองและดําเนินการภายใต้ความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯจะเสนอลงนามระหว่างช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วย ความร่วมมือทวิภาคี ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๔ ที่มีกําหนดจะจัดขึ้นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ผ่านระบบทางไกล เพื่อประโยชน์ในการสานต่อความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศในทุกระดับ และทุกสาขาความร่วมมือให้มีความต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สาระสําคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯฉบับนี้ ได้ขยายกรอบเวลาการบังคับใช้ให้มีอายุ ๖ ปี มุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยน และความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ศิลปะการแสดง วิจิตรศิลป์ และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ และครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปี พ.ศ. ๒๕๖๙ นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.ได้ดําเนินกิจกรรมด้านวัฒนธรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ ๔๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ประกอบด้วย การหารือความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ นําไปสู่การจัดทําบันทึกความเข้าใจฯ โครงการสื่อสองวัฒนธรรมไทย - เวียดนาม เพื่อมุ่งสู่การเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ Bilateral Culture (Thai – Viet Nam) to Creative Industryโดยเน้นศึกษาข้อมูลกลุ่มเป้าหมายชาวเวียดนามต่อสินค้า และบริการด้านวัฒนธรรมของไทย และเผยแพร่ข้อมูลความรู้ในลักษณะกิจกรรมสาระและความบันเทิง (Edutainment) ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network : RUN) และสนับสนุนข้อมูลโดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมเวียดนามประจําประเทศไทย จัดงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดงาน Thailand-Vietnam Gala Night: 45 Years of Friendship ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ โรงอุปรากรฮานอย โดยมีกิจกรรม เช่น นิทรรศการภาพถ่ายทางวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม การแสดงสร้างสรรค์ของกรมศิลปากร ชุดระบํามิตรมั่นใจไทย-เวียดนาม และการสนับสนุนกระทรวงการต่างประเทศในการออกแบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย เพื่อติดตั้งในสวนมิตรภาพนานาชาติ จังหวัดบั๊กนิงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนในทั้งสองประเทศและนําไปสู่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเวียดนามในด้านอื่นๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง พร้อมอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และผู้โดยสารระหว่างประเทศ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย H.E. Datuk Isham Ishak ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 โดยฝ่ายมาเลเซียมีความประสงค์ที่จะหารือความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงรถไฟความเร็วสูงจากมาเลเซียมายังประเทศไทย สืบเนื่องมาจากข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งดําเนินการติดตามผลการหารือของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ในประเด็นด้านการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างสองประเทศ การอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร พร้อมกับการเตรียมความพร้อมสําหรับการเปิดการเดินทางระหว่างสองประเทศ ในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการเชื่อมต่อรถไฟชายฝั่งทะเลตะวันออก (East Coast Rail Link: ECRL) ของมาเลเซียกับโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทย โดยปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงแผนการพัฒนาระบบรถไฟของไทยที่มุ่งเน้นการก่อสร้างรถไฟทางคู่เป็นลําดับแรก อย่างไรก็ตามได้เสนอความเป็นไปได้ในการเชื่อมต่อโครงการ ECRL ของมาเลเซียเข้ากับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับระบบราง (MR-Map) ที่จะช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ในเส้นทาง MR1 (เชียงราย - นราธิวาส) นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทํางานเพื่อเตรียมการสําหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมของทั้งสองประเทศเพื่อหารือระดับนโยบายด้านการพัฒนาโครงข่ายระบบรางต่อไป สําหรับความคืบหน้าการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทย - มาเลเซีย และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่าง ไทย - มาเลเซีย ทางฝ่ายมาเลเซียแจ้งว่าอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างสุดท้ายของบันทึกความเข้าใจฯ และคาดว่าจะสามารถลงนามได้ในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ASEAN Transport Ministers Meeting: ATM) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งสองฉบับจะเป็นการอํานวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน และการเดินทางของประชาชนระหว่างสองประเทศต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง พร้อมอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า และผู้โดยสารระหว่างประเทศ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับปลัดกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย H.E. Datuk Isham Ishak ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 โดยฝ่ายมาเลเซียมีความประสงค์ที่จะหารือความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงรถไฟความเร็วสูงจากมาเลเซียมายังประเทศไทย สืบเนื่องมาจากข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งดําเนินการติดตามผลการหารือของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ในประเด็นด้านการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งระหว่างสองประเทศ การอํานวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร พร้อมกับการเตรียมความพร้อมสําหรับการเปิดการเดินทางระหว่างสองประเทศ ในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการเชื่อมต่อรถไฟชายฝั่งทะเลตะวันออก (East Coast Rail Link: ECRL) ของมาเลเซียกับโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทย โดยปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงแผนการพัฒนาระบบรถไฟของไทยที่มุ่งเน้นการก่อสร้างรถไฟทางคู่เป็นลําดับแรก อย่างไรก็ตามได้เสนอความเป็นไปได้ในการเชื่อมต่อโครงการ ECRL ของมาเลเซียเข้ากับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับระบบราง (MR-Map) ที่จะช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ในเส้นทาง MR1 (เชียงราย - นราธิวาส) นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทํางานเพื่อเตรียมการสําหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมของทั้งสองประเทศเพื่อหารือระดับนโยบายด้านการพัฒนาโครงข่ายระบบรางต่อไป สําหรับความคืบหน้าการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างไทย - มาเลเซีย และร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่าง ไทย - มาเลเซีย ทางฝ่ายมาเลเซียแจ้งว่าอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างสุดท้ายของบันทึกความเข้าใจฯ และคาดว่าจะสามารถลงนามได้ในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน (ASEAN Transport Ministers Meeting: ATM) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งสองฉบับจะเป็นการอํานวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน และการเดินทางของประชาชนระหว่างสองประเทศต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565 กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2565 เวลา 09.30 น. นายขจร เราประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามความก้าวหน้าของแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จังหวัดร้อยเอ็ด ประจําเดือนมิถุนายน ผ่านระบบ VDO Conference โปรแกรม Zoom Meeting พร้อมด้วย เกษตรและสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับพื้นที่ โดยมีประเด็นการประชุมการตรวจราชการฯ ดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรคการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายสินค้าข้าว ปศุสัตว์ และประมง และความก้าวหน้าปรับปรุงแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด และ 2. รับทราบความก้าวหน้าผลการดําเนินงานตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ข้อสั่งการ/ข้อเสนอแนะในภาพรวมของการประชุมฯ ดังนี้ 1.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการ เพื่อช่วยเร่งรัดการจัดการผลิต แนะนําและส่งเสริมปุ๋ยชีวภาพ และสารชีวภัณฑ์ ให้กับเกษตรกร 2. ขอให้หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ติดตามการช่วยเหลือ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน และเร่งรัดการจัดหาวัคซีน โรคพิษสุนัขบ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และ 3. ขอให้หน่วยงานของกรมประมงศึกษาแนวทางการเลี้ยงปลาในนาข้าว เพื่อส่งเสริมให้กับเกษตรกรในการเพิ่มรายได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2565 กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ กระทรวงเกษตรฯ ประชุมติดตามความก้าวหน้าขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ วันที่ 16 มิถุนายน 2565 เวลา 09.30 น. นายขจร เราประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามความก้าวหน้าของแผนการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในพื้นที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จังหวัดร้อยเอ็ด ประจําเดือนมิถุนายน ผ่านระบบ VDO Conference โปรแกรม Zoom Meeting พร้อมด้วย เกษตรและสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับพื้นที่ โดยมีประเด็นการประชุมการตรวจราชการฯ ดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรคการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายสินค้าข้าว ปศุสัตว์ และประมง และความก้าวหน้าปรับปรุงแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด และ 2. รับทราบความก้าวหน้าผลการดําเนินงานตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ข้อสั่งการ/ข้อเสนอแนะในภาพรวมของการประชุมฯ ดังนี้ 1.ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการ เพื่อช่วยเร่งรัดการจัดการผลิต แนะนําและส่งเสริมปุ๋ยชีวภาพ และสารชีวภัณฑ์ ให้กับเกษตรกร 2. ขอให้หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ติดตามการช่วยเหลือ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคลัมปี สกิน และเร่งรัดการจัดหาวัคซีน โรคพิษสุนัขบ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ และ 3. ขอให้หน่วยงานของกรมประมงศึกษาแนวทางการเลี้ยงปลาในนาข้าว เพื่อส่งเสริมให้กับเกษตรกรในการเพิ่มรายได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021 ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021 จาก 195 ประเทศ ขณะ อย. ย้ํา หน้ากากอนามัยที่ขึ้นทะเบียนจาก อย. มีคุณภาพ วันนี้ 10 ธ.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ล่าสุดประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index : GHS) อันดับที่ 5 ของโลก จากทั้งหมด 195 ประเทศ เป็นอันดับที่ 1 ของเอเซีย จากการประเมินความพร้อมของประเทศในการรับมือการแพร่ระบาดโรคติดต่อปี 2021 โดยมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ( Johns Hopkins Center for Health Security) สหรัฐอเมริกา มีคณะทํางานผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก อาทิ สถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) ร่วมด้วย การประเมินประกอบด้วย 37 ตัวชี้วัด ครอบคลุมประเด็น อาทิ การป้องกันการแพร่ระบาด การตรวจหาเชื้อและติดตามดูแลผู้ป่วย การรับมือต่อการแพร่ระบาด ระบบสาธารณสุข การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล การจัดการกับความเสี่ยงด้านการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคม เป็นต้น โดยประเทศที่อยู่ใน 10 อันดับแรก คือ 1. สหรัฐอเมริกา 2.ออสเตรเลีย 3.ฟินแลนด์ 4. แคนาดา 5. ไทย 6. สโลวาเนีย 7. สหราชอาณาจักร 8. เยอรมนี 9. เกาหลีใต้ และ 10. สวีเดน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณ บุคลากรด่านหน้า ภาคส่วนต่างๆ และคนไทยที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ทําให้ประเทศไทยได้รับคําชื่นชมในเรื่องการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ในปี 2019 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้านสาธารณสุขและการจัดการกับการแพร่ของโรคระบาดที่ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับระดับสากล และเป็นอันดับต้นๆของโลก ปัจจุบันภาพรวมสถานการณ์โควิด – 19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง แต่นายกรัฐมนตรียังเน้นการเฝ้าระวังโดยตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ตามกลุ่มเสี่ยง สถานที่เสี่ยง กลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศทุกราย สุ่มตรวจผู้ติดเชื้อในลักษณะ Cluster รวมทั้งส่งตัวอย่างผู้ป่วยที่อาการต้องสงสัย เพื่อตรวจหาสายพันธุ์ Omicron ทันทีด้วย เพื่อควบคุมไวรัสให้อยู่ในวงจํากัด ขณะเดียวกัน ยังกําชับเรื่องการสวมหน้ากากของชาวต่างชาติ ทั้งกรณี Test & Go และ Sandboxด้วย รองโฆษกรัฐบาล ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อออนไลน์ว่า พบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์หลายยี่ห้อไม่ผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ชี้แจงว่า หน้ากากอนามัยจัดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก อย. โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 17025 และผลการกรองอนุภาค (PFE) เพื่อใช้ป้องกันเชื้อโรค ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานมากกว่า 95% ตามที่มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)กําหนด สําหรับค่าผลต่างความดันนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคจากการสวมใส่ เนื่องจากเป็นค่าที่แสดงถึงความสบายในการสวมใส่เท่านั้น โดยพบว่าอยู่ในช่วง 4-6 mm H2O/cm2 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ......
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021 วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2564 ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021 ไทยติดอันดับ 5 ของโลก ประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ Global Health Security Index : GHS ปี2021 จาก 195 ประเทศ ขณะ อย. ย้ํา หน้ากากอนามัยที่ขึ้นทะเบียนจาก อย. มีคุณภาพ วันนี้ 10 ธ.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ล่าสุดประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index : GHS) อันดับที่ 5 ของโลก จากทั้งหมด 195 ประเทศ เป็นอันดับที่ 1 ของเอเซีย จากการประเมินความพร้อมของประเทศในการรับมือการแพร่ระบาดโรคติดต่อปี 2021 โดยมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ( Johns Hopkins Center for Health Security) สหรัฐอเมริกา มีคณะทํางานผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก อาทิ สถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) ร่วมด้วย การประเมินประกอบด้วย 37 ตัวชี้วัด ครอบคลุมประเด็น อาทิ การป้องกันการแพร่ระบาด การตรวจหาเชื้อและติดตามดูแลผู้ป่วย การรับมือต่อการแพร่ระบาด ระบบสาธารณสุข การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล การจัดการกับความเสี่ยงด้านการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคม เป็นต้น โดยประเทศที่อยู่ใน 10 อันดับแรก คือ 1. สหรัฐอเมริกา 2.ออสเตรเลีย 3.ฟินแลนด์ 4. แคนาดา 5. ไทย 6. สโลวาเนีย 7. สหราชอาณาจักร 8. เยอรมนี 9. เกาหลีใต้ และ 10. สวีเดน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณ บุคลากรด่านหน้า ภาคส่วนต่างๆ และคนไทยที่ร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ทําให้ประเทศไทยได้รับคําชื่นชมในเรื่องการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ในปี 2019 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของนโยบายด้านสาธารณสุขและการจัดการกับการแพร่ของโรคระบาดที่ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับระดับสากล และเป็นอันดับต้นๆของโลก ปัจจุบันภาพรวมสถานการณ์โควิด – 19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง แต่นายกรัฐมนตรียังเน้นการเฝ้าระวังโดยตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ตามกลุ่มเสี่ยง สถานที่เสี่ยง กลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศทุกราย สุ่มตรวจผู้ติดเชื้อในลักษณะ Cluster รวมทั้งส่งตัวอย่างผู้ป่วยที่อาการต้องสงสัย เพื่อตรวจหาสายพันธุ์ Omicron ทันทีด้วย เพื่อควบคุมไวรัสให้อยู่ในวงจํากัด ขณะเดียวกัน ยังกําชับเรื่องการสวมหน้ากากของชาวต่างชาติ ทั้งกรณี Test & Go และ Sandboxด้วย รองโฆษกรัฐบาล ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อออนไลน์ว่า พบหน้ากากอนามัยทางการแพทย์หลายยี่ห้อไม่ผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ชี้แจงว่า หน้ากากอนามัยจัดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก อย. โดยผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 17025 และผลการกรองอนุภาค (PFE) เพื่อใช้ป้องกันเชื้อโรค ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานมากกว่า 95% ตามที่มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)กําหนด สําหรับค่าผลต่างความดันนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคจากการสวมใส่ เนื่องจากเป็นค่าที่แสดงถึงความสบายในการสวมใส่เท่านั้น โดยพบว่าอยู่ในช่วง 4-6 mm H2O/cm2 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ......
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัย ในคืนเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2564
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัย ในคืนเทศกาลลอยกระทง ประจําปี 2564 จากนโยบายและคําสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้กรมเจ้าท่าดําเนินการด้านมาตรการเพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลลอยกระทงประจําปี 2564 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย เป็นประธาน และนายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฎิบัติการ ประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตํารวจน้ํา กองทัพเรือ เอเชียทีค กองเรือลําน้ํา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา สมาคมเรือไทย สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ําเจ้าพระยา บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จํากัด ก่อนคืนเทศกาลลอยกระทง พร้อมลงเรือตรวจการณ์เจ้าท่า ตรวจความพร้อมของท่าเทียบเรือในแม่น้ําเจ้าพระยา ที่คาดว่าจะเป็นท่าเรือหลักๆที่ประชาชนจะมาร่วมกิจกรรมลอยกระทงเป็นจํานวนมาก ได้แก่ ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือเอเชียทีค และท่าเรือไอคอนสยาม โดยกรมเจ้าท่าได้มีการจัดกําลังเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในคืนลอยกระทง ส่วนกลาง จํานวน 196 คน เรือรักษาการณ์ 88 ลํา ส่วนภูมิภาค จํานวน 753 คน เรือรักษาการณ์ 78 ลํา พร้อมออกประกาศควบคุมการเดินเรือ และเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงเทศกาลลอยกระทง ทั้งนี้ การจัดประชุมฯและลงพื้นที่ตรวจดูความพร้อมของท่าเทียบเรือ จะเป็นการช่วยตรวจตราควบคุม ดูแลการเดินเรือ การใช้เรือและท่าเทียบเรือต่างๆในวันลอยกระทง พ.ศ.2564 เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเดินเรือ เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนป้องกันอุบัติเหตุทางน้ําที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และคําแนะนําของเจ้าหน้าที่ประจําท่าเทียบเรือโดยเคร่งครัด หากท่านใดพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ํา สามารถแจ้งสายด่วนกรมเจ้าท่า โทร 1199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัย ในคืนเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2564 วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เตรียมพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัย ในคืนเทศกาลลอยกระทง ประจําปี 2564 จากนโยบายและคําสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้กรมเจ้าท่าดําเนินการด้านมาตรการเพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลลอยกระทงประจําปี 2564 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปลอดภัย เป็นประธาน และนายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฎิบัติการ ประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตํารวจน้ํา กองทัพเรือ เอเชียทีค กองเรือลําน้ํา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา สมาคมเรือไทย สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ําเจ้าพระยา บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จํากัด ก่อนคืนเทศกาลลอยกระทง พร้อมลงเรือตรวจการณ์เจ้าท่า ตรวจความพร้อมของท่าเทียบเรือในแม่น้ําเจ้าพระยา ที่คาดว่าจะเป็นท่าเรือหลักๆที่ประชาชนจะมาร่วมกิจกรรมลอยกระทงเป็นจํานวนมาก ได้แก่ ท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรือสี่พระยา ท่าเรือเอเชียทีค และท่าเรือไอคอนสยาม โดยกรมเจ้าท่าได้มีการจัดกําลังเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ในคืนลอยกระทง ส่วนกลาง จํานวน 196 คน เรือรักษาการณ์ 88 ลํา ส่วนภูมิภาค จํานวน 753 คน เรือรักษาการณ์ 78 ลํา พร้อมออกประกาศควบคุมการเดินเรือ และเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินเรือในช่วงเทศกาลลอยกระทง ทั้งนี้ การจัดประชุมฯและลงพื้นที่ตรวจดูความพร้อมของท่าเทียบเรือ จะเป็นการช่วยตรวจตราควบคุม ดูแลการเดินเรือ การใช้เรือและท่าเทียบเรือต่างๆในวันลอยกระทง พ.ศ.2564 เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเดินเรือ เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนป้องกันอุบัติเหตุทางน้ําที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และคําแนะนําของเจ้าหน้าที่ประจําท่าเทียบเรือโดยเคร่งครัด หากท่านใดพบเห็นเหตุการณ์ความไม่ปลอดภัยทางน้ํา สามารถแจ้งสายด่วนกรมเจ้าท่า โทร 1199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมกระบวนการปั่น ทอ เส้นใยกัญชง เพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ของบริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2564) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมกระบวนการปั่น ทอ เส้นใยกัญชง เพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ของบริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด โดยทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอในการพัฒนาและผลิตเส้นด้ายผสมเส้นใยกัญชงและเมื่อนําไปทอเป็นผ้าผืนจะมีคุณสมบัติ ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันรังสียูวี โดยในเบื้องต้น ได้มีการนําไปผลิต ถุงเท้า รองเท้า และชุดเครื่องแบบสําหรับผู้ปฏิบัติงานในภาคสนาม นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการพัฒนานวัตกรรมผ้าฝัง Zinc pyrithione ลงในเส้นใยผ้า ทําให้ผ้ามีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อโคโรน่าไวรัสได้สูงถึง 99.69 % และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.95 % ซึ่งทางบริษัทนํามาใช้ในการผลิตชุดพยาบาล หน้ากากอนามัย ผ้าม่านที่ใช้ในสถาพยาบาล เพื่อนําไปพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ต่อไป โดยมี ภก.ดร.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมเยี่ยมชม โดยมี นายคมสัน ศุภมิตร์ กรรมการผู้จัดการ และนายสาธิต ธีระประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนา บริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด ให้การต้อนรับ ณ บริษัท เอราวัณสิ่งทอจํากัด จังหวัดสมุทรปราการ #กระทรวงอุตสาหกรรม #เอราวัณสิ่งทอ #สถาบันสิ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ #สถาบันอาหาร #เส้นใยกัญชง #กัญชง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมกระบวนการปั่น ทอ เส้นใยกัญชง เพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ของบริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด คณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเส้นใยกัญชงเพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2564) นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมกระบวนการปั่น ทอ เส้นใยกัญชง เพื่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ ของบริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด โดยทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอในการพัฒนาและผลิตเส้นด้ายผสมเส้นใยกัญชงและเมื่อนําไปทอเป็นผ้าผืนจะมีคุณสมบัติ ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันรังสียูวี โดยในเบื้องต้น ได้มีการนําไปผลิต ถุงเท้า รองเท้า และชุดเครื่องแบบสําหรับผู้ปฏิบัติงานในภาคสนาม นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการพัฒนานวัตกรรมผ้าฝัง Zinc pyrithione ลงในเส้นใยผ้า ทําให้ผ้ามีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อโคโรน่าไวรัสได้สูงถึง 99.69 % และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.95 % ซึ่งทางบริษัทนํามาใช้ในการผลิตชุดพยาบาล หน้ากากอนามัย ผ้าม่านที่ใช้ในสถาพยาบาล เพื่อนําไปพัฒนาสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ต่อไป โดยมี ภก.ดร.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ ร่วมเยี่ยมชม โดยมี นายคมสัน ศุภมิตร์ กรรมการผู้จัดการ และนายสาธิต ธีระประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนา บริษัท เอราวัณสิ่งทอ จํากัด ให้การต้อนรับ ณ บริษัท เอราวัณสิ่งทอจํากัด จังหวัดสมุทรปราการ #กระทรวงอุตสาหกรรม #เอราวัณสิ่งทอ #สถาบันสิ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ #สถาบันอาหาร #เส้นใยกัญชง #กัญชง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48619
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices
วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices January 18, 2022, Government SpokespersonThanakornWangboonkongchanadisclosed that the cabinet approved the budget of 1,480 million Baht from the Government’s contingency fund (fund for emergency) for the implementation of the “2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme, as proposed by Ministry of Commerce. The scheme is aimed to mitigate people’s plightasasresult of the spread of COVID-19and prices hike of food and consumer products, and to provide additional channels for the public to buy necessities and consumer goods at affordable prices, thereby stimulating grassroots economy and domestic consumption. The “2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme will be implemented for 90days. Distribution channels include no less than 3,000 spots in communities across the country, e.g., convenient stores, local malls, markets, public spaces, gas stations, as well as mobile shops. Supply and prices of goods to be sold, which include agro products, eggs, pork, among others, will be controlled by concerned agencies.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices Cabinet approves "2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme to sell necessities and consumer goods to people at affordable prices January 18, 2022, Government SpokespersonThanakornWangboonkongchanadisclosed that the cabinet approved the budget of 1,480 million Baht from the Government’s contingency fund (fund for emergency) for the implementation of the “2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme, as proposed by Ministry of Commerce. The scheme is aimed to mitigate people’s plightasasresult of the spread of COVID-19and prices hike of food and consumer products, and to provide additional channels for the public to buy necessities and consumer goods at affordable prices, thereby stimulating grassroots economy and domestic consumption. The “2022 Ministry of Commerce’s Price Reduction for People” scheme will be implemented for 90days. Distribution channels include no less than 3,000 spots in communities across the country, e.g., convenient stores, local malls, markets, public spaces, gas stations, as well as mobile shops. Supply and prices of goods to be sold, which include agro products, eggs, pork, among others, will be controlled by concerned agencies.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50696
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม
วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม กรมบัญชีกลางดําเนินงานภายใต้คณะทํางานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยดําเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาอย่างต่อเนื่อง นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางดําเนินงานภายใต้คณะทํางานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหิตวิทยา และเภสัชกรเชี่ยวชาญ โดยดําเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะทํางานฯ มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามความเหมาะสม จําเป็น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้และขยายเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ต้องลงทะเบียนเพื่อขออนุมัติการใช้ยาในระบบ OCPA ดังนี้ 1.1 ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้การใช้ยา Rituximab จากเดิม สําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Diffuse Large B-Cell Lymphoma (DLBCL) ชนิด Follicular Lymphoma (FCL) ชนิด Mantle Cell Lymphoma (MCL) และชนิด Marginal Zone Lymphoma (MZL) ให้ขยายสิทธิผู้ป่วยในการเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น 1.2 ขยายเงื่อนไขข้อบ่งชี้การใช้ยา ได้แก่ (1) ยา Rituximab จากเดิม 6 ข้อบ่งชี้ เป็น 10 ข้อบ่งชี้ เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Burkitt Lymphoma/Leukemia (BL) และชนิด Lymphoplasmacytic Lymphoma (LPL) หรือ Waldenstrom macroglobulinemia ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ และสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Burkitt Lymphoma/Leukemia (BL) และชนิด Diffuse Large B-Cell Lymphoma (DLBCL) ในผู้ป่วยเด็ก (2) ยา Bortezomib จากเดิม 1 ข้อบ่งชี้ เป็น 2 ข้อบ่งชี้ เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรค Systemic light chain amyloidosis 2. ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อขออนุมัติการใช้ยาในระบบ OCPA ได้แก่ ยา Azacitidine จากเดิม สําหรับผู้ป่วยโรค Myelodysplastic syndrome ชนิดกลุ่มความเสี่ยงสูง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ชนิดมัยอิลอยด์ (Acute Myeloid Leukemia: AML) ในผู้ป่วยสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ให้ขยายสิทธิผู้ป่วยในการเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น 3. กําหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายา 4 รายการ ได้แก่ Azacitidine, Bendamustine, Bortezomib และ Rituximab เพื่อเป็นการกํากับการเบิกจ่ายเงินให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ โดยผู้ป่วยจะยังคงได้รับยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการรักษาและมีความปลอดภัย “การปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ใช้สิทธิข้าราชการ ให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาที่จําเป็นอย่างสมเหตุผล โดยหลักเกณฑ์ตาม ข้อ 1 - 2 จะมีผลใช้บังคับสําหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป สําหรับอัตราเบิกจ่ายค่ายาตามข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้สําหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02 127 7000 ต่อ 6850 6851 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม กรมบัญชีกลางดําเนินงานภายใต้คณะทํางานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยดําเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาอย่างต่อเนื่อง นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางดําเนินงานภายใต้คณะทํางานพิจารณาแนวทางปรับปรุงและพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ายากลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหิตวิทยา และเภสัชกรเชี่ยวชาญ โดยดําเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะทํางานฯ มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาตามความเหมาะสม จําเป็น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้และขยายเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ต้องลงทะเบียนเพื่อขออนุมัติการใช้ยาในระบบ OCPA ดังนี้ 1.1 ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้การใช้ยา Rituximab จากเดิม สําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Diffuse Large B-Cell Lymphoma (DLBCL) ชนิด Follicular Lymphoma (FCL) ชนิด Mantle Cell Lymphoma (MCL) และชนิด Marginal Zone Lymphoma (MZL) ให้ขยายสิทธิผู้ป่วยในการเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น 1.2 ขยายเงื่อนไขข้อบ่งชี้การใช้ยา ได้แก่ (1) ยา Rituximab จากเดิม 6 ข้อบ่งชี้ เป็น 10 ข้อบ่งชี้ เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Burkitt Lymphoma/Leukemia (BL) และชนิด Lymphoplasmacytic Lymphoma (LPL) หรือ Waldenstrom macroglobulinemia ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ และสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ําเหลือง Non-Hodgkin Lymphoma ชนิด Burkitt Lymphoma/Leukemia (BL) และชนิด Diffuse Large B-Cell Lymphoma (DLBCL) ในผู้ป่วยเด็ก (2) ยา Bortezomib จากเดิม 1 ข้อบ่งชี้ เป็น 2 ข้อบ่งชี้ เพื่อให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรค Systemic light chain amyloidosis 2. ปรับปรุงเงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการใช้ยาที่ไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อขออนุมัติการใช้ยาในระบบ OCPA ได้แก่ ยา Azacitidine จากเดิม สําหรับผู้ป่วยโรค Myelodysplastic syndrome ชนิดกลุ่มความเสี่ยงสูง และโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ชนิดมัยอิลอยด์ (Acute Myeloid Leukemia: AML) ในผู้ป่วยสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ให้ขยายสิทธิผู้ป่วยในการเข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น 3. กําหนดอัตราเบิกจ่ายค่ายา 4 รายการ ได้แก่ Azacitidine, Bendamustine, Bortezomib และ Rituximab เพื่อเป็นการกํากับการเบิกจ่ายเงินให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ โดยผู้ป่วยจะยังคงได้รับยาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการรักษาและมีความปลอดภัย “การปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ใช้สิทธิข้าราชการ ให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาที่จําเป็นอย่างสมเหตุผล โดยหลักเกณฑ์ตาม ข้อ 1 - 2 จะมีผลใช้บังคับสําหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป สําหรับอัตราเบิกจ่ายค่ายาตามข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้สําหรับค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองสวัสดิการรักษาพยาบาล กรมบัญชีกลาง หมายเลขโทรศัพท์ 02 127 7000 ต่อ 6850 6851 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัดประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง
วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัดประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด รวม 30 สายทาง สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ขอนแก่น ร้อยเอ็ด หนองบัวลําภู พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และชุมพร รวม 30 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 10 สายทาง (10 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 2. สายทาง สร.012 ถนนเชิงลาดสะพานใหม่นาหนองไผ่ - กระโพ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+600 - 7+000) 3. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+400) 4. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพบะ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+150 - 4+000) 5. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+250 - 1+725) 6. สายทาง รอ.015 สะพานสามสัมพันธ์ (สะพานข้ามแม่น้ํามูล) อําเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+010 - 0+810) 7. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+050 - 3+500) 8. สายทาง อย.5034 แยกทางหลวงชนบท อย.3006 (กม. ที่ 0+900) - บ้านดอนทอง อําเภอลาดบัวหลวง และเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+575 - 6+550) 9. สายทาง อย.3049 แยก ทล.340 (กม. ที่ 55+900) - บ้านบางตาเถร อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 5+200 - 8+530) 10. สายทาง สพ.005 สะพานบางแม่หม้าย - บางเลน อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+100 - 0+800) 11. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําท่าจีน อําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (กม. ที่ 0+300) ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทางเลี่ยงบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนและฟื้นฟูสายทางที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หากเกิดเหตุอุทกภัยบริเวณสายทาง สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัดประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัดประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง ไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด รวม 30 สายทาง สัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 08.30 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ขอนแก่น ร้อยเอ็ด หนองบัวลําภู พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และชุมพร รวม 30 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 19 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 11 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 10 สายทาง (10 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 2. สายทาง สร.012 ถนนเชิงลาดสะพานใหม่นาหนองไผ่ - กระโพ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+600 - 7+000) 3. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+400) 4. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพบะ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+150 - 4+000) 5. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+250 - 1+725) 6. สายทาง รอ.015 สะพานสามสัมพันธ์ (สะพานข้ามแม่น้ํามูล) อําเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+010 - 0+810) 7. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+050 - 3+500) 8. สายทาง อย.5034 แยกทางหลวงชนบท อย.3006 (กม. ที่ 0+900) - บ้านดอนทอง อําเภอลาดบัวหลวง และเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+575 - 6+550) 9. สายทาง อย.3049 แยก ทล.340 (กม. ที่ 55+900) - บ้านบางตาเถร อําเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 5+200 - 8+530) 10. สายทาง สพ.005 สะพานบางแม่หม้าย - บางเลน อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+100 - 0+800) 11. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําท่าจีน อําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (กม. ที่ 0+300) ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทางเลี่ยงบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนและฟื้นฟูสายทางที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หากเกิดเหตุอุทกภัยบริเวณสายทาง สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดำ-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ำท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดํา-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ําท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดํา-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ําท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ว่า ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน และแขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... โดยมีสาระสําคัญเป็นการกําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน และแขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร มีความกว้าง 50 เมตร ความยาวประมาณ 1.7 กิโลเมตร เพื่อดําเนินโครงการขยายคลองและก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองลุงหน่าง ช่วงทางรถไฟวงเวียนใหญ่-มหาชัยถึงคลองบางบอน เนื่องจากปัจจุบันคลองลุงหน่างมีความกว้างเพียง 1-2 เมตรและมีลักษณะเป็นคอขวด ทําให้ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ําหลากในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกได้เพียงพอ จึงจําเป็นต้องขยายคลองและสร้างเขื่อน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําไปยังโครงการแก้มลิงคลองมหาชัย- คลองสนามชัย อันเนื่องมาจากพระราชดําริได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกามีระยะเวลาบังคับใช้ 4 ปี โดยเริ่มให้เจ้าหน้าที่เข้าสํารวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนได้ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดำ-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ำท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดํา-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ําท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก ครม.ไฟเขียว! เวนคืนที่ดินริมคลองลุงหน่าง แขวงแสมดํา-บางบอนใต้ สร้างเขื่อนขยายคลองแก้ปัญหาน้ําท่วมขังกรุงเทพฝั่งตะวันตก นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ว่า ครม.อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน และแขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... โดยมีสาระสําคัญเป็นการกําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงแสมดํา เขตบางขุนเทียน และแขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร มีความกว้าง 50 เมตร ความยาวประมาณ 1.7 กิโลเมตร เพื่อดําเนินโครงการขยายคลองและก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กคลองลุงหน่าง ช่วงทางรถไฟวงเวียนใหญ่-มหาชัยถึงคลองบางบอน เนื่องจากปัจจุบันคลองลุงหน่างมีความกว้างเพียง 1-2 เมตรและมีลักษณะเป็นคอขวด ทําให้ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ําหลากในพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกได้เพียงพอ จึงจําเป็นต้องขยายคลองและสร้างเขื่อน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําไปยังโครงการแก้มลิงคลองมหาชัย- คลองสนามชัย อันเนื่องมาจากพระราชดําริได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกามีระยะเวลาบังคับใช้ 4 ปี โดยเริ่มให้เจ้าหน้าที่เข้าสํารวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนได้ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51612
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม พิธีเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากรสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้อง Gallery ๕ ชั้น ๑ หอศิลป์แห่งชาติ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 ปลัด วธ. เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม พิธีเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการเสวนาหัวข้อ “ก้าวที่มั่นคงสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม” ในงานก้าวสู่ ๒ ทศวรรษกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและบุคลากรสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ห้อง Gallery ๕ ชั้น ๑ หอศิลป์แห่งชาติ กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่ถือเป็นวันลา วันที่ 10 พ.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2565 รวม 24 วัน โดยแยกเป็นส่วนกลาง 91 คน จัดพิธี ที่วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และ ส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด 819 คน จัดพิธีที่วัดในจังหวัดต่างๆที่เข้าร่วมโครงการ สําหรับการรับสมัครอยู่ช่วงระหว่างวันที่ 18 เมษายน – พฤษภาคม 2565 มีพิธีปลงผมวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 พิธีมอบผ้าไตร วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ทําเนียบรัฐบาล การเตรียมการก่อนบรรพชาอุปสมบทวันที่ 23 – 24 กรกฎาคม 2565 พิธีบรรพชาอุปสมบทวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 การศึกษาและปฏิบัติธรรม วันที่ 25 กรกฎาคม -13 สิงหาคม 2565 พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์จํานวน 91 รูป วันที่ 12 สิงหาคม 2565 ส่วนกลางที่ท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาค ที่ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม และพิธีลาสิกขา วันที่ 13 สิงหาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครม.เห็นชอบให้ข้าราชการ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่ถือเป็นวันลา วันที่ 10 พ.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท 910 รูป เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2565 รวม 24 วัน โดยแยกเป็นส่วนกลาง 91 คน จัดพิธี ที่วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และ ส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด 819 คน จัดพิธีที่วัดในจังหวัดต่างๆที่เข้าร่วมโครงการ สําหรับการรับสมัครอยู่ช่วงระหว่างวันที่ 18 เมษายน – พฤษภาคม 2565 มีพิธีปลงผมวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 พิธีมอบผ้าไตร วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ทําเนียบรัฐบาล การเตรียมการก่อนบรรพชาอุปสมบทวันที่ 23 – 24 กรกฎาคม 2565 พิธีบรรพชาอุปสมบทวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 การศึกษาและปฏิบัติธรรม วันที่ 25 กรกฎาคม -13 สิงหาคม 2565 พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์จํานวน 91 รูป วันที่ 12 สิงหาคม 2565 ส่วนกลางที่ท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาค ที่ศาลากลางจังหวัด หรือสถานที่ที่เหมาะสม และพิธีลาสิกขา วันที่ 13 สิงหาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ คาดเปิดใช้ปี 70
วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ครม. ไฟเขียว โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ คาดเปิดใช้ปี 70 ..... ที่ประชุม ครม. (18 ม.ค. 65) อนุมัติโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 14,670 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเส้นทางการเดินทางระหว่างตัวเมืองภูเก็ตไปยังหาดป่าตองให้กับประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น เนื่องจากสภาพเส้นทางที่ลาดชันและคดเคี้ยว และใช้เป็นเส้นทางอพยพ กรณีเกิดภัยพิบัติ (เช่น กรณีเกิดสึนามิ) . สําหรับรูปแบบการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนรับผิดชอบ ออกแบบ ก่อสร้าง ดําเนินงานและบํารุงรักษา ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี . คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ในปี 2570 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสัญจร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศเป็นไปตามการสนับสนุนการพัฒนา จ.ภูเก็ต ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อีกด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ คาดเปิดใช้ปี 70 วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ครม. ไฟเขียว โครงการทางพิเศษสายกะทู้ – ป่าตอง จ.ภูเก็ต เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ คาดเปิดใช้ปี 70 ..... ที่ประชุม ครม. (18 ม.ค. 65) อนุมัติโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 14,670 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเส้นทางการเดินทางระหว่างตัวเมืองภูเก็ตไปยังหาดป่าตองให้กับประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น เนื่องจากสภาพเส้นทางที่ลาดชันและคดเคี้ยว และใช้เป็นเส้นทางอพยพ กรณีเกิดภัยพิบัติ (เช่น กรณีเกิดสึนามิ) . สําหรับรูปแบบการลงทุน เป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนรับผิดชอบ ออกแบบ ก่อสร้าง ดําเนินงานและบํารุงรักษา ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี . คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ในปี 2570 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสัญจร และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศเป็นไปตามการสนับสนุนการพัฒนา จ.ภูเก็ต ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อีกด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50690
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน วันนี้ (7 ม.ค. 65) เวลา 15.00 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ตามที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้รับมอบหมายจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ยโสธร และอํานาจเจริญ ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและชีวิตวิถีใหม่ ตามแนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ทั้งนี้ รมว.พม. จึงมีนโยบายพัฒนาจังหวัดพิษณุโลก โดยขับเคลื่อนพื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว มีทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งถ้ํา หน้าผา ภูเขาหินปูนที่สวยงามและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัด และเพื่อส่งเสริมอาชีพ ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก ที่ส่งเสริมให้กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ครอบครัว และองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน ได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชนและท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ทั้งนี้ จึงได้เตรียมจัดกิจกรรม “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง” พื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยจะมีกิจกรรมย่อย ดังนี้ 1) จดทะเบียนสมรส ที่พื้นที่ปีนหน้าผา 2) กิจกรรมการแข่งขันปั่นจักรยาน ในพื้นที่ตําบลบ้านมุง และ 3) การปลูกต้นไม้ ซึ่งไม่เคยจัดที่ไหนมาก่อน โดยการขับเคลื่อนงานดังกล่าวกระทรวง พม.ได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน ซึ่งการจัดปีนหน้าผาบ้านมุงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าพื้นที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ซึ่งกระทรวง พม. โดยตน ได้หารือกับกรมป่าไม้ และกรมป่าไม้ได้ออกประกาศ “ประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง กําหนดให้บริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ําวังทองฝั่งซ้าย ในท้องที่ตําบลเนินมะปราง และตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นป่านันทนาการ” ประกาศเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ซึ่งถือว่าเป็นการปลดล๊อคให้ผาหินบ้านมุง เป็นสถานที่ท่องเที่ยงเชิงธรรมชาติ ซึ่งมีทีมงานเจาะหน้าผาบ้านมุง นําโดยนายไกรศักดิ์ บุญทิพย์ จากสมาคมปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย และมีนายสุธี สมมาตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานกู้ภัยหมูป่าที่ถ้ําหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มาร่วมเจาะผาในครั้งนี้ด้วย นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติ่มว่า ขณะที่จังหวัดพิษณุโลก ได้จัดประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนกิจกรรมปีน ปั่น ปลูก ป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง พื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนางสาวอรนุช ชัยชาญ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ซึ่งสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลกได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดกิจกรรมจดทะเบียนสมรสบริเวณจุดปีนหน้าผาและกิจกรรมการแข่งขันปั่นจักรยาน และสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพิษณุโลกได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดทําเส้นทางปีนหน้าผา โดยการประชุมดังกล่าวได้มีการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้ได้จัดทําโครงการเสนอต่อกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัดพิษณุโลกเรียบร้อยแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน พม. จับมือภาคีเครือข่ายจังหวัดพิษณุโลก เตรียมจัดงาน 14 ก.พ. ปีน ปั่น ปลูก ผูกรักไร้พรมแดน วันนี้ (7 ม.ค. 65) เวลา 15.00 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ตามที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้รับมอบหมายจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ยโสธร และอํานาจเจริญ ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและชีวิตวิถีใหม่ ตามแนวคิด “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ทั้งนี้ รมว.พม. จึงมีนโยบายพัฒนาจังหวัดพิษณุโลก โดยขับเคลื่อนพื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว มีทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งถ้ํา หน้าผา ภูเขาหินปูนที่สวยงามและมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัด และเพื่อส่งเสริมอาชีพ ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก ที่ส่งเสริมให้กลุ่มเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ครอบครัว และองค์กรต่าง ๆ ในชุมชน ได้รับการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชนและท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า ทั้งนี้ จึงได้เตรียมจัดกิจกรรม “ปีน ปั่น ปลูกป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง” พื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยจะมีกิจกรรมย่อย ดังนี้ 1) จดทะเบียนสมรส ที่พื้นที่ปีนหน้าผา 2) กิจกรรมการแข่งขันปั่นจักรยาน ในพื้นที่ตําบลบ้านมุง และ 3) การปลูกต้นไม้ ซึ่งไม่เคยจัดที่ไหนมาก่อน โดยการขับเคลื่อนงานดังกล่าวกระทรวง พม.ได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน ซึ่งการจัดปีนหน้าผาบ้านมุงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะว่าพื้นที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ซึ่งกระทรวง พม. โดยตน ได้หารือกับกรมป่าไม้ และกรมป่าไม้ได้ออกประกาศ “ประกาศกรมป่าไม้ เรื่อง กําหนดให้บริเวณพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ําวังทองฝั่งซ้าย ในท้องที่ตําบลเนินมะปราง และตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เป็นป่านันทนาการ” ประกาศเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ซึ่งถือว่าเป็นการปลดล๊อคให้ผาหินบ้านมุง เป็นสถานที่ท่องเที่ยงเชิงธรรมชาติ ซึ่งมีทีมงานเจาะหน้าผาบ้านมุง นําโดยนายไกรศักดิ์ บุญทิพย์ จากสมาคมปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย และมีนายสุธี สมมาตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานกู้ภัยหมูป่าที่ถ้ําหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มาร่วมเจาะผาในครั้งนี้ด้วย นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติ่มว่า ขณะที่จังหวัดพิษณุโลก ได้จัดประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนกิจกรรมปีน ปั่น ปลูก ป่านันทนาการภูผาหินบ้านมุง พื้นที่ตําบลบ้านมุง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนางสาวอรนุช ชัยชาญ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ซึ่งสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลกได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดกิจกรรมจดทะเบียนสมรสบริเวณจุดปีนหน้าผาและกิจกรรมการแข่งขันปั่นจักรยาน และสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพิษณุโลกได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดทําเส้นทางปีนหน้าผา โดยการประชุมดังกล่าวได้มีการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้ได้จัดทําโครงการเสนอต่อกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัดพิษณุโลกเรียบร้อยแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤศจิกายน 2564
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 3. เรื่อง โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) 4. เรื่อง (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) 5. เรื่อง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ 6. เรื่อง การติดตามการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการโดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน 7. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) 8. เรื่อง รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 9. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 10. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 11. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2564 12. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 13. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 38/2564 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 17. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 18. เรื่อง ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ บริษัท เคหะสุขประชา จํากัด (มหาชน) 20. เรื่อง แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน 21. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่างประเทศ 22. เรื่อง การรับรองร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 23. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 24. เรื่อง การเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 26. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 แต่งตั้ง 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) 29. เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร ที่ผลิตจากสารเคมี เช่น พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน เป็นต้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารที่มีคุณภาพ อันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยจากสารเคมีปนเปื้อนที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่ง อก. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 1 พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 1 – 2553 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4225 (พ.ศ. 2553) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 1 พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 2. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 2 พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิคาร์บอเนต พอลิแอไมด์ และพอลิเมทิลเมทาคริเลต มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 2 – 2554 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4366 (พ.ศ. 2554) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 2 พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิคาร์บอเนต พอลิแอไมด์ และพอลิเมทิลเมทาคริเลต ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 3. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 3 อะคริโลไนไทรล์ – บิวทะไดอีน - สไตรีน และสไตรีน – อะคริโลไนไทรล์ มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 3 – 2554 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4367 (พ.ศ. 2554) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 3 อะคริโลไนไทรล์ – บิวทะไดอีน - สไตรีน และสไตรีน – อะคริโลไนไทรล์ ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 4. กําหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ กค. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. 2561 โดยเพิ่มหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวนเงินสะสมสูงสุด ในกรณีที่มีความจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารการคลังของรัฐ และการกําหนดให้ทุนหมุนเวียนที่ใช้จ่ายเงินบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือแผนการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนแล้วและมีเงินคงเหลือหรือมีเงินคงเหลือเกินความจําเป็นในรอบบัญชีนั้น ให้นําเงินดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารการเงินการคลังของรัฐมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งมีความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความคล่องตัว มีเสถียรภาพ และทําให้ประชาชนมีการดํารงชีพในสังคมเป็นไปในทางที่ดีขึ้น สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวนเงินสะสมสูงสุด โดยคํานวณจากการนําประมาณการรายจ่ายปีปัจจุบันและประมาณการรายจ่ายประจําปีบัญชีย้อนหลังไปอีกหนึ่งปีรวมกันสองรอบปีบัญชี คูณด้วยร้อยละเฉลี่ยของความสามารถในการจ่ายเงินสองรอบปีบัญชีที่ล่วงมาแล้ว โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2. กําหนดให้ทุนหมุนเวียนที่ใช้จ่ายเงินบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือแผนการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนแล้วและมีเงินคงเหลือหรือมีเงินคงเหลือเกินความจําเป็นในรอบบัญชีนั้น ให้นําเงินดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เศรษฐกิจ สังคม 3. เรื่อง โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอดังนี้ 1. โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - ปี 2570) (โครงการสําคัญฯ) จํานวน 406 โครงการ 2. แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญฯ สาระสําคัญของเรื่อง สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รายงานว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 ได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดทําโครงการสําคัญฯ ดังนี้ 1. โครงการสําคัญฯ 1.1 สศช. ร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - ปี 2570) (แผนแม่บทฯ) (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.1) หน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับประเด็นแผนแม่บทฯ (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.2) และหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อย (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.3) รวมทั้งทุกหน่วยงานของรัฐในระดับกรมหรือเทียบเท่า ในฐานะหน่วยปฏิบัติซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการขับเคลื่อนการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ จัดทําโครงการสําคัญฯ ตามแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อให้การแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในห้วงระยะเวลาที่เหลือของยุทธศาสตร์ชาติ เป็นการดําเนินงานบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ได้อย่างแท้จริง ยึดหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล(Causal Relationship: XYZ) และวงจรนโยบาย (Policy cycle)1 นําไปสู่การบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดทําโครงการสําคัญในแต่ละปีงบประมาณในห้วงปี 2566 - 2570 ที่สามารถส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ในปี 2570 ซึ่งเป็นห้วงที่ 2 ของการดําเนินการตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยยึดแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ใน 4 แนวทาง ประกอบด้วย (1) การมองเป้าหมายร่วมกัน (2) การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายแผนแม่บทย่อยและจัดทําข้อเสนอโครงการสําคัญ (3) การจัดลําดับความสําคัญของข้อเสนอโครงการ และ (4) การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Online) ในระหว่างช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 1.2 หน่วยงานของรัฐนําเข้าข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และผ่านการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา (M7)2 จํานวนทั้งสิ้น 3,039 โครงการ โดย สศช. และหน่วยงานเจ้าภาพ จ.1 จ.2 และ จ.3 ประเมินให้คะแนนข้อเสนอโครงการสําคัญฯ3 ตามหลักเกณฑ์ที่ สศช. กําหนดซึ่งครอบคลุมกระบวนการทางสถิติ อาทิ การใช้เกณฑ์ค่าความเห็นพ้องของผู้ประเมิน การปรับคะแนนตามค่ามาตรฐาน และการถ่วงคะแนนด้วยค่าน้ําหนักของแต่ละเป้าหมายแผนแม่บทย่อยตามความสําคัญ/เร่งด่วน โดยได้โครงการสําคัญฯ ที่ผ่านการประเมินจํานวนทั้งสิ้น 406 โครงการ ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการสําคัญฯ จะต้องนําโครงการสําคัญฯ ไปบรรจุในแผนปฏิบัติราชการประจําปีของหน่วยงานร่วมกับการดําเนินงานตามภารกิจปกติอื่น ๆ และดําเนินการตามกระบวนการขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ มีเป้าหมายแผนแม่บทย่อยที่ไม่มีโครงการสําคัญฯ มารองรับจํานวนทั้งสิ้น 45 เป้าหมาย จาก 140 เป้าหมาย อาทิ เป้าหมายการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้น เป้าหมายคุณภาพชีวิต ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์และความเสมอภาคทางสังคมได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากผลการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคม เป้าหมายสถาบันเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความเข้มแข็งในระดับมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานเจ้าภาพ จ.3 จะต้องพิจารณาจัดทําโครงการให้ครอบคลุมทั้ง 140 เป้าหมายต่อไป 2. แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญ สศช. ได้นําข้อสังเกตจากการดําเนินการตามแนวทางในข้อ 1 มาจัดทําเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างแท้จริง โดยแนวทางการขับเคลื่อนดังกล่าวมีสาระสําคัญ ดังนี้ ประเด็น สาระสําคัญ 2.1 แนวทางที่ 1 การมองเป้าหมายร่วมกัน หน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายแผนแม่บทย่อย จากภารกิจของหน่วยงานและข้อมูลโครงการ/การดําเนินงานที่ผ่านมาภายใต้เป้าหมายแผนแม่บทย่อย ในระบบ eMENSCR เพื่อไปสู่การมองเป้าหมายการพัฒนาร่วมกันประสานและขับเคลื่อนการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการในทิศทางเดียวกัน 2.2 แนวทางที่ 2 การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายแผนแม่บทย่อย และการจัดทําข้อเสนอโครงการสําคัญฯ · สศช. จัดทําคู่มือโครงการสําคัญฯ และปฏิทินขับเคลื่อนกระบวนการจัดทําโครงการสําคัญฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่กําหนดให้ยึดแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป · หน่วยงานจัดทําและปรับข้อเสนอโครงการสําคัญฯ บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็นไปตามหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (XYZ) และสอดคล้องกับห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทยทั้ง 140 เป้าหมาย แผนแม่บทย่อยภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับแก้ไขปี 2566) และมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป · ทุกหน่วยงานของรัฐเสนอโครงการสําคัญฯ ผ่านระบบ eMENSCR ให้ทันกรอบระยะเวลาการดําเนินการ 2.3 แนวทางที่ 3 การจัดลําดับความสําคัญของข้อเสนอโครงการสําคัญฯ · หน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานต่าง ๆ และหน่วยงานผู้มีสิทธิ์ประเมินให้คะแนนโครงการสําคัญฯ ต้องดําเนินการ ดังนี้ (1) ศึกษาและทําความเข้าใจกระบวนการประเมิน (2) เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินให้คะแนนอย่างเที่ยงตรงและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ได้ข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ที่สามารถขับเคลื่อนการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ 2.4 แนวทางที่ 4 การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ · ทุกหน่วยงานดําเนินการตามกระบวนการที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ดังนี้ (1) จัดทําแผนปฏิบัติราชการรายปี และแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (2) สิ้นปีงบประมาณให้จัดทํารายงานแสดงผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการประจําปีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี · ทุกหน่วยงานของรัฐต้องนําเข้าและรายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการในระบบ eMENSCR ดังนี้ แผนปฏิบัติราชการ ระยะเวลานําเข้า ระยะเวลา รายงาน ผลสัมฤทธิ์ รายปี ภายในวันที่ 30 ตุลาคม ของปีที่ได้รับงบประมาณ 3 เดือน เมื่อสิ้นปี งบประมาณ ระยะ 5 ปี ภายใน วันที่ 30 ตุลาคม ของปีงบประมาณ ที่เริ่มดําเนินการ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา ของแผนระยะ 5 ปี กรณีหน่วยงานของรัฐที่ดําเนินงานตามปีปฏิทิน รายปี ภายในวันที่ 30 มกราคม ของปี ที่ได้รับงบประมาณ หรือเริ่มดําเนินการ ภายใน 3 เดือน เมื่อสิ้นปีปฏิทิน หรือเสร็จสิ้น การดําเนินการ ระยะ 5 ปี 2.5 การจัดสรรงบประมาณ มอบหมาย สงป. ดําเนินการ ดังนี้ · พิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดําเนินโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ ในลักษณะงบประมาณพิเศษ หรืองบประมาณแบบบูรณาการ · ใช้ห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย 140 เป้าหมายแผนแม่บทย่อยฯ (ฉบับแก้ไขปี 2566) เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อไป ซึ่งต้องครอบคลุมทุกปัจจัยและองค์ประกอบของห่วงโซ่คุณค่าของเป้าหมายแผนแม่บทย่อย 3. มติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ และแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญฯ _______________________ 1เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ใด้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง จัดทําและปรับปรุงข้อมูล สถิติ สถานการณ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อสนับสนุนการจัดทํานโยบาย 2ลําดับการอนุมัติ (M7) ในระบบ eMENSCR โดยการนําข้อมูลเข้าสู่ระบบดังกล่าวล้วนต้องผ่านการอนุมัติข้อมูลตามลําดับขั้น (M7) เพื่อยืนยันความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล 3มีหน่วยงานที่ไม่ได้ดําเนินการประเมินให้คะแนนข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ได้แก่ สํานักงบประมาณ (สงป.) ในฐานะหน่วยงานผู้มีสิทธิ์ประเมินให้คะแนนโครงการสําคัญฯ และสํานักงาน ก.พ. ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ จ.3 4. เรื่อง (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบสาระสําคัญของ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) (แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13) และกรอบแนวคิดของการขับเคลื่อน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 2. มอบหมาย สศช. ประสานงานกับสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อกําหนดกลไกที่เหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสําหรับสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และมอบหมาย สงป. จัดทํายุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สามารถบรรลุผลตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยในส่วนการมอบหมาย สศช. นําความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ มาพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนําเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาความเหมาะสมตามลําดับต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สาระสําคัญของเรื่อง สศช. รายงานว่า ปัจจุบัน สศช. อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะมีกําหนดแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2564 จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 1. สาระสําคัญของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ประกอบด้วย 1.1 บทบาท ความสําคัญ และสถานะ โดยที่แผนพัฒนาฯ เป็นแผนระดับที่ 2 ซึ่งเป็นกลไกในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ ทําหน้าที่ระบุทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาที่ประเทศควรให้ความสําคัญในระยะ 5 ปี ดังนั้น จึงได้มีการปรับเปลี่ยนกรอบการจัดทํา (ร่าง) แผนพัฒนาฯ (ฉบับที่ 13) ให้ครอบคลุมเฉพาะประเด็นการพัฒนาประเทศที่มีความสําคัญสูง ทั้งนี้ ประเด็นการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติซึ่งไม่ได้ระบุไว้ใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ (ฉบับที่ 13) จะดําเนินการขับเคลื่อนผ่านแผนระดับ 2 ฉบับอื่นต่อไป 1.2 หลักการและแนวคิด 4 ประการ ได้แก่ (1) หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (2) แนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) มุ่งเน้นการลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง และการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและยั่งยืน (3) เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ และ (4) โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular -Green Economy: BCG) นอกจากนี้ยังได้คํานึงถึงเงื่อนไขและข้อจํากัดที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของบริบทในระดับประเทศและระดับโลกในระยะยาวอันเป็นผลสืบเนื่องจากโควิด - 19 1.3 วัตถุประสงค์และเป้าหมาย เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย (ไทย) สู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายหลักที่ต้องการบรรลุผล 5 ประการ สรุปได้ ดังนี้ เป้าหมาย สาระสําคัญ (1) การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการที่สําคัญให้สามารถตอบโจทย์พัฒนาการของเทคโนโลยีและสังคมยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2) การพัฒนาคนสําหรับโลกยุคใหม่ พัฒนาคนไทยให้มีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่และเตรียมกําลังคนที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน (3) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ําเชิงรายได้ ความมั่นคง และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคม (4) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและการบริโภคให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับขีดความสามารถของระบบนิเวศและการแก้ไขปัญหามลพิษด้วยวิธีการที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในระยะยาว (5) การเสริมสร้างความ สามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทโลกใหม่ สร้างความพร้อมในการรับมือและแสวงหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลก พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างและระบบการบริหารงานของภาครัฐ ให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี 1.4 หมุดหมายการพัฒนา ได้กําหนด 13 หมุดหมายการพัฒนาเพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 มิติ ดังนี้ มิติ หมุดหมายการพัฒนา (1) ภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย 6 หมุดหมาย 1. ไทยเป็นประเทศชั้นนําด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2. ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 3. ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4. ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 5. ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ ที่สําคัญของภูมิภาค 6. ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน (2) โอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม 3 หมุดหมาย 7. ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8. ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 9. ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม (3) ความยั่งยืนของทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2 หมุดหมาย 10. ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ํา 11. ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ 2 หมุดหมาย 12. ไทยมีกําลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต 13. ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน 2. กรอบแนวคิดของการขับเคลื่อน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ใช้หลักการของวงจรบริหารงานคุณภาพ (Plan-Do-Check-Act: PDCA) ซึ่งให้ความสําคัญกับการสร้างกระบวนการทํางานที่เป็นระบบและมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีสาระสําคัญ สรุปได้ ดังนี้ 2.1 การขับเคลื่อน (Do) ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) การขับเคลื่อนแบบบนลงล่าง (Top down) โดยการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่มีองค์ประกอบครอบคลุมภาคีการพัฒนาทั้งภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการและสร้างความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ในการผลักดันให้การดําเนินงานสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และ (2) การขับเคลื่อนแบบล่างขึ้นบน (Bottom up) ผ่านการจัดทําแผนพัฒนาภาค และจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่มีการถ่ายระดับเป้าหมายการพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพ ความต้องการและทรัพยากรของพื้นที่ รวมถึงเป็นไปตามนโยบาย หลักเกณฑ์ และแนวทาง ตามที่คณะกรรมการบูรณาการนโยบายภาคและคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการกําหนด 2.2 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Check) ใช้กลไกการทํางานที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวข้องกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เช่น ผู้ตรวจราชการ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ สศช. และ สงป. 2.3 การปรับปรุงการดําเนินงานตามผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Act) หน่วยงานและกลไกที่เกี่ยวข้องนําผลการติดตามฯ ไปวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อกําหนดมาตรการปรับปรุงแก้ไขการดําเนินงานให้มุ่งสู่เป้าหมายตามระยะเวลาที่กําหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. เรื่อง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอ และให้ สศช. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรายงานว่า 1. เพื่อให้การดําเนินการของหน่วยงานของรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนอื่น ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงจําเป็นต้องมีกลไกการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ตามหลักวงจรนโยบาย (Policy Cycle)1 เพื่อนําไปสู่การวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap analysis)2 เชิงนโยบายและช่องว่างการพัฒนาต่อการบรรลุเป้าหมาย การจัดทําข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและปรับปรุงกระบวนการดําเนินงานบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไปโดยหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ดําเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ การดําเนินการ กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง กํากับให้การดําเนินงานส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (แผนแม่บทฯ) และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติ การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 - จัดทําแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เป็นแผนระยะ 5 ปี ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง - จัดทําแผนปฏิบัติราชการประจําปี (ทุกปีงบประมาณ) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 - จัดทํารายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการประจําปีเมื่อสิ้นปีงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรี - รายงานผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR3) ระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ตาม การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบันยังขาดการบูรณาการ และไม่ได้ดําเนินการบนฐานข้อมูลเดียวกันอย่างเป็นระบบจึงยังไม่สามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานของหน่วยงานรัฐให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายและผลลัพธ์ตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ รวมทั้งแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นรูปธรรม 2. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 มีมติเห็นชอบแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดหลักการบริหารงานคุณภาพ (PLAN DO CHECK ACT : PDCA) ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสําคัญกับขั้นตอนการตรวจสอบ (CHECK) และการปรับปรุงการดําเนินการ (ACT) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ ช่วยควบคุมและพัฒนากระบวนการทํางานอย่างมีการวางแผน ป้องกันการเกิดปัญหา เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นระยะเพื่อนําไปสู่การแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเกิดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการปรับปรุงกระบวนการ ดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ดังนี้ 2.1 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Check) อย่างบูรณาการเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการทํางานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 โดยใช้ระบบ eMENSCR เป็นเครื่องมือกลางในการดําเนินการซึ่งแนวทางการดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [หน่วยงานของรัฐ ผู้ตรวจราชการระดับต่าง ๆ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ระดับต่าง ๆ คณะกรรมการระดับชาติ สํานักงบประมาณ (สงป.) และ สศช.] สรุปได้ ดังนี้ 1) การดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การดําเนินการ การจัดทําแผน การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (การติดตามฯ) โดยใช้ข้อมูล จากระบบ eMENSCR การจัดทําและรายงานผลสัมฤทธิ์ในระบบ eMENSCR (รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ) 1) หน่วยงานของรัฐ จัดทําแผนระดับที่ 3 โดยจัดทําแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี และรายปี · นําเข้าข้อมูลในระบบต่าง ๆ ดังนี้ ข้อมูล ระบบ โครงการ/การดําเนินงาน นําเข้าข้อมูล ในระบบ eMENSCR แผนระดับที่ 3 แผนหรือโครงการ/งานวิจัย ฐานข้อมูล เปิดภาครัฐ (Open - D) · เร่งรัดกระบวนการดําเนินโครงการ/กิจกรรมและผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินงาน รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ · โครงการ/การดําเนินงาน (ภายใน 30 วันหลังสิ้นสุดไตรมาส) · แผนปฏิบัติราชการ - แผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี : เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผน - แผนปฏิบัติราชการรายปี : ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป · แผนหรือโครงการ/งานวิจัย (หลังสิ้นสุดปีงบประมาณ) 2) ผู้ตรวจราชการระดับต่าง ๆ - สํานักนายกรัฐมนตรี (นร.) - กระทรวง - กรม นร.:จัดทําแผนการตรวจราชการประจําปี โดยใช้ข้อมูลจากระบบ eMENSCR และรายงานการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ กระทรวง : ติดตามฯ โครงการ/การดําเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนี้ - เป้าหมายของแผนปฏิบัติราชการ และแผนการตรวจราชการกระทรวง (ในฐานะหน่วยงานของรัฐ) - เป้าหมายแผนแม่บทฯ (ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ) กรม : การติดตามฯ ตามแผนปฏิบัติราชการกรม รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป 3) ค.ต.ป. ระดับต่าง ๆ - ค.ต.ป. - คณะอนุกรรมการฯ กลุ่มกระทรวง (อ.ค.ต.ป.) - ค.ต.ป. กระทรวง ค.ต.ป. : จัดทําแผนการตรวจสอบและประเมินผลประจําปี4 ติดตามฯ การดําเนินงานให้เป็นไปตามแผน ดังนี้ - แผนการตรวจสอบ และประเมินผลประจําปี (อ.ค.ต.ป. และ ค.ต.ป. กระทรวง) - แผนปฏิบัติราชการ (ค.ต.ป. กระทรวง) โดยมอบหมายให้สํานักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ค.ต.ป. ประสานงานกับ ค.ต.ป. ระดับต่าง ๆ ตามแนวทางการดําเนินการดังกล่าว รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป 4) คณะกรรมการระดับชาติ จัดทําแผนปฏิบัติการด้าน ... ตามที่กฎหมายกําหนด5 ติดตามฯ การดําเนินงานของหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการด้าน... ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการระดับชาติตามที่กฎหมายกําหนด ฝ่ายเลขานุการรายงานผลสัมฤทธิ์ฯ การดําเนินงานของแผนปฏิบัติการด้าน... เป็นรายปีให้สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทฯ 5) สงป. - ติดตามฯ การใช้จ่ายงบประมาณประจําปีของหน่วยงานรัฐ โดยใช้ข้อมูลความก้าวหน้าผลการดําเนินงานของหน่วยงานแต่ละไตรมาสจากระบบ eMENSCR รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ รายไตรมาส 6) สศช. - ติดตามฯ การดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและพัฒนาระบบ eMENSCR ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) รองรับการรายงานผลสัมฤทธิ์ รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ประจําปี 2) กลไกตาม 1) ทําหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (CHECK) เพื่อให้การดําเนินการในแต่ละระดับบรรลุตามเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทฯ และแผนอื่น ๆ ดังนี้ การขับเคลื่อนประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ ยุทธศาสตร์ชาติ · สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ : รายงานสรุปผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและประเมินสถานการณ์การบรรลุเป้าหมาย กลไกการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล + รายงานผลสัมฤทธิ์ผ่านระบบ แผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ · ผู้ตรวจราชการ นร. · สศช. : รายงานสรุปผลฯ · ค.ต.ป./อ.ค.ต.ป. และประเมินสถานการณ์ · สงป. การบรรลุเป้าหมาย แผนระดับที่ 3 · คณะกรรมการระดับชาติ (แผนปฏิบัติการด้าน...) · ผู้ตรวจราชการ นร. · อ.ค.ต.ป. กลุ่มกระทรวงคณะต่าง ๆ โครงการ/พื้นที่ · ผู้ตรวจราชการกระทรวง/กรม · ค.ต.ป. ประจํากระทรวง · หน่วยงานของรัฐ 2.2 การปรับปรุงการดําเนินการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Act) โดยวิเคราะห์และประมวลผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของกลไกระดับต่าง ๆ เพื่อนําไปทบทวน ปรับปรุงแก้ไข แนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล รวมถึงพัฒนาและยกระดับกระบวนการการดําเนินโครงการ/การดําเนินงาน ซึ่งมีแนวทางการดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสรุปได้ ดังนี้ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แนวทางการดําเนินการ 1. หน่วยงานของรัฐ นํารายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานมาวิเคราะห์ช่องว่าง ของการพัฒนาต่อการบรรลุเป้าหมายระดับต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการการดําเนินโครงการ/ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทฯ และแผนอื่น ๆ 2. สศช. วิเคราะห์ช่องว่างและประเมินสถานการณ์ของการดําเนินงานต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติในภาพรวม เพื่อเป็นข้อมูลและกรอบในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของกลไกต่าง ๆ 3. สงป. นํารายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความจําเป็นเร่งด่วนของการพัฒนาต่าง ๆ 4. กลไกการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติราชการทุกระดับ วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์การดําเนินการตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติจากระบบ eMENSCR และรายงานสรุปผล เพื่อทบทวน ปรับปรุงกระบวนการดําเนินการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ________________________ 1ประกอบด้วย 1) การก่อตัวนโยบาย (Policy Formation) 2) การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation) 3) การตัดสินนโยบาย (Policy Decision) 4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) และ 5) การประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) 2Gap analysis คือ การประเมินสถานการณ์ของหน่วยงาน ณ ปัจจุบันกับเป้าหมายของแผนที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานจะต้องวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) : องค์ประกอบ/ปัจจัย/กิจกรรม/กระบวนการ ที่มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกระบวนการดําเนินงาน (ต้นทาง) ไปจนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการการดําเนินงาน (ปลายทาง) ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท ฯ และแผนอื่น ๆ ได้ตามที่กําหนด ตลอดจนวิเคราะห์ปัจจัยสําคัญ (Key Factors) ในบริบทของการขับเคลื่อนเป้าหมายของแผนที่เกี่ยวข้อง 3Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform (eMENSCR) 4ใช้ข้อมูลช่องว่างการพัฒนาของห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand : FVCT) ของ 140 เป้าหมายแผนแม่บทฯ ย่อย (Y1) สถานการณ์การบรรลุเป้าหมาย รายงานประจําปีการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และข้อมูลจากระบบ eMENSCR 5แผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... จําแนกออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ (1) แผนที่ไม่ได้จัดทําขึ้นตามมติคณะกรรมการระดับชาติที่มีกฎหมายรองรับ หรือไม่มีกฎหมายกําหนดให้จัดทําแผน : การจัดทําแผนจะต้องมีเท่าที่จําเป็นเท่านั้น (2) แผนที่จัดทําขึ้นตามที่กฎหมายกําหนด แต่ไม่ได้มีมติคณะกรรมการระดับชาติรองรับ : หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องมีการทบทวนกฎหมายที่กําหนดให้จัดทําแผน และมีการดําเนินงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเป็นแผนปฏิบัติการเดียวอย่างบูรณาการ โดยการจัดทําแผนปฏิบัติการด้าน... ทั้งนี้ ต้องดําเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 อย่างเคร่งครัด 6. เรื่อง การติดตามการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการโดยใช้กลไกประชารัฐ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ใช้ระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) เป็นระบบหลักในการรายงานและติดตามผลการดําเนินการของส่วนราชการตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล รวมถึงการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการ โดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ต่อไป 2. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 (เรื่อง กลไกประชารัฐ) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 ที่มอบหมายให้ส่วนราชการรายงานความก้าวหน้าการใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ทุกเดือน โดยให้ทุกส่วนราชการส่งรายงานให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อนําเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป 3. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 (เรื่อง การทบทวนภารกิจรายงานผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เฉพาะในส่วนของข้อ 1 ที่มอบหมายให้สํานักงาน ก.พ.ร. รวบรวมและสรุปประมวลผลการรายงานความก้าวหน้าในเรื่องกลไกประชารัฐและการดําเนินงานไทยนิยม ยั่งยืน ต่อนายกรัฐมนตรี และให้สํานักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง สํานักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า 1. สํานักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทําระบบการรายงานออนไลน์เพื่อให้ส่วนราชการใช้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล รวมถึงการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน โดยจัดทําสรุปและประมวลผลจากรายงานความก้าวหน้าของส่วนราชการในเรื่องดังกล่าว กราบเรียนนายกรัฐมนตรีตามห้วงระยะเวลาที่กําหนด ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ ระบบการรายงานดังกล่าว ส่วนราชการสามารถรายงานผลในภาพรวมระดับกระทรวง ประกอบด้วย ข้อมูลรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม งบประมาณ และสรุปผลการดําเนินงานที่สําคัญ (รอบ 2 เดือน) ใน 12 ประเด็นตามกลไกการขับเคลื่อนประชารัฐ ได้แก่ 1) การยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ 2) การดึงดูดการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 3) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และธุรกิจใหม่ (Start-up) 4) การยกระดับคุณภาพวิชาชีพ 5) เศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ 6) การส่งเสริมการท่องเที่ยวและกลุ่ม MICE 7) การส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนต่างประเทศ 8) การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมที่เป็น New S Curve 9) การแก้ไขกฎหมายและกลไกภาครัฐ 10) การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ 11) การศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาความรู้ และ 12) การสร้างรายได้และกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศและกรอบหลักในการดําเนินการเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืนตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน 2. เจตนารมณ์ของการให้ส่วนราชการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐและโครงการไทยนิยม ยั่งยืน คือการสร้างความตระหนักให้ส่วนราชการใช้กลไกประชารัฐเป็นกลไกกลางในการสร้างการมีส่วนร่วม เชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มการจ้างงานสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ํา และเพิ่มขีดความสามารถของภาคประชาชนและประชาสังคม และชุมชนอยู่ดี มีสุข ซึ่งต่อมายุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้นําหลักการของกลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน มาเป็นกรอบในการกําหนดแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในรูปแบบ “ประชารัฐ” (เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ข้อ 4.4.3 เพิ่มพื้นที่เมืองและเศรษฐกิจ โดยกําหนดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนการยกระดับจังหวัดสําคัญเป็นเมืองเศรษฐกิจประจําภาคและยุทธศาสตร์ชาติด้านปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ) นอกจากนี้ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ได้มีการนําหลักการของ “กลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน” มาขับเคลื่อนการดําเนินงานด้วย (เช่น แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะทุกระดับและแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 สร้างความเข้มแข็งในการบริหารราชการในระดับพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน) 3. จากความเชื่อมโยงดังกล่าวข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นว่า ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศได้ดําเนินการบนพื้นฐานของการใช้กลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน ประกอบกับส่วนราชการได้ตระหนักในการนํากลไกประชารัฐมาใช้ในการปฏิบัติภารกิจมากขึ้น รวมถึงใช้เป็นกลไกหลักสําคัญที่ทําให้การแก้ไขสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิภาพ และเป็นกลไกที่มีการนํามาใช้อยู่เสมอจนเป็นแนวปฏิบัติปกติที่ส่วนราชการใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินนโยบายต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกได้บรรลุผล นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีการประเมินผลการดําเนินการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (19 มีนาคม 2562) รับทราบ ซึ่ง มท. จะนําผลการประเมินดังกล่าวมาเป็นแนวทางขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืนต่อไปจึงถือได้ว่าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ประสบผลสําเร็จและบรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว 4. ปัจจุบันได้มีระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)* ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการรายงานและติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาล โดยส่วนราชการได้รายงานผลการดําเนินงานผ่านระบบดังกล่าวเป็นรายไตรมาสได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีข้อมูลการดําเนินงานตามแผน/โครงการและสามารถแสดงความเชื่อมโยงและการบูรณาการการทํางานระหว่างหน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน (หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ประชาสังคม และภาคประชาชน)ที่ครอบคลุมถึงความก้าวหน้าในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี และการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรลดภาระในการรายงานผลการดําเนินงานของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการสามารถขับเคลื่อนปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อบูรณาการช่องทางในการรายงานผลของส่วนราชการในช่องทางเดียว โดยให้ใช้ระบบ eMENSCR เป็นระบบหลัก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป หมายเหตุ : * สํานักงาน ก.พ.ร. ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่า สศช. มีระบบ eMENSCR สําหรับการรายงานและติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาล รวมทั้งได้มีการประมวลผลการดําเนินการที่มีความครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอยู่แล้ว 7. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างรายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารับไปพิจารณาร่างรายงานฯ อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) 2. ให้ สลค. จัดพิมพ์รายงานฯ 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แปลบทสรุปสําหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ (ทั้งนี้ กตน. ได้แจ้งผู้แทน กต. ใน กตน. ทราบด้วยแล้ว) 4. ให้สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสําหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สาระสําคัญของเรื่อง 1. นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 18/2564 ลงวันที่ 25 มกราคม 2564 แต่งตั้ง กตน. [รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นประธานกรรมการ] มีหน้าที่รวบรวมและจัดทํารายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลเป็นประจําทุกปี เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่และสร้างการรับรู้ของประชาชน และ กตน. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทํารายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลประจําปี เพื่อพิจารณา รวบรวม กลั่นกรอง ตรวจสอบ และเรียบเรียง ปรับปรุง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลประจําปี 2. คณะอนุกรรมการจัดทํารายงานฯ ได้ร่วมกับส่วนราชการจัดทําร่างต้นฉบับรายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) มีสาระสําคัญ ประกอบด้วย 2.1 บทสรุปสําหรับผู้บริหาร เช่น สภาพปัญหาก่อนเข้าบริหารประเทศ สถานการณ์หลังการเข้าบริหารประเทศ แนวนโยบายของรัฐบาล ผลการดําเนินงานที่สําคัญของรัฐบาลในช่วงปีที่ 2 ได้แก่ การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การบริหารจัดการการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว การให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 2.2 ผลการดําเนินการตามยุทธศาตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ 2.2.1 ผลการพัฒนาตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ด้านความมั่นคง พบว่า ในปี 2563 ความมั่นคงในทุกมิติและทุกระดับของไทยมีคะแนน 2.245 อยู่ในอันดับที่ 114 (จากทั้งหมด 163 ประเทศ) ดีขึ้นจากอันดับ 116 ในปี 2562 และถูกจัดให้เป็นกลุ่มประเทศที่มีสันติภาพปานกลาง [พิจารณาจากรายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index: GPI)] และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมในภาพรวมปัญหาความเหลื่อมล้ําในหลายมิติมีทางที่ดีขึ้น ทั้งการเข้าถึงการศึกษาและการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ 2.2.2 ผลการประเมินการดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น ด้านกฎหมาย มีเรื่องและประเด็นปฏิรูปที่บรรลุเป้าหมาย ได้แก่ มีกลไกในการออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็น รวมทั้งมีกลไกในการทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพัฒนากระบวนการจัดทําและตรวจพิจารณาร่างกฎหมายให้รวดเร็ว รอบคอบ และสอดคล้องกับเงื่อนเวลาในการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ 2.3 ผลการดําเนินงานตามนโยบายหลัก 12 ด้าน เช่น 2.3.1 การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก โดยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศทั่วโลก การดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2.3.2 การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยดําเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน และการดําเนินโครงการ/มาตรการเพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 2.3.3 การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค โดยดําเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ (EEC Project List) เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.4 ผลการดําเนินงานตามนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง เช่น 2.4.1 การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน โดยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การปราบปรามการฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนและการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย 2.4.2 การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยการจัดพื้นที่การเกษตรให้สอดคล้องกับระบบบริหารจัดการน้ําและคุณภาพดินตาม Agri-Map การสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่เกษตรกร และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืชโดยใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 2.4.3 การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน โดยยกระดับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ในการให้บริการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลบริการภาครัฐและทําธุรกรรมผ่าน bizportal.go.th แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว 2.5 ภาคผนวก เช่น สรุปผลการดําเนินงานบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการช่วยเหลือเยียวยา และรายงานผลการดําเนินการเกี่ยวกับกฎหมาย 8. เรื่อง รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 1 และแนวทางการบริหารจัดการน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและลดการขาดแคลนน้ําโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ2 (Food and Agriculture Organization of The United Nations: FAO) ได้ประสาน สทนช. ร่วมตรวจสอบข้อมูลติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการขับเคลื่อนและให้มีการทบทวนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายย่อย SDG 6.4 และจัดส่งให้ FAO ปรับฐานข้อมูลการพัฒนาด้านน้ําของประเทศและเผยแพร่ผลงานใน AQUASTAT-FAO’s Global Information System on Water and Agriculture ต่อไป โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. สทนช. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านนโยบายในการประสานงานการบริหารจัดการน้ํากับองค์กรระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ํา ได้ประเมินและจัดทําข้อมูลเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 6.4 รอบ 5 ปี (พ.ศ. 2558 – 2562) ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1.1 การประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.1 ประสิทธิภาพการใช้น้ํา (Water-use Efficiency: WUE) โดยประเมินจากปริมาณการใช้น้ําในแต่ละภาคส่วน (ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ) กับมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ของแต่ละภาคส่วน จากการประเมินพบว่า ภาคอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพการใช้น้ํามากที่สุด รองลงมาคือ ภาคบริการ และภาคเกษตรมีประสิทธิภาพการใช้น้ําน้อยที่สุด และประสิทธิภาพการใช้น้ําโดยรวมตั้งแต่ปี 2558 – 2562 มีแนวโน้มลดลง 1.2 การประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.2 ระดับความตึงเครียดด้านน้ํา (Level of Water Stress) โดยประเมินจากสัดส่วนปริมาณน้ําจืดที่ถูกนําไปใช้ต่อปริมาณน้ําจืดในสาขาหลักต่าง ๆ รวมทั้งน้ําจืดที่นํากลับมาใช้ใหม่ หักด้วยความต้องการปริมาณการไหลเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยผลการประเมินระดับความตึงเครียดด้านน้ําของประเทศไทยปี 2558 – 2562 มีค่าอยู่ระหว่าง ร้อยละ 9.68 – 12.77 โดยมีค่าต่ํากว่าฐานข้อมูลที่ประเมินไว้ และต่ํากว่าค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ร้อยละ 17 2. จากผลการประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.1 และ SDG 6.4.2 ข้างต้น สทนช. ได้กําหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ําที่สําคัญ ได้แก่ (1) การใช้น้ําอย่างประหยัดและคุ้มค่า (2) การเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) และลดปริมาณการใช้น้ําภาคเกษตร และ (3) การลดความต้องการใช้น้ําและเพิ่มสัดส่วนการนําน้ํากลับมาใช้ใหม่ โดยมีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ การดําเนินการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1. กําหนดเกณฑ์การจัดสรรน้ําเพื่อลดระดับความตึงเครียดด้านน้ําและจัดทําฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัวชี้วัด สทนช. 2. ศึกษาวิเคราะห์การส่งน้ําของโครงการชลประทาน และประเมินประสิทธิภาพการใช้น้ําโครงการชลประทานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ํา กรมชลประทาน 3. ปรับปรุงข้อมูลการใช้น้ําที่เหมาะสมตามประเภทโรงงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมการใช้น้ําซ้ํา การนําน้ํากลับมาใช้ใหม่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม 4. ติดตามและประเมินน้ําสูญเสียในระบบส่งน้ําและประเมินอัตราการใช้น้ําประเภทต่าง ๆ การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค 5. ศึกษาวิเคราะห์ปริมาณการใช้น้ําใต้ดินเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม อุปโภคบริโภค และพาณิชยกรรม และศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพการเติมน้ําใต้ดินตามธรรมชาติและการสูบน้ําใต้ดินขึ้นมาใช้ กรมทรัพยากรน้ําบาดาล 3. เนื่องจากในการจัดส่งข้อมูลรายงาน Thailand National Report SDG 6.4 จะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองในระดับประเทศก่อน สทนช. จึงได้นําร่างรายงานฯ เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ 3.1 เห็นชอบรายงาน Thailand National Report SDG 6.4 เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ และให้ สทนช. นําเรียนประธานกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติลงนามในหนังสือนําส่ง FAO ต่อไป 3.2 เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและลดการขาดแคลนน้ํา ตามข้อ 2 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนปฏิบัติการเสนอคณะกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป _________________ หมายเหตุ : 1SDG 6.4 เป็นเป้าหมายย่อยภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 6 “จัดให้มีน้ําสําหรับการอุปโภคบริโภค การจัดการน้ําที่ยั่งยืน และสุขาภิบาลสําหรับทุกคน” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําในทุกภาคส่วนและสร้างหลักประกันว่าจะมีการใช้น้ําและการจัดหาน้ําที่ยั่งยืน รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําและลดจํานวนประชาชนที่ประสบความทุกข์จากการขาดแคลนน้ําภายในปี 2573 2องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เป็นองค์การชํานัญพิเศษที่ใหญ่ที่สุดองค์กรหนึ่งของสหประชาชาติ ซึ่งมีบทบาทในด้านอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมง โดยประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกลําดับที่ 49 ของ FAO เมื่อเดือนสิงหาคม 2490 ปัจจุบันมีสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก 9. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ 1. ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สรุปผลการดําเนินการที่สําคัญได้ ดังนี้ 1.1 โครงการสําคัญ ประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - 2570) คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีมติเห็นชอบโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ และเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญ เช่น การจัดทําแผนปฏิบัติราชการและการนําเข้า และรายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งสํานักงบประมาณ (สงป.) จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดําเนินโครงการในลักษณะงบประมาณพิเศษหรืองบประมาณแบบบูรณาการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ สศช. อยู่ระหว่างนําผลการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 1.2 ความก้าวหน้าการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) มีมติเห็นชอบ ดังนี้ (1) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจํานวน 2 คณะ ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ 2) คณะอนุกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ (2) แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับพื้นที่ 1.3 การจัดทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) (แผนพัฒนา ฉบับที่ 13) สศช. ได้จัดประชุมประจําปี 2564 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสําคัญของร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รวมถึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐและภาคีการพัฒนาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2565 เพื่อร่วมกันกําหนดเป้าหมายที่จะเดินต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ สศช. จะนําความเห็นที่ได้ไปปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครอบคลุม ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจะมีการรับฟังและระดมความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 อีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2564 - มกราคม 2565 2. ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ 2.1 สศช. ได้รายงานความคืบหน้าในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการดําเนินการจัดทําตามยุทธศาสตร์ชาติต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 โดยสมาชิกวุฒิสภามีความเห็นและประเด็นอภิปรายที่สําคัญ เช่น (1) ควรปรับปรุงค่าเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน (2) ควรปรับปรุงโครงการ/การดําเนินงานในแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสําคัญ (Big Rock) ให้สามารถนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม และ (3) ควรมีการประสานและบูรณาการการดําเนินงานร่วมกันระหว่าง สงป. สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สํานักงาน ป.ย.ป.) หน่วยงานของรัฐ และคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่ง สศช. จะนําความเห็นและประเด็นอภิปรายประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 2.2 สศช. ได้รายงานความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 11 (เดือนมกราคม - มีนาคม 2564) ต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 โดยสมาชิกวุฒิสภามีความเห็นและประเด็นอภิปรายที่สําคัญ เช่น (1) การดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน มีความล่าช้าและยังไม่เห็นผลของความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศ (2) ควรมุ่งเน้นให้ความสําคัญในกิจกรรม/โครงการที่ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง และ (3) ควรมีการจัดสรรงบประมาณให้แก่ประเด็นในการปฏิรูปที่มีความสําคัญเพื่อให้การดําเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและนําไปสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของแผนการปฏิรูปประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ สศช. จะเสนอรายงานความคืบหน้าฯ ครั้งที่ 12 (เดือนเมษายน - มิถุนายน 2564) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (5 ตุลาคม 2564) รับทราบแล้วต่อรัฐสภาตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดทํารายงานความคืบหน้าฯ ครั้งที่ 13 (เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2564) สศช. จะเน้นการรายงานความคืบหน้าของ Big Rock ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการดําเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว 3. ผลการดําเนินการอื่น ๆ 3.1 การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีมติเห็นชอบ แนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ มุ่งเน้นใน 2 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การตรวจสอบ จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ สงป. และ สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และ (2) การปรับปรุงติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล วิเคราะห์และประมวลผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของกลไกระดับต่าง ๆ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาและยกระดับกระบวนการการดําเนินโครงการ/การดําเนินงานให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม 3.2 การสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ สศช. ได้จัดทําสื่อข้อมูลเชิงภาพเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ เพื่อเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้ทุกหน่วยงานได้มีความเข้าใจและสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป 4. ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ข้อมูลจากผลการประเมินในรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชียพบว่า ประเทศไทย (ไทย) มีดัชนีการรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ําอยู่ที่ระดับ 2 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งต่ํากว่าค่าเป้าหมายแผนแม่บทย่อยในปี 2565 ที่กําหนดเป็นระดับ 3 โดยการประเมินตัวชี้วัดพิจารณาจากความสามารถในการรับมือภัยพิบัติด้านน้ํา ดังนี้ (1) ด้านภัยแล้ง (2) ด้านน้ําท่วม และ (3) ด้านคลื่นพายุซัดฝั่ง โดยจากผลการประเมินพบว่าไทยมีความสามารถในการรับมือกับน้ําท่วมอยู่ในระดับต่ําที่สุด ดังนั้น จึงต้องให้ความสําคัญและเร่งยกระดับความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ รวมถึงระบบการเตือนภัย การเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ และการให้ความช่วยเหลือทั้งในระหว่างและหลังเกิดภัยพิบัติ เพื่อนําไปสู่เสถียรภาพและความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศต่อไป 10. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) เสนอสรุปรายงานผลการดําเนินงานของ กปช. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง กปช. รายงานว่า ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฉบับที่ 5 พ.ศ. 2563 – 2565 ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยผลการดําเนินงานของ กปช. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 1 สร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เรื่อง ข้อเสนอของประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1) พัฒนาทักษะอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน - ควรเพิ่มการส่งเสริมพัฒนาทักษะอาชีพอิสระและทักษะอาชีพในตลาดอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนาทักษะสําหรับเกษตรอัจฉริยะ และทักษะสําหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ รวมทั้งควรเน้นสื่อสารเรื่องทักษะอาชีพที่มีความต้องการในตลาดวิถีใหม่มากยิ่งขึ้น - กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) และกระทรวงศึกษาธิการ 2) สังคมปลอดภัยไร้ความรุนแรง - เร่งสร้างการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับรู้การมีอยู่/การช่วยเหลือของภาครัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ตช.) มท. กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และกระทรวงสาธารณสุข 3) มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน - ภาครัฐควรสื่อสารชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจมาตรการของรัฐโดยเพิ่มความถี่ในการชี้แจง กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ 4) รับมือภัยแล้ง และอุทกภัย - ควรเร่งเผยแพร่ผลงานการบริหารจัดการน้ําทั้งในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝนให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร และสนับสนุนการดําเนินงานของเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ํา เพื่อสื่อสารถึงมาตรการหรือวิธีแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในระยะยาวอย่างยั่งยืน มท. และ กษ. 5) บริหารจัดการฝุ่น PM2.5 - ภาครัฐควรให้ข้อมูลเรื่องการป้องกันตัวแก่ประชาชน และนําเสนอการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยเรื่องการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 จะต้องถูกสื่อสารในปี 2565 ต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 6) สังคมสูงวัย - ควรประชาสัมพันธ์แนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดํารงชีวิตในสังคมได้ในระดับมาตรฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ รง. 7) ยุติธรรมเท่าเทียม - ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจความหมายเกี่ยวกับเรื่องยุติธรรมสร้างสุข บทบาทหน้าที่ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เช่น การให้คําปรึกษา การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา และการจัดหาทนายความ ตช. มท. และ ยธ. 8) ส่งเสริมค่านิยมที่ดีของสังคมไทย - เน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีจิตสาธารณะ เคารพกฎกติกาของสังคม เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติในการดํารงชีวิตผ่านสื่อออนไลน์ให้ครบทุกช่องทาง กระทรวงวัฒนธรรม 2. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 2 สร้างความตระหนักรู้ ทัศนคติเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยและชาวต่างประเทศต่อการต่างประเทศ เรื่อง ผลการดําเนินงาน 1) ความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของไทย Medical Hub - ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุขของไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาตรฐานสถานที่กักตัวที่รัฐกําหนด และการประกันสุขภาพสําหรับชาวต่างด้าวและการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทต่าง ๆ ผ่านรูปแบบการประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์ 2) การท่องเที่ยววิถีใหม่ - เน้นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยการท่องเที่ยววิถีใหม่และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว รวมถึงข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว กิจกรรมวิถีชีวิต และเทศกาลงานประเพณีอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ 3) ศักยภาพด้านเศรษฐกิจของไทย - เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้จํานวนมาก ในรูปแบบของสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ 4) อัตลักษณ์ไทย - จัดกิจกรรมในรูปแบบนิทรรศการและการแสดง เช่น อาหาร ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ไทยและส่งเสริมภาพลักษณ์ไทย นําความเป็นไทยสู่สากล โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั้งระดับผู้แทนประเทศไทยไปจนถึงประชาชนทั่วไป 5) การบริหารจัดการควบคุมแรงงานต่างด้าว - เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการหรือนายจ้าง โดยผลิตสปอตประชาสัมพันธ์ “สายด่วน 1694” เป็นภาษาลาว ควบคู่ไปกับการจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว 6) ความสัมพันธ์ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสําคัญ - ประชาสัมพันธ์วาระครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการและสาธารณสุขแก่ประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบของข่าวผ่านสื่อออนไลน์ โดยมียอดเข้าถึง 37,731 คน 7) การให้บริการกงสุลและการคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ - ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนในการดูแลช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศและชาวต่างชาติที่มีความจําเป็นต้องเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์เป็นหลัก 3. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 3 บริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร พัฒนาสื่อสร้างสรรค์สร้างการรู้เท่าทันและการมีส่วนรวม มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น (1) ดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (2) ดําเนินการต่อต้านการข่าวปลอม (Fake News) โดยใช้กลไกเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐ 20 กระทรวง (3) พัฒนาระบบโครงสร้างเครือข่ายด้านข้อมูลและช่องทางการเผยแพร่ และ (4) จัดทําคลังข้อมูลข่าวสารอัจฉริยะ 4. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 4 ยกระดับบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศในยุคดิจิทัล โดยจัดทํากรอบ “มาตรฐานหลักสูตรนักบริหารงานประชาสัมพันธ์ระดับสูง” และจัดทํากรอบหลักสูตรชุดวิชาเพื่อพัฒนาทักษะเดิม และเพิ่มทักษะใหม่ด้านการสื่อสารในยุคดิจิทัลของบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่น/จังหวัด โดยหลักสูตรที่ได้รับความสนใจมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) การจัดการกับข่าวปลอม (Fake News) (2) ผลิตและเผยแพร่สื่อดิจิทัล และ (3) การนําเสนอด้วยการเล่าเรื่องซึ่งมีหน่วยงานบรรจุหลักสูตรแล้ว 32 หน่วยงาน และฝึกอบรมแล้ว 17 หน่วยงาน รวมผู้เข้ารับการอบรม 15,362 คน 5. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาทั้ง 4 แนวทาง ภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในระดับจังหวัด มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น (1) สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ โดยสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ 8 เรื่อง (2) สร้างความตระหนักรู้ ทัศนคติเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยและชาวต่างประเทศต่อการต่างประเทศ 7 เรื่อง (3) บริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร พัฒนาสื่อสร้างสรรค์ สร้างการรู้เท่าทันและการมีส่วนร่วม โดยส่งเสริมสร้างการรับรู้และเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อ และ (4) ยกระดับบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ โดยนําหลักสูตรของสถาบันการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ ไปอบรมให้กับบุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวม 20 กระทรวง 11. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอ สรุปผลการประชุม กตน. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) และให้ส่วนราชการรับประเด็นและมติของที่ประชุม กตน. ไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ในการประชุม กตน. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยมีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ มีผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้ ประเด็น ความเห็น/ข้อสังเกต/มติที่ประชุม กตน. 1. การบริหารจัดการขยะติดเชื้อ (ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง) 1.1 การดําเนินงานตามมาตรการต้นทาง ได้แก่ 1) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนทราบวิธีการทิ้งและแยกขยะติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)* และ 2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดทําคําแนะนําเกี่ยวกับการจัดการหน้ากากอนามัยใช้แล้ว รณรงค์ประชาสัมพันธ์และสนับสนุน “ถุงขยะสีแดง” 1.2 การดําเนินงานตามมาตรการกลางทาง ได้แก่ 1) มท. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดให้มีถังขยะสีแดงไว้ในที่สาธารณะหรือสถานที่รวบรวมขยะมูลฝอยติดเชื้อของชุมชนและจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้กับผู้ปฏิบัติงานและฉีดล้างรถบรรทุกเก็บขนขยะมูลฝอยเป็นประจําทุกวัน และ 2) กทม. จัดระบบการจัดเก็บมูลฝอยติดเชื้อฯ ใน 2 ระดับ ได้แก่ รวบรวมไปไว้ที่จุดพักรวมขยะติดเชื้อของสํานักงานเขต เพื่อรอการเก็บขนของบริษัทเอกชนและว่าจ้างบริษัทเอกชนรวบรวมขยะมูลฝอยติดเชื้อฯ กําจัดด้วยวิธีเผาในเตาเผา และ 3) ทส. ให้คําแนะนํา อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเก็บรวบรวมและขนส่งมูลฝอยติดเชื้อตามหลักวิชาการ 1.3 การดําเนินงานตามมาตรการปลายทาง เช่น มท. กําจัดมูลฝอยติดเชื้อชุมชนเป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกําจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 และ 2) กทม. ว่าจ้างบริษัทกรุงเทพธนาคม จํากัด นําขยะมูลฝอยติดเชื้อที่เก็บขนได้ไปกําจัดด้วยวิธีการเผาที่โรงงานเตาเผาขยะมูลฝอยติดเชื้อในพื้นที่ศูนย์กําจัดมูลฝอยติดเชื้ออ่อนนุชและหนองแขม และ 3) ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามตรวจสอบการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อล้นระบบ 1.4 การดําเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ดําเนินการใช้อํานาจตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขสนับสนุน อปท. ในการควบคุม กํากับ การจัดการขยะติดเชื้อในทุกแหล่งกําเนิด และใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ รวมทั้งบูรณาการภาคีเครือข่ายทุกระดับในการจัดการขยะติดเชื้อ 1.5 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข เช่น 1) มท. เสนอว่า ให้ สธ. ผ่อนปรนการดําเนินการตามกฎกระทรวงฯ และระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนและกําจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 2) ทส. เสนอว่า ควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชน โรงพยาบาลสนาม การกักตัวที่บ้าน และการแยกกักในชุมชน ให้มีการคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อที่ต้นทาง พร้อมทั้งจัดระบบการคัดแยก และ 3) กทม. เสนอว่า ควรสื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ทราบวิธีการทิ้งและแยกมูลฝอยติดเชื้อโรคโควิด-19 อย่างถูกวิธี ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. : ให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นิยามและคําจํากัดความของขยะติดเชื้อโรค โควิด-19 และระยะเวลาการคงอยู่ของเชื้อที่ติดตามวัสดุต่าง ๆ หากมีการวิจัย ที่เกี่ยวข้องจะเกิดความเข้าใจและคลายความกังวลของการจัดเก็บและการทําลายขยะติดเชื้อได้ ในการนี้ สธ. ขอรับที่จะนําไปประชุมหารือกับฝ่ายวิชาการต่อไป มติที่ประชุม : รับทราบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขของ มท. ทส. และ กทม. ไปพิจารณาบริหารจัดการขยะติดเชื้อตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง 2. การขับเคลื่อนการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 2.1 ผลการดําเนินงานและแผนงานของหน่วยงาน เช่น 1) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กําหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา พัฒนาคุณภาพการศึกษาและแบบทดสอบระดับชาติ และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ 2) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศึกษากฎระเบียบที่เป็นข้อจํากัดต่อการจัดการศึกษารูปแบบใหม่ จัดทํารายงานการศึกษาเรื่องการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดทําแพลตฟอร์มการใช้ประโยชน์กําลังคนระดับสูงของประเทศ และ 3) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินโครงการเรียนโค้ดดิ้งพัฒนา STEM เพื่อเพิ่มทักษะกําลังคนด้านดิจิทัลและดําเนินโครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่ออุตสาหกรรมอนาคต (AI อาชีวะ) ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 2.2 ข้อเสนอแนะ เช่น ศธ. เสนอว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้จังหวัดเป็นฐานร่วมกันพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นสถานศึกษาแห่งอนาคต โดยการนําสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการเรียนการสอน และ อว. เสนอเกี่ยวกับการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีสมรรถนะและศักยภาพสอดคล้องกับความต้องการ/เป้าหมายของประเทศ นําไปสู่การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ มติที่ประชุม : รับทราบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําข้อเสนอแนะของ ศธ. และ อว. ไปพิจารณา 3. (ร่าง) รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) (ฉบับที่ 1) 3.1 คณะอนุกรรมการจัดทํารายงานฯ ได้ดําเนินการจัดประชุมเพื่อจัดทํา (ร่าง) รายงานฯ โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ ได้แก่ บทสรุปสําหรับผู้บริหาร ผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ นโยบายหลัก 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง และสรุปผลการดําเนินงานการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการช่วยเหลือเยียวยา 3.2 การปรับแผนการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เช่น เลื่อนวันเสนอ (ร่าง) รายงานฯ ต่อประธาน กตน. พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี และเลื่อนวันแจกจ่ายเล่มรายงานฯ ให้แก่คณะรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. : 1. เห็นชอบในหลักการการจัดทํา (ร่าง) รายงานฯ 2. ให้ส่วนราชการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและนําเรียนรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ โดยให้จัดส่ง (ร่าง) รายงานฯ ให้ฝ่ายเลขานุการร่วม กตน. [สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.)] ภายในวันที่ 17 กันยายน 2564 เพื่อเสนอประธาน กตน. พิจารณาให้ความเห็นชอบ และนํากราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณา และนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 3. รับทราบการปรับแผนการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ โดยคาดว่าจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างรายงานฯ เพื่อแจกจ่ายเล่มรายงานฯ ให้แก่คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ­­­­­­­­­­_______________________ *หมายเหตุ : ขณะนี้ สธ. ได้ดําเนินการเรื่องการกําจัดขยะติดเชื้อโควิด-19 โดยออกประกาศ สธ. เรื่อง วิธีการกําจัดมูลฝอยติดเชื้อด้วยวิธีอื่น พ.ศ. 2564 แล้ว ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2564 เป็นต้นไป 12. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือนสิงหาคม 2564 ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนสิงหาคม 2564 กลับมาหดตัวอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยมีสาเหตุสําคัญจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดบางชนิดและราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ เงินเฟ้อในเดือนนี้ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.02 (YoY) เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.45 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐโดยเฉพาะการลดค่าเล่าเรียน-ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าน้ําประปา ประกอบกับราคาสินค้ากลุ่มอาหารสดบางชนิดมีราคาลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะข้าว เนื้อสัตว์ ผักสด และผลไม้สด นอกจากนั้น ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานแม้จะยังขยายตัวต่อเนื่อง แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าอื่น ๆ บางชนิดมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะไข่ไก่และเครื่องประกอบอาหาร และสินค้าบางชนิดราคาทรงตัว ซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสถานการณ์ส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ปรับลดลง เงินเฟ้อพื้นฐาน (เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว) ขยายตัวร้อยละ 0.07 (YoY) ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.14 เงินเฟ้อทั่วไป เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2564 ลดลงร้อยละ 0.18 (MoM) และเฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.- ส.ค.) ปี 2564 สูงขึ้นร้อยละ 0.73 (AOA) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อในเดือนนี้จะปรับตัวลดลง แต่เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสําคัญที่เกี่ยวข้องหลายตัวยังมีสัญญาณที่ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศและจากการนําเข้ายังคงขยายตัว ภาคการส่งออกยังได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสําคัญที่ฟื้นตัว ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อกําลังซื้อและอุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิต ขยายตัวร้อยละ 4.9 (YOY) จากร้อยละ 5.0 ในเดือนก่อนหน้าและดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 8.8 (YOY) จากร้อยละ 7.8 ในเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับการปรับตัวสูงขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยกําลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แต่เชื่อมั่นว่ามาตรการเพิ่มกําลังซื้อ และการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงอุปสงค์จากต่างประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จะส่งผลให้เงินเฟ้อของประเทศปรับตัวดีขึ้นตามลําดับ 2. แนวโน้มเงินเฟ้อ เงินเฟ้อในเดือนกันยายน 2564 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในระดับที่ไม่สูงมากนักโดยมีปัจจัยสําคัญจากการสิ้นสุดมาตรการลดค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ําประปา ซึ่งสิ้นสุดในเดือนสิงหาคมนี้ อีกทั้งราคาพลังงานมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยจากการเพิ่มกําลังการผลิตของผู้ผลิตโลก ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ราคาอาหารสดและการต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐเป็นปัจจัยผันแปรสําคัญที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อในเดือนกันยายนได้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2564 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.7-1.7 (ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ทั้งนี้จะมีการทบทวนอีกครั้งในเดือนกันยายน 2564 13. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2564 มีมูลค่าสูงกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ด้วยมูลค่า 21,976.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 8.93 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 19.43 เป็นผลจากการผลักดัน และแก้ไขอุปสรรคด้านการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก โดย UNCTAD คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 5 ทศวรรษ โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าสําคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป สอดคล้องกับภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่เหนือระดับ 50 เป็นเดือนที่ 14 ซึ่งเป็นการเติบโตจากการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบ และสินค้าเพื่อการลงทุน นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทย ทั้งนี้ การส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวที่ร้อยละ 15.25 เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 21.22 มูลค่าการค้ารวม มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 21,976.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 8.93 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนําเข้า มีมูลค่า 23,191.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 47.92 ดุลการค้าขาดดุล 1,215.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมการส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 176,961.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.25 การนําเข้า มีมูลค่า 175,554.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 30.97 ดุลการค้า 8 เดือนแรก เกินดุล 1,406.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 715,416.40 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.83 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนําเข้า มีมูลค่า 765,248.80 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 53.20 ดุลการค้าขาดดุล 49,832.40 ล้านบาท ภาพรวมการส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 5,441,613.75 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.78 การนําเข้า มีมูลค่า 5,476,523.71 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 29.52 ดุลการค้า 8 เดือนแรก ขาดดุล 34,909.96 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 23.6 (YoY) ขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 98.8 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และฝรั่งเศส) ผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 84.8 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย) น้ํามันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 51.0 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ อินเดีย มาเลเซีย เมียนมา จีน และกัมพูชา) ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 48.4 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 25.4 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ จีน เบนิน เซเนกัล อังโกลา และฮ่องกง) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 17.3 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย และฟิลิปปินส์) น้ําตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 5.5 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ สุกรสด แช่เย็น แช่แข็ง หดตัวร้อยละ 73.1 (หดตัวในตลาดฮ่องกง กัมพูชา และลาว แต่ขยายตัวดีในเมียนมา) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป หดตัวร้อยละ 31.9 (หดตัวแทบทุกตลาด เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ แต่ขยายตัวดีในตลาดเนเธอร์แลนด์) อาหารทะเลสด แช่เย็น แช่แข็งกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 10.4 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น จีน แคนาดา เกาหลีใต้ และอียิปต์) เครื่องดื่ม หดตัวที่ร้อยละ 13.6 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา จีน สิงคโปร์ และลาว แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม กานา อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ) 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 14.7 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 3.3 (YoY) ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ขยายตัวร้อยละ 68.3 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน กัมพูชา ญี่ปุ่น อินเดีย และเวียดนาม) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.8 (ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ และเม็กซิโก) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 44.3 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเบลเยียม) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 60.3 (ขยายตัวแทบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคํา) ขยายตัวร้อยละ 35.7 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ อินเดีย สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ จีน) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 15.5 (หดตัวในตลาดเวียดนาม มาเลเซีย ออสเตรเลีย เปรู และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ชิลี และเม็กซิโก) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน หดตัวร้อยละ 7.6 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และเวียดนาม แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดออสเตรเลีย อินโดนีเซีย อินเดีย และอาร์เจนตินา) เครื่องสําอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 5.6 (หดตัวหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย เวียดนาม แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดจีน) ทองคํายังไม่ได้ขึ้นรูป หดตัวร้อยละ 85.8 (หดตัวในตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวได้ดีในตลาด สปป.ลาว เกาหลีใต้ กัมพูชา ญี่ปุ่น และไต้หวัน) 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 14.4 ตลาดส่งออกสําคัญ การส่งออกไปยังตลาดส่งออกสําคัญยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจะชะลอลงบางส่วนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าในหลายประเทศ การส่งออกไปกลุ่มตลาดต่างๆ สรุป ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 18.2 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 16.2 จีน ร้อยละ 32.3 ญี่ปุ่น ร้อยละ 10.0 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 16.1 อาเซียน (5) ร้อยละ 26.9 ขณะที่ CLMV หดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.03 2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 18.4 ขยายตัวเกือบทุกกลุ่มตลาด ได้แก่ เอเชียใต้ ร้อยละ 54.5 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 31.9 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 27.5 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 50.8 และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ร้อยละ 44.8 ขณะที่ทวีปออสเตรเลียหดตัวร้อยละ 15.9 และ 3) ตลาดอื่นๆ หดตัวร้อยละ 90.1 2. แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกในปี 2564 การส่งออกของไทยในปี 2564 มีแนวโน้มของการขยายตัวที่ดี สะท้อนจาก (1) สินค้าอุตสาหกรรมหลายรายการยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นสัญญาณบวกต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทย (2) ราคาน้ํามันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกของสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ (3) มาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป และการเร่งฉีดวัคซีนทั่วโลก ส่งผลดีต่อกําลังซื้อของประเทศคู่ค้า (4) ค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกของไทยที่เน้นการแข่งขันด้านราคา สําหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ยังคงมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ดําเนินการตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนําการผลิต” และแผนงานของกระทรวงพาณิชย์ที่กําหนดไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีกิจกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนการส่งออกอย่างต่อเนื่อง สําหรับกิจกรรมในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ เช่น งานยี่ปั๊วออนไลน์ ครั้งที่ 2 (20-24 ก.ย. 64) กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม (22-24 ก.ย. 64) และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย (29-30 ก.ย. 64) งานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยในรูปแบบเสมือนจริง THAIFEX (29 ก.ย. - 3 ต.ค. 64) โครงการจับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SME ส่งออก เฟส 2 (ก.ย. - พ.ย. 64) เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงปลายปียังจะมีงานแสดงสินค้านานาชาติอัญมณีและเครื่องประดับ “Phuket Gems Fest” รวมถึงการเดินหน้าผลักดันกิจกรรมภายใต้ “มินิเอฟทีเอ ไทย-ไห่หนาน” โดยมีแผนที่จะจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ไทย-ไห่หนาน และการจัดงานแสดงสินค้ารูปแบบ Mirror & Mirror นําร่องธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยมีโอกาสผลักดันทั้งสินค้าและบริการเชิงสุขภาพเข้าไปให้บริการในไห่หนาน เช่น นวดแผนไทย สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม 14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2564 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 4.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตรถยนต์ที่ลดลงจากการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนบางรายการ จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ทําให้ผู้ผลิตชิปและชิ้นส่วนรถยนต์บางโรงต้องปิดโรงงานชั่วคราว อุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนสิงหาคม 2564 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ 1. รถยนต์และชิ้นส่วน หดตัวร้อยละ 9.77 จากปัญหาการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนชุดสายไฟ เนื่องจากโรงงานผู้ผลิตเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้ผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศประสบปัญหาด้านการขนส่ง ทําให้การผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 2. การกลั่นน้ํามันปิโตรเลียม หดตัวร้อยละ 6.77 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าปีก่อน กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างชะลอตัวลง กระทบต่อการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง 3. รถจักรยานยนต์ หดตัวร้อยละ 45.51 จากการหดตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงกว่าปีก่อน ทําให้มีมาตรการควบคุม การระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น กระทบต่อความต้องการใช้รวมถึงกําลั่งซื้อและรายได้ที่น้อยลง เช่นเดียวกับการส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักก็ประสบปัญหาการแพร่ระบาดเช่นเดียวกัน อุตสาหกรรมสําคัญที่ยังขยายตัวในเดือนสิงหาคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน 1. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.45 ตามการเติบโตของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลกอย่างต่อเนื่อง จากการใช้เซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสมัยใหม่ตั้งแต่เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์การแพทย์ และอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ 2. ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางล้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.06 จากยางแท่งและยางแผ่นเป็นหลักจากความต้องการของลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะจากลูกค้าจีน รวมถึงความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมยางรถรถยนต์ 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ซึ่งเห็นควรให้ความเห็นชอบให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดกระบี่ จังหวัดยโสธร จังหวัดอ่างทอง จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดพังงา จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาฬสินธุ์เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการหรือยกเลิกโครงการ/กิจกรรมที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกําหนดกู้เงินฯ) พร้อมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform: eMENSCR) ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว สาระสําคัญของเรื่อง คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีมติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทําให้การดําเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนที่ได้รับอนุมัติไว้หรือไม่สามารถดําเนินการได้ ดังนี้ 1. โครงการที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และ 6 ตุลาคม 2563 โครงการ มติคณะรัฐมนตรีเดิม ข้อเสนอในครั้งนี้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดเพชรบุรี โครงการยกระดับการผลิตผักปลอดภัยและได้มาตรฐาน สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2564 จังหวัดกระบี่ (3 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าการเกษตรทางเลือกแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันและยางพารา สิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการเมนูอาหารพื้นบ้านจากชุมชนสู่ภัตตาคาร “ของหรอยเมืองกระบี่” สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 (3) โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรการท่องเที่ยวด้านการโรงแรมเพื่อรองรับการท่องเที่ยวตามวิถีใหม่ (New Normal) สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 จังหวัดยโสธร โครงการส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสาน โดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ําในไร่นา สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดมุกดาหาร (2 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงพาณิชย์สู้ภัยโควิด สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทอาหารเพื่อเพิ่มรายได้ให้กลุ่มผู้ผลิตผู้ประกอบการชุมชน สิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2564 จังหวัดพังงา (3 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า 50 สินค้า GI จังหวัดพังงา สร้างคลังอาหารภายในชุมชน อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 2.23 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 1.34 ล้านบาท) เนื่องจากไม่สามารถจัดหา พื้นที่ก่อสร้างได้ และทําให้ต้องยกเลิกกิจกรรมที่ต่อเนื่องกัน ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.89 ล้านบาท (2) โครงการหมู่บ้านเกษตรสมบูรณ์เพิ่มพูนสุขภาพ สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (3) โครงการส่งเสริมการแปรรูปอาหารทะเลและสินค้าเกษตรจังหวัดพังงา อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 14.40 ล้านบาท ยกเลิกโครงการฯ จังหวัดพิจิตร โครงการพัฒนายกระดับการผลิตสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกษตรกรปราดเปรื่อง (Young Smart Farmer & Smart Farmer) อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 3.15 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 0.40 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 2.75 ล้านบาท จังหวัดกาฬสินธุ์ (3 โครงการ) (1) โครงการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าชุมชนจังหวัดกาฬสินธุ์ อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 0.46 ล้านบาท ยกเลิกโครงการฯ (2) โครงการพัฒนาการผลิต การแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐานและส่งเสริมการใช้สมุนไพร อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 1.74 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม (วงเงิน 1.18 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.56 ล้านบาท (3) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 4.46 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 3.68 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.78 ล้านบาท 2. โครงการที่ได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 และ 6 ตุลาคม 2563 โครงการ มติคณะรัฐมนตรีเดิม ข้อเสนอในครั้งนี้ จังหวัดกระบี่ โครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวคุณภาพจังหวัดกระบี่ (Krabi We Care) สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดอ่างทอง (2 โครงการ) (2) โครงการยกระดับการเลี้ยงนกกระทา สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตแพะแบบครบวงจร 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564) ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ดังนี้ 1. อนุมัติโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ําประปา) จํานวน 4 โครงการ ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประปานครหลวง (กปน.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 2 ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 2. มอบหมายให้ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการและดําเนินการจัดทําความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ 15 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดําเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 พ.ศ. 2564 โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง 1. คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ภายใต้พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีการพิจารณาโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (ด้านไฟฟ้าและด้านประปา) จํานวน 4 โครงการ ของ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกรอบวงเงินจากการจัดทําข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการให้บริการ โดยโครงการทั้ง 4 โครงการมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ ข้อ สาระสําคัญ ต้นทุนการดําเนินมาตรการฯ (ล้านบาท) 1.1 มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (ด้านไฟฟ้า) ระลอกเดือนกรกฎาคม 2564 ของ กฟน. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย) จํานวน 3.72 ล้านครัวเรือน และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.35 ล้านราย แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับค่าไฟฟ้าประจําเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564) 2,047.41 1.2 มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูโภคขั้นพื้นฐาน (ด้านไฟฟ้า) ให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ของ กฟภ. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย) จํานวน 17.68 ล้านครัวเรือน และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก) จํานวน 1.39 ล้านราย แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับค่าไฟฟ้าประจําเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564) 10,293.00 1.3 มาตรการลดค่าน้ําประปาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตามมติคณะรัฐมนตรี (13 กรกฎาคม 2564) ของ กปน. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (บ้านอยู่อาศัย) จํานวน 2.06 ล้านราย และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (กิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.39 ล้านราย ในพื้นที่ให้บริการของ กปน. ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคม - กันยายน 2564) 159.08 1.4 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากโรคโควิด 19 เพิ่มเติม 2564 ลดค่าน้ําประปาร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กเป็นระยะเวลา 2 เดือน สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564 ของ กปภ. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (บ้านอยู่อาศัย) จํานวน 4.04 ล้านราย และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (กิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.61 ล้านราย ในพื้นที่ทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคม - กันยายน 2564) 271.66 รวมวงเงิน 12,771.15 ทั้งนี้ การดําเนินการทั้ง 4 โครงการ เป็นการลดภาระค่าครองชีพในส่วนของค่าน้ําประปาและค่าไฟฟ้าสําหรับประชาชนและผู้ประกอบกิจการขนาดเล็กในช่วงที่รัฐบาลดําเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการและการใช้ชีวิตของประชาชน 2. มติ คกง. เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธรณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ําประปา) จํานวน 4 โครงการ ของ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 2 ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 17. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอการกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (โรคโควิด 19) และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงแรงงานเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อม สามารถจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอํานาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุข เพื่อให้บริการแก่พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง โดยเบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ซิโนฟาร์ม) จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่แจ้งความประสงค์ว่ามีความจําเป็นเร่งด่วนในการจัดหาวัคซีน จํานวน 117,677 คน ซึ่งในปี 2564 มีค่าใช้จ่ายจํานวนรวมทั้งสิ้น 209 ล้านบาท (ซิโนฟาร์มเข็มละ 888 บาท จํานวน 2 เข็ม x จํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่ประสงค์ขอรับวัคซีน 117,677 คน) และในปี 2565 - 2568 มีค่าใช้จ่ายจํานวนรวมทั้งสิ้นปีละ 464 ล้านบาท [ซิโนฟาร์มเข็มละ 888 บาท จํานวน 2 เข็ม x จํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในปี 2564 ทั้งหมด 261,464 คน (พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในปี 2564 จากรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 58 แห่ง)] โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป [เป็นวันที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เริ่มเปิดให้หน่วยงานของรัฐ/องค์กร/บริษัทต่าง ๆ สามารถจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ซิโนฟาร์ม) ได้ และรัฐวิสาหกิจบางแห่งได้ดําเนินการจัดหาวัคซีนเพื่อให้พนักงานไปบางส่วนแล้ว] ซึ่งคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 และการประชุมครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 18. เรื่อง ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 เกี่ยวกับผลการคัดเลือกเอกชนและผลการเจรจาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ 2. ให้ สกพอ. การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสําคัญกับการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มมูลค่า (Value added Activities) การพัฒนาท่าเรือบกและการเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยระบบขนส่งที่หลากหลาย และการบริหารจัดการขนส่งหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนค่าขนส่งซึ่งจะช่วยพัฒนาและขยายพื้นที่หลังท่าของท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงกํากับให้เอกชนคู่สัญญาของโครงการฯ ดําเนินการตามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ F2 ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในภาพรวมต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสํานักงานอัยการสูงสุด (อส.) ของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F (โครงการฯ) โดยเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ซึ่งได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินของรัฐเป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (ตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต) ระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี ทั้งนี้ อส. ไม่มีข้อขัดข้องด้วย 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ บริษัท เคหะสุขประชา จํากัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ไม่ขัดข้องในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และหากมีการจัดตั้งบริษัทในเครือ ก็เห็นชอบการปรับเพิ่มกรอบงบลงทุนประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หมวดลงทุนอื่น ๆ โดยเพิ่มทั้งวงเงินดําเนินการและเบิกจ่ายลงทุน จํานวน 245 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ กคช. ถือหุ้นร้อยละ 49 จากทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการจัดตั้งบริษัทในเครือสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย และเป็นไปตามกฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เห็นควรให้ กคช. ดําเนินการในประเด็นต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน ตามความเห็นของ สศช. และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปดําเนินการต่อไปด้วย 20. เรื่อง แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดําเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ เห็นชอบแผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงินงบประมาณรายจ่าย 904.769 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 1,002.771 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง พน. รายงานว่า 1. ผลการดําเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ ประเด็น รายละเอียด ผลการดําเนินงาน เช่น 1) ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 23.70 ล้านราย โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 16,972 ล้านบาท และตรึงค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2564 ออกไปอีก 4 เดือน (เดือนกันยายน - ธันวาคม 2564) 2) ออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) สําหรับภาคประชาชนและโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนําร่อง) 3) ดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสําคัญ (Big Rock) ในการอนุมัติอนุญาตเบ็ดเสร็จด้านกิจการไฟฟ้าที่แท้จริง โดยปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอน และกฎหมายลําดับรองเพื่อการอนุญาตแบบ One Stop Service พัฒนาระบบการให้บริการอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานแบบออนไลน์ และกําหนดอัตราค่าบริการให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) 4) กําหนดหลักเกณฑ์การกํากับกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 (ระยะเปลี่ยนผ่าน) 5) กํากับอัตราค่าไฟ โดยกําหนดหลักเกณฑ์และโครงสร้างอัตราค่าบริการไฟฟ้า พ.ศ. 2564 - 2568 6) กํากับอัตราค่าบริการก๊าชธรรมชาติ โดยกําหนด (1) อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อผ่านระบบส่งก๊าชธรรมชาติ ส่วนของต้นทุนผันแปรของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และ (2) อัตราค่าบริการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซส่วนของต้นทุนผันแปรประจําปี พ.ศ. 2564 ของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จํากัด 7) คุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นและทําความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการสิ่งแวดล้อมของผู้รับใบอนุญาต และการปรับอัตราค่าไฟฟ้า 8) บริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้า โดยบริหารจัดการเงินชดเชยและอุดหนุนผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าซึ่งให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสหรือให้บริการไฟฟ้าอย่างทั่วถึงตามมาตรา 97 (1) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เป็นเงิน 7,711 ล้านบาท 9) พัฒนาระบบบริหารงานองค์กร พัฒนาระบบบริหารงานให้มีมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 พัฒนาระบบบริหารงานองค์กรและการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การจัดเก็บรายได้ คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ จํานวน 932.419 ล้านบาท เท่ากับประมาณการการจัดเก็บรายได้ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ การใช้จ่ายงบประมาณ คาดว่าจะเบิกจ่าย จํานวน 892.379 ล้านบาท เท่ากับกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ หมายเหตุ : สํานักงาน กกพ. คาดว่าจะนําเงินส่งคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 40.040 ล้านบาท 2. แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งได้จัดทําให้สอดคล้องกับแผนต่าง ๆ เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน (ฉบับปรับปรุง) แผนปฏิบัติการด้านการกํากับกิจการพลังงานระยะที่ 4 (พ.ศ. 2563 - 2565) มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 2.1 แผนการดําเนินงาน วัตถุประสงค์ ตัวอย่างการดําเนินการ (1) ส่งเสริมให้บริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ มีความมั่นคงและมีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต - กํากับการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายภาครัฐให้เป็นไปตามกรอบการจัดหาไฟฟ้าตามแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 - ทบทวนโครงสร้างการกําหนดประเภทใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานใหม่รองรับรูปแบบธุรกิจพลังงานที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต - ให้บริการอนุญาตการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าแบบ One Stop Service (2) ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานทั้งด้านอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ - กําหนดหลักเกณฑ์การกําหนดอัตราค่าไฟฟ้ารองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าเพื่อรองรับการเข้ามาของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ (Prosumers) - ประกาศมาตรฐานสัญญาการให้บริการไฟฟ้าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1 - 81 - จัดทําข้อเสนอการชดเชยผู้ใช้ไฟฟ้าและอัตราที่ชดเชย กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถให้บริการได้ตามที่มาตรฐานการให้บริการพลังงานกําหนด (3) ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน และป้องกันการใช้อํานาจในทางมิชอบในการประกอบกิจการพลังงาน - จัดทําแนวทางการกํากับกิจการก๊าซธรรมชาติที่เกี่ยวข้องในอนาคตรองรับการพัฒนาศูนย์กลางการซื้อ - ขาย LNG ของภูมิภาค (Regional LNG Trading HUB) - กําหนดแนวทางการกํากับกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขันและรองรับการซื้อขายไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 4) ส่งเสริมให้การบริการของระบบโครงข่ายพลังงานเป็นไปด้วยความเป็นธรรม - ติดตามและรวบรวมข้อมูลการดําเนินการตามหลักเกณฑ์การกํากับการเปิดให้ใช้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party Access Framework: TPA Framework) ของระบบจําหน่ายไฟฟ้า เพื่อนํามาทบทวนหลักเกณฑ์ดังกล่าว และกํากับข้อกําหนด (TPA Code) ของผู้รับใบอนุญาต - กําหนดหลักเกณฑ์การกําหนดอัตราค่าบริการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) ของระบบส่งไฟฟ้าและระบบจําหน่ายไฟฟ้าที่เหมาะสม (5) ส่งเสริมให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ตรวจติดตามการประกอบกิจการพลังงานตามเงื่อนไขการอนุญาต และต่อยอดการพัฒนาระบบตรวจติดตามด้านสิ่งแวดล้อมที่เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (6) ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงาน ชุมชนท้องถิ่น ประชาชน และผู้รับใบอนุญาตในการมีส่วนร่วม เข้าถึง ใช้และจัดการด้านพลังงาน - ปฏิรูปกลไกการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน โดยจัดทําบันทึกความเข้าใจกับสภาคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสร้างความร่วมมือในการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงาน - พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ต่อเนื่อง จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (7) ส่งเสริมการใช้พลังงานและทรัพยากรในการประกอบกิจการพลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ - กําหนดมาตรการการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response)2 - สนับสนุนเงินลงทุนในการปรับปรุงเทคโนโลยีประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (8) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ศึกษาแนวทางการส่งเสริม/กํากับ (Regulatory Framework) สําหรับวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่และการศึกษาต้นทุน มาตรการด้านราคา เทคโนโลยี และผลกระทบ (9) บริหารจัดการองค์กรที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ - พัฒนาระบบการบริหารงานองค์กรให้มีมาตรฐานสากลตามระบบบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 - ปรับปรุงระบบการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นระบบยิ่งขึ้น 2.2 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการ จํานวนเงิน (ล้านบาท) (1) รายจ่ายด้านบุคลากร 276.076 (2) รายจ่ายในการจัดการและบริหารสํานักงาน เช่น เงินสมทบประกันสังคม ค่าเช่าอาคารสํานักงาน ค่าวัสดุสํานักงาน และค่าสาธารณูปโภค 440.579 (3) รายจ่ายที่เป็นงบลงทุน เช่น ค่าครุภัณฑ์ต่าง ๆ 11.136 (4) รายจ่ายที่เป็นเงินอุดหนุน เช่น เงินให้การสนับสนุนกิจกรรมภาคสังคม 2.500 (5) รายจ่ายอื่น ๆ เช่น โครงการตามกลยุทธ์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน ฝึกอบรม สัมมนา และศึกษาดูงานในต่างประเทศ 174.478 รวมทั้งสิ้น 904.769 ทั้งนี้ กรณีที่จะต้องดําเนินการตามภารกิจที่จําเป็นเร่งด่วนหรือดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของสํานักงาน กกพ. หรือตามนโยบายรัฐบาลระหว่างปีงบประมาณ สํานักงาน กกพ. จะถัวจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 2.3 ประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการ จํานวนเงิน (ล้านบาท) (1) ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต/ต่ออายุ/ใบแทน 1.315 (2) ค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี 993.229 (3) รายได้อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร และค่าธรรมเนียมการจัดรับฟังความคิดเห็นการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า 8.227 รวมทั้งสิ้น 1,002.771 _____________________ 1ผู้ใช้ไฟฟ้า 8 ประเภท ประกอบด้วย (1) บ้านอยู่อาศัย (2) กิจการขนาดเล็ก (3) กิจการขนาดกลาง (4) กิจการขนาดใหญ่ (5) กิจการเฉพาะอย่าง (6) องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกําไร (7) กิจการสูบน้ําเพื่อการเกษตร และ (8) ผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว 2คือ การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองจากรูปแบบการใช้ปกติ เพื่อตอบสนองต่อราคาค่าไฟฟ้าในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการสภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 21. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. อนุมัติสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท 3. อนุมัติขยายระยะเวลาการดําเนินกิจกรรมและใช้จ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีและเงินเหลือจ่ายจากโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564, วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และวันที่ 10 สิงหาคม 2564 สาระสําคัญ 1. กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท และขอความเห็นชอบไปยังสํานักงบประมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนี้ - สร้างความเชื่อมั่น : ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) หรือดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามหลักการแพทย์และสาธารณสุข - สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ : ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันหมู่ และมีความปลอดภัยจากการเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงการรักษาระดับความมั่นคงด้านสาธารณสุขได้อย่างต่อเนื่อง - ฟื้นฟูเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัว มีอัตราเติบโตของ GDP เป็นไปตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล - เสริมสร้างสังคมและวัฒนธรรม : ประชาชนสามารถกลับมาดําเนินกิจกรรมด้านสังคมและวัฒนธรรมตามเดิมได้ โดยยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค DMHTTA 2. นายกรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ให้กระทรวงสาธารณสุขเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท 3. กระทรวงสาธารณสุข ได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้เบิกเหลื่อมปีได้จนถึงเดือนมีนาคม 2565 กระทรวงสาธารณสุขมีภารกิจที่จะต้องดําเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีเกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการ จึงขอขยายระยะเวลาการดําเนินกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินในโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติงบประมาณรายจ่ายแล้ว ดังนี้ 3.1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 โครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกใหม่ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาดําเนินการเดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564) จํานวนเงิน 4,661,116,203 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 3.2 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 โครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาการดําเนินการเดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 12,567,629,322 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 3.3 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาดําเนินการเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 12,669,218,318 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจรถึงเดือนธันวาคม 2564 3.4 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข (ระยะเวลาดําเนินการเดือนมิถุนายน 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 1,877,455,000 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 ต่างประเทศ 22. เรื่อง การรับรองร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) (ASEAN Framework Action Plan on Rural Development and Poverty Eradication: FAPRDPE 2021 - 2025) อย่างเป็นทางการตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ [จะมีการรับรองร่างแผนปฏิบัติการฯ ในนามของประเทศไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication: AMRDPE) ครั้งที่ 12 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564] สาระสําคัญของเรื่อง มท. รายงานว่า 1. ความร่วมมือของอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาชนบทและความยากจน1 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2540 อยู่ภายใต้การดูแลของการประชุม AMRDPE โดยได้รับการสนับสนุนจากการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Senior Official Meeting on Rural Development and Poverty Eradication: SOMRDPE) เพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยการประชุม SOMRDPE ได้พัฒนาแผนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน พ.ศ. 2542 – 2547 ซึ่งได้รับรองในการประชุม AMRDPE ครั้งแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 และต่อมาการประชุม SOMRDPE ได้จัดทําแผนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนฉบับต่อมาเป็นปี พ.ศ. 2547 – 2553 พ.ศ. 2554 – 2558 และ พ.ศ. 2559 – 2563 ตามลําดับ (จะมีการจัดทําแผนดังกล่าวทุก 5 ปี) เพื่อความชัดเจนในการกําหนดแนวทางปฏิบัติและทิศทางในการทํางานให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น 2. ในการประชุม SOMRDPE ครั้งที่ 17 (The 17th SOMRDPE) เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ซึ่งประเทศไทยเป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการฯ ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้เป็นแนวทางในการริเริ่มการพัฒนาเพื่อนําไปสู่การบูรณาการความร่วมมือระดับภูมิภาคต่อไป 3. ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนยากจนในชนบทและช่วยเหลือกลุ่มที่ยากจนที่สุดจากกลุ่มคนในพื้นที่ชนบทให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง โดยมีเป้าประสงค์สําคัญ 5 ด้าน เพื่อขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ เป้าประสงค์ที่ 1 ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ส่งเสริมการปรับตัวของประชาชนในชนบทเพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย (1) เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันในชนบท โดยวางแผนการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างชนบทกับเมือง ซึ่งจะนําไปสู่เศรษฐกิจที่มั่นคงในชนบทและลดความยากจนได้ตามเป้าหมาย (2) การปรับบทบาทองค์กรธุรกิจในชนบทให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยคนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น (3) การเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินและการลงทุน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก การประสานความร่วมมือระหว่างเขตแดน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรรายย่อย (เช่น พื้นที่จัดเก็บผลผลิตขนาดเล็ก บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ในการค้าและการประชาสัมพันธ์การตลาด) เป้าประสงค์ที่ 2 ด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ (Human) การสร้างหลักประกันว่าคนยากจนจะมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา สวัสดิการทางสังคมและบริการด้านสุขภาพ ประกอบด้วย (1) ปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษา การฝึกอบรม และการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ (2) วางรากฐานที่ยั่งยืนให้คนในชุมชนมีการจัดระบบความคุ้มครองกลไกทางการเงินที่เหมาะสม (3) การลงทุนสําหรับบริการทางสุขภาพโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่จําเป็นต่อการพัฒนา โดยเฉพาะการบริหารจัดการภายใต้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) (4) การปรับปรุงการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเงินเพื่อการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสําหรับกลุ่มสตรีและเยาวชน รวมถึงรายได้จากการจ้างงานให้ครอบคลุมและดีขึ้น เป้าประสงค์ที่ 3 ด้านความคุ้มครอง (Protective) การเตรียมพร้อมของหน่วยงาน/องค์กรเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติ เป็นต้น ประกอบด้วย (1) การบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพื่อนําไปสู่การพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (2) การพัฒนาบริการให้คําปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน เป้าประสงค์ที่ 4 ด้านการเมือง (Political) เสริมสร้างศักยภาพในการดําเนินงานกับบุคลากรและทําให้เกิดความคิดริเริ่มในการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ประกอบด้วย (1) การสร้างเครือข่ายการพัฒนาชนบทร่วมกับหลายภาคส่วน (อปท. ภาคประชาชน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายสตรี เยาวชน คนพิการ และผู้สูงอายุ) (2) โครงการเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาชนบทและความยากจน สําหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น แกนนําประชาชนและองค์กรธุรกิจในท้องถิ่น (3) การมอบรางวัลอาเซียนให้กับหน่วยงานที่มีผลงานในการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เป้าประสงค์ที่ 5 ด้านกลไกการบูรณาการ (Inclusivity) มีกลไกการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย (1) ความเชื่อมโยงของอาเซียนกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความตระหนักรู้และการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (2) ส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็กสําหรับการดําเนินการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนตามกลไกอาเซียน (3) การเผยแพร่ผลงานของอาเซียน ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (4) การจัดการองค์ความรู้ด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยให้ความสําคัญกับความยั่งยืน _______________________ 1 กรอบความร่วมมือของอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาชนบทและความยากจน ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ 23. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย (ไทย) กับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) [ร่างบันทึกความเข้าใจฯ] โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนมีการลงนามให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ [จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจข้างต้นในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation: JCBC) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ผ่านระบบทางไกล วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564] สาระสําคัญของเรื่อง กต. รายงานว่า หลังจากที่บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 5 ปีและครบกําหนดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 ฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามได้ร่วมกันปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน และในการประชุมคณะทํางานการปรึกษาหารือด้านการเมือง (Political Consultation Group) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 8 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งมีปลัดกระทรวง การต่างประเทศและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายเหวียน ก๊วก สุง) ของเวียดนามเป็นประธานร่วม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับปรับปรุงแก้ไขในการประชุม JCBC ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 4 ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นผ่านระบบการประชุมทางไกลวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายบุ่ย แทงห์ เซิน) ของเวียดนามเป็นประธานร่วม ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสําคัญเป็นการสานต่อและใช้แทนที่บันทึกความเข้าใจฉบับที่มีการลงนามแล้วเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 เพื่อกําหนดกรอบการดําเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยรายละเอียดที่ได้ปรับเพิ่มจากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมสรุปได้ ดังนี้ ข้อบท สรุปสาระสําคัญที่แก้ไขเพิ่มเติม สาขาความร่วมมือ (1) ระบุประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศต้องการหารือ อาทิ การกงสุล การทูตเศรษฐกิจ การทูตวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ (2) ระบุด้านความร่วมมือที่ทั้งสองประเทศต้องการส่งเสริม อาทิ ความมั่นคง การค้า การลงทุน เกษตรกรรม การศึกษา (3) กําหนดให้กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนา ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ) (4) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในจังหวัดต่าง ๆ ของเวียดนาม โดยเริ่มจากการดําเนินโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบอย่างยั่งยืนในจังหวัดท้ายเงวียนและจังหวัดเบ๋นแจ (5) ระบุสาขาที่ต้องการส่งเสริมความร่วมมือในระดับทวิภาคี อาทิ การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงด้านไซเบอร์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน การดําเนินการ ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับจากคู่ภาคีให้กับภาคีที่สาม หากไม่ได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่ภาคีอีกฝ่าย การยุติข้อพิพาท จะไม่ใช้กลไกระงับข้อพิพาทของภาคีที่สาม การมีผลผูกพัน ไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 24. เรื่อง การเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ของไทย รวมทั้งเห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ของไทย ตามข้อ 1 และเห็นชอบร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) ตามข้อ 2 ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมประกาศหรือออกแถลงการณ์เปิดการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา และร่วมให้ความเห็นชอบเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ สาระสําคัญ 1. ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา ของไทย มีสาระสําคัญเป็นการวางกรอบแนวทางการเจรจาของไทยสําหรับจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา เพื่อขยายโอกาสการค้าการลงทุน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในประเทศ เพื่อเจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ โดยคํานึงถึงความพร้อม ระดับการพัฒนา และภูมิคุ้มกันของประเทศ ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การค้าสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอํานวยความสะดวกทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายแข่งขันทางการค้า วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ความร่วมมือด้านเทคนิคและด้านเศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ แนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ แรงงาน สิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ กลไกการจัดการเชิงสถาบัน รัฐวิสาหกิจ และเรื่องอื่น ๆ 2. ร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) เป็นการสร้างพื้นฐานความความเข้าใจร่วมกันระหว่างอาเซียนและแคนาดาถึงขอบเขตประเด็นที่จะเจรจาภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ประกอบด้วยหลักการทั่วไป วัตถุประสงค์ของการเจรจาตลอดจนประเด็นที่จะหารือกันในการเจรจาหัวข้อสําคัญอย่างกว้าง ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การค้าสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอํานวยความสะดวก ทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า แนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน สิ่งแวดล้อม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายแข่งขันทางการค้า วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ความร่วมมือด้านเทคนิคและเศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความโปร่งใส การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ กลไกการจัดการเชิงสถาบัน วัฒนธรรม และเรื่องอื่น ๆ ทั้งนี้ มิได้เป็นการผูกมัดผลการเจรจาที่จะเกิดขึ้น ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ และได้จัดทําความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) แล้วเสร็จ ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้บังคับต้นปี 2565 รวมแล้วไทยมีการค้ากับประเทศที่มี FTAs ครอบคลุมร้อยละ 63 ของการค้าทั้งหมดของไทย อีกทั้งไทยยังมีแผนที่จะจัดทํา FTA กับคู่ค้าสําคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (2561 - 2580) ที่จะทําให้ไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายให้ขยายการจัดทํา FTA เพื่อเพิ่มโอกาสการค้าและการลงทุนของไทย ซึ่งแคนาดาเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพและได้แสดงความสนใจที่จะจัดทํา FTA กับอาเซียน โดยมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดทํา FTA ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 7 ฉบับ ทั้งนี้หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารที่ไม่ใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคม (คค.) ดําเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ 1 (จํานวน 6 ฉบับ) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและลงนามในเอกสารข้อ 2 และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งเอกสารดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนแสดงเจตนาการมีผลผูกพันของเอกสารต่อไป ทั้งนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสําหรับการลงนามเอกสารในข้อ 2 พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการมอบสัตยาบันสารให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบเอกสารดังกล่าวแล้วตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ สาระสําคัญ กระทรวงคมนาคมขอเสนอเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 7 ฉบับ ดังนี้ 1. เอกสารที่จะมีการรับรอง จํานวน 6 ฉบับ ดังนี้ 1.1 ร่างแนวทางการดําเนินงานสําหรับการพัฒนาการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืนในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน เป็นเอกสารแนวทางการดําเนินงานเพื่อพัฒนาการวางแผนการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืนในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเริ่มต้นการกําหนดวิสัยทัศน์ การวางแผนปฏิบัติ และการดําเนินการ โดยปรับให้เหมาะสมกับแนวทางปฏิบัติและทรัพยากรในการวางแผนในปัจจุบัน ในแต่ละขั้นตอนแนวทางการดําเนินงานจะให้คําจํากัดความทั่วไป ตัวอย่างบทเรียนที่ได้รับ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของกระบวนการวางแผนในบริบทและเงื่อนไขของโครงสร้าง สิ่งแวดล้อม และสังคมที่แตกต่างกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความท้าทายและภารกิจของเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกระบวนการวางแผนการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืน และสร้างความตระหนักแก่คณะผู้ดําเนินการ รวมถึงขีดความสามารถที่จําเป็นในการดําเนินกระบวนการวางแผนการขนส่งของเมืองอย่างยั่งยืน 1.2 ร่างชุดเครื่องมือสําหรับการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการขนส่ง ในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน เป็นชุดแนวคิดการวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นจากการที่องค์กรและหน่วยงานด้านการขนส่งทั่วอาเซียนเผชิญกับความท้าทายและวิธีแก้ปัญหาทั่วไปที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเปรียบเทียบและทําความเข้าใจโครงสร้างการกํากับดูแลที่มีอยู่ รวมถึงโครงสร้างการกํากับดูแลที่อาจมีในอนาคต โดยการระบุลักษณะของโครงสร้างการกํากับดูแลเดิมและการออกแบบโครงสร้างการกํากับดูแลใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความท้าทายและภารกิจของเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับชุดเครื่องมือสําหรับการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านขนส่งในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ และสร้างความตระหนักแก่คณะผู้ดําเนินการ รวมถึงขีดความสามารถที่จําเป็นในการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านขนส่งในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ 1.3 ร่างปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืน เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งภายในเขตเมืองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สนับสนุนการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมทางสังคม ความปลอดภัย สวัสดิภาพ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และรับรองเอกสาร 2 ฉบับ ตามข้อ 1.1 และ 1.2 ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ให้ประเทศสมาชิกดําเนินการด้วยความสมัครใจ 1.4 ร่างแนวปฏิบัติอาเขียน-ญี่ปุ่น ในการตรวจประเมินมาตรฐานการบริหาร จัดการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ เป็นแนวทางการตรวจประเมินผู้ประกอบการโลจิสติกส์ให้แก่หน่วยงานที่ให้การรับรองมาตรฐานการบริหารจัดการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิที่แต่ละประเทศในอาเซียนได้พัฒนาขึ้นโดยให้ความสําคัญกับการตรวจประเมินในส่วนของการบริหารจัดการ 1) คลังสินค้า (warehouse) และ 2) การขนส่ง (Transport) ที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิในภูมิภาคอาเซียนมีมาตรฐานและประสิทธิภาพ ซึ่งแนวปฏิบัตินี้อยู่ในรูปแบบสมัครใจ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนไม่จําเป็นต้องนําแนวปฏิบัตินี้ไปประยุกต์ใช้ทั้งหมด 1.5 ร่างรายงานผลการศึกษาการทดสอบระบบสาธิตการควบคุมยานพาหนะที่บรรทุกน้ําหนักเกินด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเอกสารรายงานผลการทดสอบประสิทธิภาพและความแม่นยําของเทคโนโลยีใหม่ของญี่ปุ่น โดยการรับแรงสั่นสะเทือนผ่านเซ็นเซอร์ในแอปพลิเคชันจากโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Smartphone ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐด้านการควบคุมยานพาหนะที่บรรทุกน้ําหนักเกินด้วยต้นทุนที่ต่ํากว่า โดยปัจจุบันมาตรการของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดําเนินงานดังกล่าวคือการตั้งสถานี ชั่งน้ําหนักและ Weigh in Motion (WIM) ซึ่งใช้งบประมาณการลงทุนค่อนข้างสูง และยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ 1.6 ร่างแผนปฏิบัติการ ปี 2564-2568 ของแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-จีน ฉบับปรับปรุง เป็นร่างแผนปฏิบัติการ ระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2564-2568 ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 1 ปี 2561-2563) มีโครงการความร่วมมือสําคัญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีนบรรจุอยู่ในแผนปฏิบัติการฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างภูมิภาคภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (KLTSP) และข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ (1) โครงการความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน (2) โครงการความร่วมมือด้านการขนส่งทางน้ํา (3) โครงการความร่วมมือด้านการอํานวยความสะดวกในการขนส่ง (4) โครงการความร่วมมือด้านฐานข้อมูล และ (5) โครงการความร่วมมือทางวิชาการ โดยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ โครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลงฉบัง เฟส 3 (ท่าเรือ F) และโครงการความร่วมมือการเดินเรือในแม่น้ําล้านช้าง-แม่โขง 2. เอกสารที่จะมีการรับรองและลงนาม จํานวน 1 ฉบับ คือ ร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (การลงนามในลักษณะเวียน (ad-referendum) ภายหลังการประชุมฯ) เป็นเอกสารเพื่อยื่นเปิดตลาดการให้บริการคลังสินค้า (Cargo Handling Service) ในท่าอากาศยาน 7 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานแม่สอด แบบมีเงื่อนไขว่าอนุญาตให้บุคคลสัญชาติอาเซียนถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 49 อํานาจบริหารกิจการเป็นของบุคคลสัญชาติไทย ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ดําเนินการสนามบินอนุญาต 26. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 (Memorandum of Understanding on Cultural Exchange between the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Culture, Sports and Tourism of the Socialist Republic of Viet Nam for the years 2021 - 2026) รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 ทั้งนี้หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคําของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ สาระสําคัญของร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 ได้ขยายกรอบเวลาการบังคับใช้ให้มีอายุ 6 ปี มีสาระสําคัญมุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ศิลปะการแสดง วิจิตรศิลป์และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปี พ.ศ. 2564 และครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. 2569 ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวปรับปรุงจากร่างแผนปฏิบัติการฯ ปี พ.ศ. 2557 – 2559 ซึ่งถือเป็นแผนปฏิบัติการฯ ฉบับแรกที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการร่วมกันในระยะ 3 ปี ซึ่งปัจจุบันได้หมดอายุลงแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการจัดทําร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกันผ่านช่องทางการทูตและขณะนี้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในร่างเนื้อหาที่ได้จัดทําร่วมกันแล้ว และฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation: JCBC) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ที่มีกําหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ผ่านระบบทางไกล โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่งตั้ง 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นายเทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กรมสุขภาพจิต ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 2. นายสุริยะ ปิยผดุงกิจ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 2 ราย เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ดังนี้ 1. นายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 29. เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 299/2564 เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 180/ 2562 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภาให้เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนตามระบบรัฐสภา ตลอดจนเพื่อให้การประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา และพรรคการเมือง ในปัญหาต่าง ๆ ด้านนิติบัญญัติดําเนินการไปอย่างราบรื่น นั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 (6) และ (9) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมาตรา 184 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 จึงให้ยกเลิกความในข้อ 1.2คณะกรรมการ (1) ของคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 180/2562 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 1.2 คณะกรรมการ “(1) นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานกรรมการ” ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป .............................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤศจิกายน 2564 วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2564) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 3. เรื่อง โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) 4. เรื่อง (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) 5. เรื่อง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ 6. เรื่อง การติดตามการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการโดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน 7. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) 8. เรื่อง รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 9. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 10. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 11. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2564 12. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 13. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 38/2564 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 17. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 18. เรื่อง ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ บริษัท เคหะสุขประชา จํากัด (มหาชน) 20. เรื่อง แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน 21. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่างประเทศ 22. เรื่อง การรับรองร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 23. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 24. เรื่อง การเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 26. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 แต่งตั้ง 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) 29. เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ เป็นการกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร ที่ผลิตจากสารเคมี เช่น พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน เป็นต้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหารที่มีคุณภาพ อันเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยจากสารเคมีปนเปื้อนที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ ซึ่ง อก. ได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 1 พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 1 – 2553 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4225 (พ.ศ. 2553) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 1 พอลิเอทิลีน พอลิพรอพิลีน พอลิสไตรีน พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ และพอลิเมทิลเพนทีน ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 2. กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 2 พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิคาร์บอเนต พอลิแอไมด์ และพอลิเมทิลเมทาคริเลต มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 2 – 2554 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4366 (พ.ศ. 2554) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 2 พอลิไวนิลคลอไรด์ พอลิคาร์บอเนต พอลิแอไมด์ และพอลิเมทิลเมทาคริเลต ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 3. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 3 อะคริโลไนไทรล์ – บิวทะไดอีน - สไตรีน และสไตรีน – อะคริโลไนไทรล์ มาตรฐานเลขที่ มอก. 655 เล่ม 3 – 2554 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4367 (พ.ศ. 2554) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ภาชนะและเครื่องใช้พลาสติกสําหรับอาหาร เล่ม 3 อะคริโลไนไทรล์ – บิวทะไดอีน - สไตรีน และสไตรีน – อะคริโลไนไทรล์ ลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 4. กําหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ กค. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาการกําหนดจํานวนเงินสะสมสูงสุด และการนําทุนหรือผลกําไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. 2561 โดยเพิ่มหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวนเงินสะสมสูงสุด ในกรณีที่มีความจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารการคลังของรัฐ และการกําหนดให้ทุนหมุนเวียนที่ใช้จ่ายเงินบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือแผนการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนแล้วและมีเงินคงเหลือหรือมีเงินคงเหลือเกินความจําเป็นในรอบบัญชีนั้น ให้นําเงินดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารการเงินการคลังของรัฐมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งมีความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความคล่องตัว มีเสถียรภาพ และทําให้ประชาชนมีการดํารงชีพในสังคมเป็นไปในทางที่ดีขึ้น สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กําหนดหลักเกณฑ์การคํานวณจํานวนเงินสะสมสูงสุด โดยคํานวณจากการนําประมาณการรายจ่ายปีปัจจุบันและประมาณการรายจ่ายประจําปีบัญชีย้อนหลังไปอีกหนึ่งปีรวมกันสองรอบปีบัญชี คูณด้วยร้อยละเฉลี่ยของความสามารถในการจ่ายเงินสองรอบปีบัญชีที่ล่วงมาแล้ว โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2. กําหนดให้ทุนหมุนเวียนที่ใช้จ่ายเงินบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือแผนการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนแล้วและมีเงินคงเหลือหรือมีเงินคงเหลือเกินความจําเป็นในรอบบัญชีนั้น ให้นําเงินดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เศรษฐกิจ สังคม 3. เรื่อง โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอดังนี้ 1. โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - ปี 2570) (โครงการสําคัญฯ) จํานวน 406 โครงการ 2. แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญฯ สาระสําคัญของเรื่อง สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รายงานว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 ได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดทําโครงการสําคัญฯ ดังนี้ 1. โครงการสําคัญฯ 1.1 สศช. ร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - ปี 2570) (แผนแม่บทฯ) (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.1) หน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับประเด็นแผนแม่บทฯ (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.2) และหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนเป้าหมายระดับแผนย่อย (หน่วยงานเจ้าภาพ จ.3) รวมทั้งทุกหน่วยงานของรัฐในระดับกรมหรือเทียบเท่า ในฐานะหน่วยปฏิบัติซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการขับเคลื่อนการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ จัดทําโครงการสําคัญฯ ตามแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อให้การแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในห้วงระยะเวลาที่เหลือของยุทธศาสตร์ชาติ เป็นการดําเนินงานบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ได้อย่างแท้จริง ยึดหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล(Causal Relationship: XYZ) และวงจรนโยบาย (Policy cycle)1 นําไปสู่การบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการจัดทําโครงการสําคัญในแต่ละปีงบประมาณในห้วงปี 2566 - 2570 ที่สามารถส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายที่กําหนดไว้ในปี 2570 ซึ่งเป็นห้วงที่ 2 ของการดําเนินการตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยยึดแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 เรื่อง แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ใน 4 แนวทาง ประกอบด้วย (1) การมองเป้าหมายร่วมกัน (2) การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายแผนแม่บทย่อยและจัดทําข้อเสนอโครงการสําคัญ (3) การจัดลําดับความสําคัญของข้อเสนอโครงการ และ (4) การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Online) ในระหว่างช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม 2564 1.2 หน่วยงานของรัฐนําเข้าข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และผ่านการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา (M7)2 จํานวนทั้งสิ้น 3,039 โครงการ โดย สศช. และหน่วยงานเจ้าภาพ จ.1 จ.2 และ จ.3 ประเมินให้คะแนนข้อเสนอโครงการสําคัญฯ3 ตามหลักเกณฑ์ที่ สศช. กําหนดซึ่งครอบคลุมกระบวนการทางสถิติ อาทิ การใช้เกณฑ์ค่าความเห็นพ้องของผู้ประเมิน การปรับคะแนนตามค่ามาตรฐาน และการถ่วงคะแนนด้วยค่าน้ําหนักของแต่ละเป้าหมายแผนแม่บทย่อยตามความสําคัญ/เร่งด่วน โดยได้โครงการสําคัญฯ ที่ผ่านการประเมินจํานวนทั้งสิ้น 406 โครงการ ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการสําคัญฯ จะต้องนําโครงการสําคัญฯ ไปบรรจุในแผนปฏิบัติราชการประจําปีของหน่วยงานร่วมกับการดําเนินงานตามภารกิจปกติอื่น ๆ และดําเนินการตามกระบวนการขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ มีเป้าหมายแผนแม่บทย่อยที่ไม่มีโครงการสําคัญฯ มารองรับจํานวนทั้งสิ้น 45 เป้าหมาย จาก 140 เป้าหมาย อาทิ เป้าหมายการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้น เป้าหมายคุณภาพชีวิต ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์และความเสมอภาคทางสังคมได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากผลการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเชิงสังคม เป้าหมายสถาบันเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความเข้มแข็งในระดับมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานเจ้าภาพ จ.3 จะต้องพิจารณาจัดทําโครงการให้ครอบคลุมทั้ง 140 เป้าหมายต่อไป 2. แนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญ สศช. ได้นําข้อสังเกตจากการดําเนินการตามแนวทางในข้อ 1 มาจัดทําเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างแท้จริง โดยแนวทางการขับเคลื่อนดังกล่าวมีสาระสําคัญ ดังนี้ ประเด็น สาระสําคัญ 2.1 แนวทางที่ 1 การมองเป้าหมายร่วมกัน หน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานต่าง ๆ ต้องวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายแผนแม่บทย่อย จากภารกิจของหน่วยงานและข้อมูลโครงการ/การดําเนินงานที่ผ่านมาภายใต้เป้าหมายแผนแม่บทย่อย ในระบบ eMENSCR เพื่อไปสู่การมองเป้าหมายการพัฒนาร่วมกันประสานและขับเคลื่อนการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการในทิศทางเดียวกัน 2.2 แนวทางที่ 2 การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่าที่ส่งผลให้บรรลุเป้าหมายแผนแม่บทย่อย และการจัดทําข้อเสนอโครงการสําคัญฯ · สศช. จัดทําคู่มือโครงการสําคัญฯ และปฏิทินขับเคลื่อนกระบวนการจัดทําโครงการสําคัญฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่กําหนดให้ยึดแนวทางการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไป · หน่วยงานจัดทําและปรับข้อเสนอโครงการสําคัญฯ บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็นไปตามหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (XYZ) และสอดคล้องกับห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทยทั้ง 140 เป้าหมาย แผนแม่บทย่อยภายใต้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ฉบับแก้ไขปี 2566) และมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป · ทุกหน่วยงานของรัฐเสนอโครงการสําคัญฯ ผ่านระบบ eMENSCR ให้ทันกรอบระยะเวลาการดําเนินการ 2.3 แนวทางที่ 3 การจัดลําดับความสําคัญของข้อเสนอโครงการสําคัญฯ · หน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานต่าง ๆ และหน่วยงานผู้มีสิทธิ์ประเมินให้คะแนนโครงการสําคัญฯ ต้องดําเนินการ ดังนี้ (1) ศึกษาและทําความเข้าใจกระบวนการประเมิน (2) เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินให้คะแนนอย่างเที่ยงตรงและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ได้ข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ที่สามารถขับเคลื่อนการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ 2.4 แนวทางที่ 4 การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ · ทุกหน่วยงานดําเนินการตามกระบวนการที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ดังนี้ (1) จัดทําแผนปฏิบัติราชการรายปี และแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (2) สิ้นปีงบประมาณให้จัดทํารายงานแสดงผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการประจําปีเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี · ทุกหน่วยงานของรัฐต้องนําเข้าและรายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการในระบบ eMENSCR ดังนี้ แผนปฏิบัติราชการ ระยะเวลานําเข้า ระยะเวลา รายงาน ผลสัมฤทธิ์ รายปี ภายในวันที่ 30 ตุลาคม ของปีที่ได้รับงบประมาณ 3 เดือน เมื่อสิ้นปี งบประมาณ ระยะ 5 ปี ภายใน วันที่ 30 ตุลาคม ของปีงบประมาณ ที่เริ่มดําเนินการ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา ของแผนระยะ 5 ปี กรณีหน่วยงานของรัฐที่ดําเนินงานตามปีปฏิทิน รายปี ภายในวันที่ 30 มกราคม ของปี ที่ได้รับงบประมาณ หรือเริ่มดําเนินการ ภายใน 3 เดือน เมื่อสิ้นปีปฏิทิน หรือเสร็จสิ้น การดําเนินการ ระยะ 5 ปี 2.5 การจัดสรรงบประมาณ มอบหมาย สงป. ดําเนินการ ดังนี้ · พิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดําเนินโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ ในลักษณะงบประมาณพิเศษ หรืองบประมาณแบบบูรณาการ · ใช้ห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย 140 เป้าหมายแผนแม่บทย่อยฯ (ฉบับแก้ไขปี 2566) เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อไป ซึ่งต้องครอบคลุมทุกปัจจัยและองค์ประกอบของห่วงโซ่คุณค่าของเป้าหมายแผนแม่บทย่อย 3. มติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เห็นชอบโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ และแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญฯ _______________________ 1เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ใด้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง จัดทําและปรับปรุงข้อมูล สถิติ สถานการณ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อสนับสนุนการจัดทํานโยบาย 2ลําดับการอนุมัติ (M7) ในระบบ eMENSCR โดยการนําข้อมูลเข้าสู่ระบบดังกล่าวล้วนต้องผ่านการอนุมัติข้อมูลตามลําดับขั้น (M7) เพื่อยืนยันความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล 3มีหน่วยงานที่ไม่ได้ดําเนินการประเมินให้คะแนนข้อเสนอโครงการสําคัญฯ ได้แก่ สํานักงบประมาณ (สงป.) ในฐานะหน่วยงานผู้มีสิทธิ์ประเมินให้คะแนนโครงการสําคัญฯ และสํานักงาน ก.พ. ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพ จ.3 4. เรื่อง (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบสาระสําคัญของ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) (แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13) และกรอบแนวคิดของการขับเคลื่อน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 2. มอบหมาย สศช. ประสานงานกับสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อกําหนดกลไกที่เหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสําหรับสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และมอบหมาย สงป. จัดทํายุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สามารถบรรลุผลตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยในส่วนการมอบหมาย สศช. นําความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ มาพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนําเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาความเหมาะสมตามลําดับต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สาระสําคัญของเรื่อง สศช. รายงานว่า ปัจจุบัน สศช. อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะมีกําหนดแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2564 จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 1. สาระสําคัญของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ประกอบด้วย 1.1 บทบาท ความสําคัญ และสถานะ โดยที่แผนพัฒนาฯ เป็นแผนระดับที่ 2 ซึ่งเป็นกลไกในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ ทําหน้าที่ระบุทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาที่ประเทศควรให้ความสําคัญในระยะ 5 ปี ดังนั้น จึงได้มีการปรับเปลี่ยนกรอบการจัดทํา (ร่าง) แผนพัฒนาฯ (ฉบับที่ 13) ให้ครอบคลุมเฉพาะประเด็นการพัฒนาประเทศที่มีความสําคัญสูง ทั้งนี้ ประเด็นการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติซึ่งไม่ได้ระบุไว้ใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ (ฉบับที่ 13) จะดําเนินการขับเคลื่อนผ่านแผนระดับ 2 ฉบับอื่นต่อไป 1.2 หลักการและแนวคิด 4 ประการ ได้แก่ (1) หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (2) แนวคิด “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) มุ่งเน้นการลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง และการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและยั่งยืน (3) เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ และ (4) โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular -Green Economy: BCG) นอกจากนี้ยังได้คํานึงถึงเงื่อนไขและข้อจํากัดที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของบริบทในระดับประเทศและระดับโลกในระยะยาวอันเป็นผลสืบเนื่องจากโควิด - 19 1.3 วัตถุประสงค์และเป้าหมาย เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย (ไทย) สู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายหลักที่ต้องการบรรลุผล 5 ประการ สรุปได้ ดังนี้ เป้าหมาย สาระสําคัญ (1) การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการที่สําคัญให้สามารถตอบโจทย์พัฒนาการของเทคโนโลยีและสังคมยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2) การพัฒนาคนสําหรับโลกยุคใหม่ พัฒนาคนไทยให้มีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่และเตรียมกําลังคนที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน (3) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ําเชิงรายได้ ความมั่นคง และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคม (4) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและการบริโภคให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับขีดความสามารถของระบบนิเวศและการแก้ไขปัญหามลพิษด้วยวิธีการที่ยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในระยะยาว (5) การเสริมสร้างความ สามารถของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลงภายใต้บริบทโลกใหม่ สร้างความพร้อมในการรับมือและแสวงหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลก พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างและระบบการบริหารงานของภาครัฐ ให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี 1.4 หมุดหมายการพัฒนา ได้กําหนด 13 หมุดหมายการพัฒนาเพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 มิติ ดังนี้ มิติ หมุดหมายการพัฒนา (1) ภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย 6 หมุดหมาย 1. ไทยเป็นประเทศชั้นนําด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2. ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน 3. ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4. ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 5. ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ ที่สําคัญของภูมิภาค 6. ไทยเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของอาเซียน (2) โอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม 3 หมุดหมาย 7. ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8. ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน 9. ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม (3) ความยั่งยืนของทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2 หมุดหมาย 10. ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ํา 11. ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ 2 หมุดหมาย 12. ไทยมีกําลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต 13. ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน 2. กรอบแนวคิดของการขับเคลื่อน ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ใช้หลักการของวงจรบริหารงานคุณภาพ (Plan-Do-Check-Act: PDCA) ซึ่งให้ความสําคัญกับการสร้างกระบวนการทํางานที่เป็นระบบและมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีสาระสําคัญ สรุปได้ ดังนี้ 2.1 การขับเคลื่อน (Do) ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) การขับเคลื่อนแบบบนลงล่าง (Top down) โดยการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่มีองค์ประกอบครอบคลุมภาคีการพัฒนาทั้งภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการและสร้างความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ในการผลักดันให้การดําเนินงานสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่กําหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 และ (2) การขับเคลื่อนแบบล่างขึ้นบน (Bottom up) ผ่านการจัดทําแผนพัฒนาภาค และจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่มีการถ่ายระดับเป้าหมายการพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพ ความต้องการและทรัพยากรของพื้นที่ รวมถึงเป็นไปตามนโยบาย หลักเกณฑ์ และแนวทาง ตามที่คณะกรรมการบูรณาการนโยบายภาคและคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการกําหนด 2.2 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Check) ใช้กลไกการทํางานที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวข้องกับการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เช่น ผู้ตรวจราชการ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ สศช. และ สงป. 2.3 การปรับปรุงการดําเนินงานตามผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Act) หน่วยงานและกลไกที่เกี่ยวข้องนําผลการติดตามฯ ไปวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อกําหนดมาตรการปรับปรุงแก้ไขการดําเนินงานให้มุ่งสู่เป้าหมายตามระยะเวลาที่กําหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. เรื่อง การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอ และให้ สศช. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรายงานว่า 1. เพื่อให้การดําเนินการของหน่วยงานของรัฐสามารถบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนอื่น ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงจําเป็นต้องมีกลไกการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ตามหลักวงจรนโยบาย (Policy Cycle)1 เพื่อนําไปสู่การวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap analysis)2 เชิงนโยบายและช่องว่างการพัฒนาต่อการบรรลุเป้าหมาย การจัดทําข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและปรับปรุงกระบวนการดําเนินงานบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไปโดยหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ดําเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ การดําเนินการ กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง กํากับให้การดําเนินงานส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (แผนแม่บทฯ) และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติ การจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 - จัดทําแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เป็นแผนระยะ 5 ปี ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง - จัดทําแผนปฏิบัติราชการประจําปี (ทุกปีงบประมาณ) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 - จัดทํารายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการประจําปีเมื่อสิ้นปีงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรี - รายงานผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR3) ระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562 อย่างไรก็ตาม การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบันยังขาดการบูรณาการ และไม่ได้ดําเนินการบนฐานข้อมูลเดียวกันอย่างเป็นระบบจึงยังไม่สามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานของหน่วยงานรัฐให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายและผลลัพธ์ตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ รวมทั้งแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นรูปธรรม 2. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2564 มีมติเห็นชอบแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดหลักการบริหารงานคุณภาพ (PLAN DO CHECK ACT : PDCA) ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสําคัญกับขั้นตอนการตรวจสอบ (CHECK) และการปรับปรุงการดําเนินการ (ACT) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ ช่วยควบคุมและพัฒนากระบวนการทํางานอย่างมีการวางแผน ป้องกันการเกิดปัญหา เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นระยะเพื่อนําไปสู่การแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเกิดข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการปรับปรุงกระบวนการ ดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ ดังนี้ 2.1 การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Check) อย่างบูรณาการเพื่อติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการทํางานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับที่ 2 โดยใช้ระบบ eMENSCR เป็นเครื่องมือกลางในการดําเนินการซึ่งแนวทางการดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง [หน่วยงานของรัฐ ผู้ตรวจราชการระดับต่าง ๆ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) ระดับต่าง ๆ คณะกรรมการระดับชาติ สํานักงบประมาณ (สงป.) และ สศช.] สรุปได้ ดังนี้ 1) การดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การดําเนินการ การจัดทําแผน การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (การติดตามฯ) โดยใช้ข้อมูล จากระบบ eMENSCR การจัดทําและรายงานผลสัมฤทธิ์ในระบบ eMENSCR (รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ) 1) หน่วยงานของรัฐ จัดทําแผนระดับที่ 3 โดยจัดทําแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี และรายปี · นําเข้าข้อมูลในระบบต่าง ๆ ดังนี้ ข้อมูล ระบบ โครงการ/การดําเนินงาน นําเข้าข้อมูล ในระบบ eMENSCR แผนระดับที่ 3 แผนหรือโครงการ/งานวิจัย ฐานข้อมูล เปิดภาครัฐ (Open - D) · เร่งรัดกระบวนการดําเนินโครงการ/กิจกรรมและผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินงาน รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ · โครงการ/การดําเนินงาน (ภายใน 30 วันหลังสิ้นสุดไตรมาส) · แผนปฏิบัติราชการ - แผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี : เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผน - แผนปฏิบัติราชการรายปี : ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป · แผนหรือโครงการ/งานวิจัย (หลังสิ้นสุดปีงบประมาณ) 2) ผู้ตรวจราชการระดับต่าง ๆ - สํานักนายกรัฐมนตรี (นร.) - กระทรวง - กรม นร.:จัดทําแผนการตรวจราชการประจําปี โดยใช้ข้อมูลจากระบบ eMENSCR และรายงานการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ กระทรวง : ติดตามฯ โครงการ/การดําเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนี้ - เป้าหมายของแผนปฏิบัติราชการ และแผนการตรวจราชการกระทรวง (ในฐานะหน่วยงานของรัฐ) - เป้าหมายแผนแม่บทฯ (ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ) กรม : การติดตามฯ ตามแผนปฏิบัติราชการกรม รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป 3) ค.ต.ป. ระดับต่าง ๆ - ค.ต.ป. - คณะอนุกรรมการฯ กลุ่มกระทรวง (อ.ค.ต.ป.) - ค.ต.ป. กระทรวง ค.ต.ป. : จัดทําแผนการตรวจสอบและประเมินผลประจําปี4 ติดตามฯ การดําเนินงานให้เป็นไปตามแผน ดังนี้ - แผนการตรวจสอบ และประเมินผลประจําปี (อ.ค.ต.ป. และ ค.ต.ป. กระทรวง) - แผนปฏิบัติราชการ (ค.ต.ป. กระทรวง) โดยมอบหมายให้สํานักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ค.ต.ป. ประสานงานกับ ค.ต.ป. ระดับต่าง ๆ ตามแนวทางการดําเนินการดังกล่าว รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณถัดไป 4) คณะกรรมการระดับชาติ จัดทําแผนปฏิบัติการด้าน ... ตามที่กฎหมายกําหนด5 ติดตามฯ การดําเนินงานของหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการด้าน... ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการระดับชาติตามที่กฎหมายกําหนด ฝ่ายเลขานุการรายงานผลสัมฤทธิ์ฯ การดําเนินงานของแผนปฏิบัติการด้าน... เป็นรายปีให้สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทฯ 5) สงป. - ติดตามฯ การใช้จ่ายงบประมาณประจําปีของหน่วยงานรัฐ โดยใช้ข้อมูลความก้าวหน้าผลการดําเนินงานของหน่วยงานแต่ละไตรมาสจากระบบ eMENSCR รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ รายไตรมาส 6) สศช. - ติดตามฯ การดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและพัฒนาระบบ eMENSCR ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) รองรับการรายงานผลสัมฤทธิ์ รายงานผลสัมฤทธิ์ฯ ประจําปี 2) กลไกตาม 1) ทําหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (CHECK) เพื่อให้การดําเนินการในแต่ละระดับบรรลุตามเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทฯ และแผนอื่น ๆ ดังนี้ การขับเคลื่อนประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ ยุทธศาสตร์ชาติ · สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ : รายงานสรุปผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและประเมินสถานการณ์การบรรลุเป้าหมาย กลไกการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล + รายงานผลสัมฤทธิ์ผ่านระบบ แผนแม่บทภายใต้ ยุทธศาสตร์ชาติ · ผู้ตรวจราชการ นร. · สศช. : รายงานสรุปผลฯ · ค.ต.ป./อ.ค.ต.ป. และประเมินสถานการณ์ · สงป. การบรรลุเป้าหมาย แผนระดับที่ 3 · คณะกรรมการระดับชาติ (แผนปฏิบัติการด้าน...) · ผู้ตรวจราชการ นร. · อ.ค.ต.ป. กลุ่มกระทรวงคณะต่าง ๆ โครงการ/พื้นที่ · ผู้ตรวจราชการกระทรวง/กรม · ค.ต.ป. ประจํากระทรวง · หน่วยงานของรัฐ 2.2 การปรับปรุงการดําเนินการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล (Act) โดยวิเคราะห์และประมวลผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของกลไกระดับต่าง ๆ เพื่อนําไปทบทวน ปรับปรุงแก้ไข แนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล รวมถึงพัฒนาและยกระดับกระบวนการการดําเนินโครงการ/การดําเนินงาน ซึ่งมีแนวทางการดําเนินการของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสรุปได้ ดังนี้ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แนวทางการดําเนินการ 1. หน่วยงานของรัฐ นํารายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานมาวิเคราะห์ช่องว่าง ของการพัฒนาต่อการบรรลุเป้าหมายระดับต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการการดําเนินโครงการ/ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทฯ และแผนอื่น ๆ 2. สศช. วิเคราะห์ช่องว่างและประเมินสถานการณ์ของการดําเนินงานต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติในภาพรวม เพื่อเป็นข้อมูลและกรอบในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของกลไกต่าง ๆ 3. สงป. นํารายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานมาเป็นข้อมูลสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความจําเป็นเร่งด่วนของการพัฒนาต่าง ๆ 4. กลไกการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติราชการทุกระดับ วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์การดําเนินการตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติจากระบบ eMENSCR และรายงานสรุปผล เพื่อทบทวน ปรับปรุงกระบวนการดําเนินการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล ________________________ 1ประกอบด้วย 1) การก่อตัวนโยบาย (Policy Formation) 2) การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation) 3) การตัดสินนโยบาย (Policy Decision) 4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) และ 5) การประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) 2Gap analysis คือ การประเมินสถานการณ์ของหน่วยงาน ณ ปัจจุบันกับเป้าหมายของแผนที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานจะต้องวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) : องค์ประกอบ/ปัจจัย/กิจกรรม/กระบวนการ ที่มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกระบวนการดําเนินงาน (ต้นทาง) ไปจนกระทั่งสิ้นสุดกระบวนการการดําเนินงาน (ปลายทาง) ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท ฯ และแผนอื่น ๆ ได้ตามที่กําหนด ตลอดจนวิเคราะห์ปัจจัยสําคัญ (Key Factors) ในบริบทของการขับเคลื่อนเป้าหมายของแผนที่เกี่ยวข้อง 3Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform (eMENSCR) 4ใช้ข้อมูลช่องว่างการพัฒนาของห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand : FVCT) ของ 140 เป้าหมายแผนแม่บทฯ ย่อย (Y1) สถานการณ์การบรรลุเป้าหมาย รายงานประจําปีการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และข้อมูลจากระบบ eMENSCR 5แผนระดับที่ 3 ที่เป็นแผนปฏิบัติการด้าน... จําแนกออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ (1) แผนที่ไม่ได้จัดทําขึ้นตามมติคณะกรรมการระดับชาติที่มีกฎหมายรองรับ หรือไม่มีกฎหมายกําหนดให้จัดทําแผน : การจัดทําแผนจะต้องมีเท่าที่จําเป็นเท่านั้น (2) แผนที่จัดทําขึ้นตามที่กฎหมายกําหนด แต่ไม่ได้มีมติคณะกรรมการระดับชาติรองรับ : หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องมีการทบทวนกฎหมายที่กําหนดให้จัดทําแผน และมีการดําเนินงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเป็นแผนปฏิบัติการเดียวอย่างบูรณาการ โดยการจัดทําแผนปฏิบัติการด้าน... ทั้งนี้ ต้องดําเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 อย่างเคร่งครัด 6. เรื่อง การติดตามการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการโดยใช้กลไกประชารัฐ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ใช้ระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) เป็นระบบหลักในการรายงานและติดตามผลการดําเนินการของส่วนราชการตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล รวมถึงการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของส่วนราชการ โดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ต่อไป 2. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 (เรื่อง กลไกประชารัฐ) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 ที่มอบหมายให้ส่วนราชการรายงานความก้าวหน้าการใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ทุกเดือน โดยให้ทุกส่วนราชการส่งรายงานให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อนําเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป 3. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 (เรื่อง การทบทวนภารกิจรายงานผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เฉพาะในส่วนของข้อ 1 ที่มอบหมายให้สํานักงาน ก.พ.ร. รวบรวมและสรุปประมวลผลการรายงานความก้าวหน้าในเรื่องกลไกประชารัฐและการดําเนินงานไทยนิยม ยั่งยืน ต่อนายกรัฐมนตรี และให้สํานักงาน ก.พ.ร. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง สํานักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า 1. สํานักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทําระบบการรายงานออนไลน์เพื่อให้ส่วนราชการใช้รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับการใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล รวมถึงการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน โดยจัดทําสรุปและประมวลผลจากรายงานความก้าวหน้าของส่วนราชการในเรื่องดังกล่าว กราบเรียนนายกรัฐมนตรีตามห้วงระยะเวลาที่กําหนด ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ ระบบการรายงานดังกล่าว ส่วนราชการสามารถรายงานผลในภาพรวมระดับกระทรวง ประกอบด้วย ข้อมูลรายละเอียดโครงการ/กิจกรรม งบประมาณ และสรุปผลการดําเนินงานที่สําคัญ (รอบ 2 เดือน) ใน 12 ประเด็นตามกลไกการขับเคลื่อนประชารัฐ ได้แก่ 1) การยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ 2) การดึงดูดการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 3) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และธุรกิจใหม่ (Start-up) 4) การยกระดับคุณภาพวิชาชีพ 5) เศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ 6) การส่งเสริมการท่องเที่ยวและกลุ่ม MICE 7) การส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนต่างประเทศ 8) การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมที่เป็น New S Curve 9) การแก้ไขกฎหมายและกลไกภาครัฐ 10) การพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ 11) การศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาความรู้ และ 12) การสร้างรายได้และกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศและกรอบหลักในการดําเนินการเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยสู่ความยั่งยืนตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน 2. เจตนารมณ์ของการให้ส่วนราชการรายงานความก้าวหน้าการดําเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐและโครงการไทยนิยม ยั่งยืน คือการสร้างความตระหนักให้ส่วนราชการใช้กลไกประชารัฐเป็นกลไกกลางในการสร้างการมีส่วนร่วม เชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มการจ้างงานสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ํา และเพิ่มขีดความสามารถของภาคประชาชนและประชาสังคม และชุมชนอยู่ดี มีสุข ซึ่งต่อมายุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้นําหลักการของกลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน มาเป็นกรอบในการกําหนดแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในรูปแบบ “ประชารัฐ” (เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ข้อ 4.4.3 เพิ่มพื้นที่เมืองและเศรษฐกิจ โดยกําหนดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนการยกระดับจังหวัดสําคัญเป็นเมืองเศรษฐกิจประจําภาคและยุทธศาสตร์ชาติด้านปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ) นอกจากนี้ แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ได้มีการนําหลักการของ “กลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน” มาขับเคลื่อนการดําเนินงานด้วย (เช่น แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง กิจกรรมปฏิรูปที่ 2 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะทุกระดับและแผนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน กิจกรรมปฏิรูปที่ 4 สร้างความเข้มแข็งในการบริหารราชการในระดับพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน) 3. จากความเชื่อมโยงดังกล่าวข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นว่า ในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศได้ดําเนินการบนพื้นฐานของการใช้กลไกประชารัฐและการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน ประกอบกับส่วนราชการได้ตระหนักในการนํากลไกประชารัฐมาใช้ในการปฏิบัติภารกิจมากขึ้น รวมถึงใช้เป็นกลไกหลักสําคัญที่ทําให้การแก้ไขสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิภาพ และเป็นกลไกที่มีการนํามาใช้อยู่เสมอจนเป็นแนวปฏิบัติปกติที่ส่วนราชการใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิบัติเพื่อให้การดําเนินนโยบายต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกได้บรรลุผล นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีการประเมินผลการดําเนินการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (19 มีนาคม 2562) รับทราบ ซึ่ง มท. จะนําผลการประเมินดังกล่าวมาเป็นแนวทางขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืนต่อไปจึงถือได้ว่าโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ประสบผลสําเร็จและบรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว 4. ปัจจุบันได้มีระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)* ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการรายงานและติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาล โดยส่วนราชการได้รายงานผลการดําเนินงานผ่านระบบดังกล่าวเป็นรายไตรมาสได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีข้อมูลการดําเนินงานตามแผน/โครงการและสามารถแสดงความเชื่อมโยงและการบูรณาการการทํางานระหว่างหน่วยงานเจ้าภาพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน (หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ประชาสังคม และภาคประชาชน)ที่ครอบคลุมถึงความก้าวหน้าในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี และการดําเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรลดภาระในการรายงานผลการดําเนินงานของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการสามารถขับเคลื่อนปฏิบัติงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพื่อบูรณาการช่องทางในการรายงานผลของส่วนราชการในช่องทางเดียว โดยให้ใช้ระบบ eMENSCR เป็นระบบหลัก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป หมายเหตุ : * สํานักงาน ก.พ.ร. ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่า สศช. มีระบบ eMENSCR สําหรับการรายงานและติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งนโยบายรัฐบาล รวมทั้งได้มีการประมวลผลการดําเนินการที่มีความครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอยู่แล้ว 7. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างรายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารับไปพิจารณาร่างรายงานฯ อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) 2. ให้ สลค. จัดพิมพ์รายงานฯ 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แปลบทสรุปสําหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ (ทั้งนี้ กตน. ได้แจ้งผู้แทน กต. ใน กตน. ทราบด้วยแล้ว) 4. ให้สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสําหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สาระสําคัญของเรื่อง 1. นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 18/2564 ลงวันที่ 25 มกราคม 2564 แต่งตั้ง กตน. [รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นประธานกรรมการ] มีหน้าที่รวบรวมและจัดทํารายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลเป็นประจําทุกปี เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่และสร้างการรับรู้ของประชาชน และ กตน. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทํารายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลประจําปี เพื่อพิจารณา รวบรวม กลั่นกรอง ตรวจสอบ และเรียบเรียง ปรับปรุง รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาลประจําปี 2. คณะอนุกรรมการจัดทํารายงานฯ ได้ร่วมกับส่วนราชการจัดทําร่างต้นฉบับรายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) มีสาระสําคัญ ประกอบด้วย 2.1 บทสรุปสําหรับผู้บริหาร เช่น สภาพปัญหาก่อนเข้าบริหารประเทศ สถานการณ์หลังการเข้าบริหารประเทศ แนวนโยบายของรัฐบาล ผลการดําเนินงานที่สําคัญของรัฐบาลในช่วงปีที่ 2 ได้แก่ การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การบริหารจัดการการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว การให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 2.2 ผลการดําเนินการตามยุทธศาตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ 2.2.1 ผลการพัฒนาตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ด้านความมั่นคง พบว่า ในปี 2563 ความมั่นคงในทุกมิติและทุกระดับของไทยมีคะแนน 2.245 อยู่ในอันดับที่ 114 (จากทั้งหมด 163 ประเทศ) ดีขึ้นจากอันดับ 116 ในปี 2562 และถูกจัดให้เป็นกลุ่มประเทศที่มีสันติภาพปานกลาง [พิจารณาจากรายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index: GPI)] และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมในภาพรวมปัญหาความเหลื่อมล้ําในหลายมิติมีทางที่ดีขึ้น ทั้งการเข้าถึงการศึกษาและการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ 2.2.2 ผลการประเมินการดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น ด้านกฎหมาย มีเรื่องและประเด็นปฏิรูปที่บรรลุเป้าหมาย ได้แก่ มีกลไกในการออกกฎหมายที่ดีและเท่าที่จําเป็น รวมทั้งมีกลไกในการทบทวนกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพัฒนากระบวนการจัดทําและตรวจพิจารณาร่างกฎหมายให้รวดเร็ว รอบคอบ และสอดคล้องกับเงื่อนเวลาในการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ 2.3 ผลการดําเนินงานตามนโยบายหลัก 12 ด้าน เช่น 2.3.1 การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก โดยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศทั่วโลก การดําเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และการสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลในการส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 2.3.2 การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยดําเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน และการดําเนินโครงการ/มาตรการเพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 2.3.3 การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค โดยดําเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญ (EEC Project List) เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก 2.4 ผลการดําเนินงานตามนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง เช่น 2.4.1 การแก้ไขปัญหาในการดํารงชีวิตของประชาชน โดยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การปราบปรามการฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนและการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย 2.4.2 การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม โดยการจัดพื้นที่การเกษตรให้สอดคล้องกับระบบบริหารจัดการน้ําและคุณภาพดินตาม Agri-Map การสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่เกษตรกร และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืชโดยใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 2.4.3 การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน โดยยกระดับระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ในการให้บริการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาต และเอกสารแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลบริการภาครัฐและทําธุรกรรมผ่าน bizportal.go.th แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว 2.5 ภาคผนวก เช่น สรุปผลการดําเนินงานบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการช่วยเหลือเยียวยา และรายงานผลการดําเนินการเกี่ยวกับกฎหมาย 8. เรื่อง รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) รายงาน Thailand National Report SDG 6.4 1 และแนวทางการบริหารจัดการน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและลดการขาดแคลนน้ําโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ2 (Food and Agriculture Organization of The United Nations: FAO) ได้ประสาน สทนช. ร่วมตรวจสอบข้อมูลติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการขับเคลื่อนและให้มีการทบทวนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายย่อย SDG 6.4 และจัดส่งให้ FAO ปรับฐานข้อมูลการพัฒนาด้านน้ําของประเทศและเผยแพร่ผลงานใน AQUASTAT-FAO’s Global Information System on Water and Agriculture ต่อไป โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. สทนช. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านนโยบายในการประสานงานการบริหารจัดการน้ํากับองค์กรระหว่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ํา ได้ประเมินและจัดทําข้อมูลเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 6.4 รอบ 5 ปี (พ.ศ. 2558 – 2562) ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1.1 การประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.1 ประสิทธิภาพการใช้น้ํา (Water-use Efficiency: WUE) โดยประเมินจากปริมาณการใช้น้ําในแต่ละภาคส่วน (ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ) กับมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ของแต่ละภาคส่วน จากการประเมินพบว่า ภาคอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพการใช้น้ํามากที่สุด รองลงมาคือ ภาคบริการ และภาคเกษตรมีประสิทธิภาพการใช้น้ําน้อยที่สุด และประสิทธิภาพการใช้น้ําโดยรวมตั้งแต่ปี 2558 – 2562 มีแนวโน้มลดลง 1.2 การประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.2 ระดับความตึงเครียดด้านน้ํา (Level of Water Stress) โดยประเมินจากสัดส่วนปริมาณน้ําจืดที่ถูกนําไปใช้ต่อปริมาณน้ําจืดในสาขาหลักต่าง ๆ รวมทั้งน้ําจืดที่นํากลับมาใช้ใหม่ หักด้วยความต้องการปริมาณการไหลเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยผลการประเมินระดับความตึงเครียดด้านน้ําของประเทศไทยปี 2558 – 2562 มีค่าอยู่ระหว่าง ร้อยละ 9.68 – 12.77 โดยมีค่าต่ํากว่าฐานข้อมูลที่ประเมินไว้ และต่ํากว่าค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ร้อยละ 17 2. จากผลการประเมินตัวชี้วัด SDG 6.4.1 และ SDG 6.4.2 ข้างต้น สทนช. ได้กําหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ําที่สําคัญ ได้แก่ (1) การใช้น้ําอย่างประหยัดและคุ้มค่า (2) การเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) และลดปริมาณการใช้น้ําภาคเกษตร และ (3) การลดความต้องการใช้น้ําและเพิ่มสัดส่วนการนําน้ํากลับมาใช้ใหม่ โดยมีข้อเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ การดําเนินการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1. กําหนดเกณฑ์การจัดสรรน้ําเพื่อลดระดับความตึงเครียดด้านน้ําและจัดทําฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัวชี้วัด สทนช. 2. ศึกษาวิเคราะห์การส่งน้ําของโครงการชลประทาน และประเมินประสิทธิภาพการใช้น้ําโครงการชลประทานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ํา กรมชลประทาน 3. ปรับปรุงข้อมูลการใช้น้ําที่เหมาะสมตามประเภทโรงงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมการใช้น้ําซ้ํา การนําน้ํากลับมาใช้ใหม่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม 4. ติดตามและประเมินน้ําสูญเสียในระบบส่งน้ําและประเมินอัตราการใช้น้ําประเภทต่าง ๆ การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค 5. ศึกษาวิเคราะห์ปริมาณการใช้น้ําใต้ดินเพื่อการเกษตรอุตสาหกรรม อุปโภคบริโภค และพาณิชยกรรม และศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพการเติมน้ําใต้ดินตามธรรมชาติและการสูบน้ําใต้ดินขึ้นมาใช้ กรมทรัพยากรน้ําบาดาล 3. เนื่องจากในการจัดส่งข้อมูลรายงาน Thailand National Report SDG 6.4 จะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองในระดับประเทศก่อน สทนช. จึงได้นําร่างรายงานฯ เสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ 3.1 เห็นชอบรายงาน Thailand National Report SDG 6.4 เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ และให้ สทนช. นําเรียนประธานกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติลงนามในหนังสือนําส่ง FAO ต่อไป 3.2 เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและลดการขาดแคลนน้ํา ตามข้อ 2 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนปฏิบัติการเสนอคณะกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป _________________ หมายเหตุ : 1SDG 6.4 เป็นเป้าหมายย่อยภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 6 “จัดให้มีน้ําสําหรับการอุปโภคบริโภค การจัดการน้ําที่ยั่งยืน และสุขาภิบาลสําหรับทุกคน” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําในทุกภาคส่วนและสร้างหลักประกันว่าจะมีการใช้น้ําและการจัดหาน้ําที่ยั่งยืน รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําและลดจํานวนประชาชนที่ประสบความทุกข์จากการขาดแคลนน้ําภายในปี 2573 2องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เป็นองค์การชํานัญพิเศษที่ใหญ่ที่สุดองค์กรหนึ่งของสหประชาชาติ ซึ่งมีบทบาทในด้านอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมง โดยประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกลําดับที่ 49 ของ FAO เมื่อเดือนสิงหาคม 2490 ปัจจุบันมีสมาชิก 194 ประเทศทั่วโลก 9. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2564 สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้ 1. ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สรุปผลการดําเนินการที่สําคัญได้ ดังนี้ 1.1 โครงการสําคัญ ประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 - 2570) คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีมติเห็นชอบโครงการสําคัญฯ จํานวน 406 โครงการ และเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการสําคัญ เช่น การจัดทําแผนปฏิบัติราชการและการนําเข้า และรายงานผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งสํานักงบประมาณ (สงป.) จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดําเนินโครงการในลักษณะงบประมาณพิเศษหรืองบประมาณแบบบูรณาการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ สศช. อยู่ระหว่างนําผลการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 1.2 ความก้าวหน้าการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (คจพ.) มีมติเห็นชอบ ดังนี้ (1) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจํานวน 2 คณะ ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ 2) คณะอนุกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ (2) แนวทางการขับเคลื่อนการปฏิบัติการขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับพื้นที่ 1.3 การจัดทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) (แผนพัฒนา ฉบับที่ 13) สศช. ได้จัดประชุมประจําปี 2564 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสําคัญของร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 รวมถึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐและภาคีการพัฒนาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2565 เพื่อร่วมกันกําหนดเป้าหมายที่จะเดินต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ สศช. จะนําความเห็นที่ได้ไปปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครอบคลุม ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจะมีการรับฟังและระดมความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 อีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2564 - มกราคม 2565 2. ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ 2.1 สศช. ได้รายงานความคืบหน้าในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการดําเนินการจัดทําตามยุทธศาสตร์ชาติต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 โดยสมาชิกวุฒิสภามีความเห็นและประเด็นอภิปรายที่สําคัญ เช่น (1) ควรปรับปรุงค่าเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน (2) ควรปรับปรุงโครงการ/การดําเนินงานในแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสําคัญ (Big Rock) ให้สามารถนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรม และ (3) ควรมีการประสานและบูรณาการการดําเนินงานร่วมกันระหว่าง สงป. สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สํานักงาน ป.ย.ป.) หน่วยงานของรัฐ และคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่ง สศช. จะนําความเห็นและประเด็นอภิปรายประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 2.2 สศช. ได้รายงานความคืบหน้าการดําเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 11 (เดือนมกราคม - มีนาคม 2564) ต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 โดยสมาชิกวุฒิสภามีความเห็นและประเด็นอภิปรายที่สําคัญ เช่น (1) การดําเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน มีความล่าช้าและยังไม่เห็นผลของความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศ (2) ควรมุ่งเน้นให้ความสําคัญในกิจกรรม/โครงการที่ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง และ (3) ควรมีการจัดสรรงบประมาณให้แก่ประเด็นในการปฏิรูปที่มีความสําคัญเพื่อให้การดําเนินกิจกรรม/โครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและนําไปสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของแผนการปฏิรูปประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ สศช. จะเสนอรายงานความคืบหน้าฯ ครั้งที่ 12 (เดือนเมษายน - มิถุนายน 2564) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (5 ตุลาคม 2564) รับทราบแล้วต่อรัฐสภาตามขั้นตอนต่อไป ส่วนการจัดทํารายงานความคืบหน้าฯ ครั้งที่ 13 (เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2564) สศช. จะเน้นการรายงานความคืบหน้าของ Big Rock ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการดําเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว 3. ผลการดําเนินการอื่น ๆ 3.1 การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีมติเห็นชอบ แนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ มุ่งเน้นใน 2 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การตรวจสอบ จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ สงป. และ สศช. ในฐานะสํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ และ (2) การปรับปรุงติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล วิเคราะห์และประมวลผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดําเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติของกลไกระดับต่าง ๆ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาและยกระดับกระบวนการการดําเนินโครงการ/การดําเนินงานให้สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม 3.2 การสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ สศช. ได้จัดทําสื่อข้อมูลเชิงภาพเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาฯ เพื่อเผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้ทุกหน่วยงานได้มีความเข้าใจและสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป 4. ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ ข้อมูลจากผลการประเมินในรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชียพบว่า ประเทศไทย (ไทย) มีดัชนีการรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ําอยู่ที่ระดับ 2 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งต่ํากว่าค่าเป้าหมายแผนแม่บทย่อยในปี 2565 ที่กําหนดเป็นระดับ 3 โดยการประเมินตัวชี้วัดพิจารณาจากความสามารถในการรับมือภัยพิบัติด้านน้ํา ดังนี้ (1) ด้านภัยแล้ง (2) ด้านน้ําท่วม และ (3) ด้านคลื่นพายุซัดฝั่ง โดยจากผลการประเมินพบว่าไทยมีความสามารถในการรับมือกับน้ําท่วมอยู่ในระดับต่ําที่สุด ดังนั้น จึงต้องให้ความสําคัญและเร่งยกระดับความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ รวมถึงระบบการเตือนภัย การเตรียมตัวรับมือภัยพิบัติ และการให้ความช่วยเหลือทั้งในระหว่างและหลังเกิดภัยพิบัติ เพื่อนําไปสู่เสถียรภาพและความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศต่อไป 10. เรื่อง รายงานผลการดําเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) เสนอสรุปรายงานผลการดําเนินงานของ กปช. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง กปช. รายงานว่า ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฉบับที่ 5 พ.ศ. 2563 – 2565 ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยผลการดําเนินงานของ กปช. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 1 สร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เรื่อง ข้อเสนอของประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1) พัฒนาทักษะอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน - ควรเพิ่มการส่งเสริมพัฒนาทักษะอาชีพอิสระและทักษะอาชีพในตลาดอุตสาหกรรม เช่น การพัฒนาทักษะสําหรับเกษตรอัจฉริยะ และทักษะสําหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรในการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ รวมทั้งควรเน้นสื่อสารเรื่องทักษะอาชีพที่มีความต้องการในตลาดวิถีใหม่มากยิ่งขึ้น - กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงแรงงาน (รง.) และกระทรวงศึกษาธิการ 2) สังคมปลอดภัยไร้ความรุนแรง - เร่งสร้างการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนรับรู้การมีอยู่/การช่วยเหลือของภาครัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ตช.) มท. กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และกระทรวงสาธารณสุข 3) มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน - ภาครัฐควรสื่อสารชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจมาตรการของรัฐโดยเพิ่มความถี่ในการชี้แจง กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ 4) รับมือภัยแล้ง และอุทกภัย - ควรเร่งเผยแพร่ผลงานการบริหารจัดการน้ําทั้งในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝนให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร และสนับสนุนการดําเนินงานของเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ํา เพื่อสื่อสารถึงมาตรการหรือวิธีแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในระยะยาวอย่างยั่งยืน มท. และ กษ. 5) บริหารจัดการฝุ่น PM2.5 - ภาครัฐควรให้ข้อมูลเรื่องการป้องกันตัวแก่ประชาชน และนําเสนอการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยเรื่องการบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 จะต้องถูกสื่อสารในปี 2565 ต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 6) สังคมสูงวัย - ควรประชาสัมพันธ์แนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดํารงชีวิตในสังคมได้ในระดับมาตรฐานอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ รง. 7) ยุติธรรมเท่าเทียม - ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจความหมายเกี่ยวกับเรื่องยุติธรรมสร้างสุข บทบาทหน้าที่ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เช่น การให้คําปรึกษา การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา และการจัดหาทนายความ ตช. มท. และ ยธ. 8) ส่งเสริมค่านิยมที่ดีของสังคมไทย - เน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีจิตสาธารณะ เคารพกฎกติกาของสังคม เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติในการดํารงชีวิตผ่านสื่อออนไลน์ให้ครบทุกช่องทาง กระทรวงวัฒนธรรม 2. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 2 สร้างความตระหนักรู้ ทัศนคติเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยและชาวต่างประเทศต่อการต่างประเทศ เรื่อง ผลการดําเนินงาน 1) ความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของไทย Medical Hub - ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการรักษาความปลอดภัยทางสาธารณสุขของไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มาตรฐานสถานที่กักตัวที่รัฐกําหนด และการประกันสุขภาพสําหรับชาวต่างด้าวและการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทต่าง ๆ ผ่านรูปแบบการประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์ 2) การท่องเที่ยววิถีใหม่ - เน้นการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความปลอดภัยการท่องเที่ยววิถีใหม่และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว รวมถึงข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว กิจกรรมวิถีชีวิต และเทศกาลงานประเพณีอย่างต่อเนื่อง ผ่านสื่อออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ 3) ศักยภาพด้านเศรษฐกิจของไทย - เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้จํานวนมาก ในรูปแบบของสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ 4) อัตลักษณ์ไทย - จัดกิจกรรมในรูปแบบนิทรรศการและการแสดง เช่น อาหาร ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ เพื่อเผยแพร่อัตลักษณ์ไทยและส่งเสริมภาพลักษณ์ไทย นําความเป็นไทยสู่สากล โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายทั้งระดับผู้แทนประเทศไทยไปจนถึงประชาชนทั่วไป 5) การบริหารจัดการควบคุมแรงงานต่างด้าว - เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการหรือนายจ้าง โดยผลิตสปอตประชาสัมพันธ์ “สายด่วน 1694” เป็นภาษาลาว ควบคู่ไปกับการจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว 6) ความสัมพันธ์ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสําคัญ - ประชาสัมพันธ์วาระครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศ รวมถึงความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการและสาธารณสุขแก่ประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบของข่าวผ่านสื่อออนไลน์ โดยมียอดเข้าถึง 37,731 คน 7) การให้บริการกงสุลและการคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ - ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนในการดูแลช่วยเหลือคนไทยกลับประเทศและชาวต่างชาติที่มีความจําเป็นต้องเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์เป็นหลัก 3. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 3 บริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร พัฒนาสื่อสร้างสรรค์สร้างการรู้เท่าทันและการมีส่วนรวม มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น (1) ดําเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (2) ดําเนินการต่อต้านการข่าวปลอม (Fake News) โดยใช้กลไกเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐ 20 กระทรวง (3) พัฒนาระบบโครงสร้างเครือข่ายด้านข้อมูลและช่องทางการเผยแพร่ และ (4) จัดทําคลังข้อมูลข่าวสารอัจฉริยะ 4. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ 4 ยกระดับบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศในยุคดิจิทัล โดยจัดทํากรอบ “มาตรฐานหลักสูตรนักบริหารงานประชาสัมพันธ์ระดับสูง” และจัดทํากรอบหลักสูตรชุดวิชาเพื่อพัฒนาทักษะเดิม และเพิ่มทักษะใหม่ด้านการสื่อสารในยุคดิจิทัลของบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่น/จังหวัด โดยหลักสูตรที่ได้รับความสนใจมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) การจัดการกับข่าวปลอม (Fake News) (2) ผลิตและเผยแพร่สื่อดิจิทัล และ (3) การนําเสนอด้วยการเล่าเรื่องซึ่งมีหน่วยงานบรรจุหลักสูตรแล้ว 32 หน่วยงาน และฝึกอบรมแล้ว 17 หน่วยงาน รวมผู้เข้ารับการอบรม 15,362 คน 5. ผลการดําเนินงานตามแนวทางการพัฒนาทั้ง 4 แนวทาง ภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในระดับจังหวัด มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ เช่น (1) สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ โดยสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ต่อเรื่องสื่อสารที่สําคัญ 8 เรื่อง (2) สร้างความตระหนักรู้ ทัศนคติเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยและชาวต่างประเทศต่อการต่างประเทศ 7 เรื่อง (3) บริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร พัฒนาสื่อสร้างสรรค์ สร้างการรู้เท่าทันและการมีส่วนร่วม โดยส่งเสริมสร้างการรับรู้และเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อ และ (4) ยกระดับบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ โดยนําหลักสูตรของสถาบันการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ ไปอบรมให้กับบุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวม 20 กระทรวง 11. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2564 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (กตน.) เสนอ สรุปผลการประชุม กตน. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) และให้ส่วนราชการรับประเด็นและมติของที่ประชุม กตน. ไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ในการประชุม กตน. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยมีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ มีผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้ ประเด็น ความเห็น/ข้อสังเกต/มติที่ประชุม กตน. 1. การบริหารจัดการขยะติดเชื้อ (ต้นทาง-กลางทาง-ปลายทาง) 1.1 การดําเนินงานตามมาตรการต้นทาง ได้แก่ 1) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนทราบวิธีการทิ้งและแยกขยะติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)* และ 2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จัดทําคําแนะนําเกี่ยวกับการจัดการหน้ากากอนามัยใช้แล้ว รณรงค์ประชาสัมพันธ์และสนับสนุน “ถุงขยะสีแดง” 1.2 การดําเนินงานตามมาตรการกลางทาง ได้แก่ 1) มท. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดให้มีถังขยะสีแดงไว้ในที่สาธารณะหรือสถานที่รวบรวมขยะมูลฝอยติดเชื้อของชุมชนและจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้กับผู้ปฏิบัติงานและฉีดล้างรถบรรทุกเก็บขนขยะมูลฝอยเป็นประจําทุกวัน และ 2) กทม. จัดระบบการจัดเก็บมูลฝอยติดเชื้อฯ ใน 2 ระดับ ได้แก่ รวบรวมไปไว้ที่จุดพักรวมขยะติดเชื้อของสํานักงานเขต เพื่อรอการเก็บขนของบริษัทเอกชนและว่าจ้างบริษัทเอกชนรวบรวมขยะมูลฝอยติดเชื้อฯ กําจัดด้วยวิธีเผาในเตาเผา และ 3) ทส. ให้คําแนะนํา อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเก็บรวบรวมและขนส่งมูลฝอยติดเชื้อตามหลักวิชาการ 1.3 การดําเนินงานตามมาตรการปลายทาง เช่น มท. กําจัดมูลฝอยติดเชื้อชุมชนเป็นไปตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกําจัดมูลฝอยติดเชื้อ พ.ศ. 2545 และ 2) กทม. ว่าจ้างบริษัทกรุงเทพธนาคม จํากัด นําขยะมูลฝอยติดเชื้อที่เก็บขนได้ไปกําจัดด้วยวิธีการเผาที่โรงงานเตาเผาขยะมูลฝอยติดเชื้อในพื้นที่ศูนย์กําจัดมูลฝอยติดเชื้ออ่อนนุชและหนองแขม และ 3) ทส. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามตรวจสอบการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อล้นระบบ 1.4 การดําเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ดําเนินการใช้อํานาจตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขสนับสนุน อปท. ในการควบคุม กํากับ การจัดการขยะติดเชื้อในทุกแหล่งกําเนิด และใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการขยะติดเชื้อ รวมทั้งบูรณาการภาคีเครือข่ายทุกระดับในการจัดการขยะติดเชื้อ 1.5 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข เช่น 1) มท. เสนอว่า ให้ สธ. ผ่อนปรนการดําเนินการตามกฎกระทรวงฯ และระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการขนและกําจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 2) ทส. เสนอว่า ควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชน โรงพยาบาลสนาม การกักตัวที่บ้าน และการแยกกักในชุมชน ให้มีการคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อที่ต้นทาง พร้อมทั้งจัดระบบการคัดแยก และ 3) กทม. เสนอว่า ควรสื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ทราบวิธีการทิ้งและแยกมูลฝอยติดเชื้อโรคโควิด-19 อย่างถูกวิธี ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. : ให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นิยามและคําจํากัดความของขยะติดเชื้อโรค โควิด-19 และระยะเวลาการคงอยู่ของเชื้อที่ติดตามวัสดุต่าง ๆ หากมีการวิจัย ที่เกี่ยวข้องจะเกิดความเข้าใจและคลายความกังวลของการจัดเก็บและการทําลายขยะติดเชื้อได้ ในการนี้ สธ. ขอรับที่จะนําไปประชุมหารือกับฝ่ายวิชาการต่อไป มติที่ประชุม : รับทราบและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขของ มท. ทส. และ กทม. ไปพิจารณาบริหารจัดการขยะติดเชื้อตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง 2. การขับเคลื่อนการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 2.1 ผลการดําเนินงานและแผนงานของหน่วยงาน เช่น 1) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กําหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา พัฒนาคุณภาพการศึกษาและแบบทดสอบระดับชาติ และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ 2) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศึกษากฎระเบียบที่เป็นข้อจํากัดต่อการจัดการศึกษารูปแบบใหม่ จัดทํารายงานการศึกษาเรื่องการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดทําแพลตฟอร์มการใช้ประโยชน์กําลังคนระดับสูงของประเทศ และ 3) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดําเนินโครงการเรียนโค้ดดิ้งพัฒนา STEM เพื่อเพิ่มทักษะกําลังคนด้านดิจิทัลและดําเนินโครงการยกระดับศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่ออุตสาหกรรมอนาคต (AI อาชีวะ) ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 2.2 ข้อเสนอแนะ เช่น ศธ. เสนอว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้จังหวัดเป็นฐานร่วมกันพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นสถานศึกษาแห่งอนาคต โดยการนําสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการเรียนการสอน และ อว. เสนอเกี่ยวกับการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีสมรรถนะและศักยภาพสอดคล้องกับความต้องการ/เป้าหมายของประเทศ นําไปสู่การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ มติที่ประชุม : รับทราบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําข้อเสนอแนะของ ศธ. และ อว. ไปพิจารณา 3. (ร่าง) รายงานผลการดําเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) (ฉบับที่ 1) 3.1 คณะอนุกรรมการจัดทํารายงานฯ ได้ดําเนินการจัดประชุมเพื่อจัดทํา (ร่าง) รายงานฯ โดยมีผลการดําเนินงานที่สําคัญ ได้แก่ บทสรุปสําหรับผู้บริหาร ผลการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ นโยบายหลัก 12 ด้าน นโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง และสรุปผลการดําเนินงานการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการช่วยเหลือเยียวยา 3.2 การปรับแผนการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เช่น เลื่อนวันเสนอ (ร่าง) รายงานฯ ต่อประธาน กตน. พิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรี และเลื่อนวันแจกจ่ายเล่มรายงานฯ ให้แก่คณะรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง ความเห็นและข้อสังเกตของ กตน. : 1. เห็นชอบในหลักการการจัดทํา (ร่าง) รายงานฯ 2. ให้ส่วนราชการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขและนําเรียนรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ โดยให้จัดส่ง (ร่าง) รายงานฯ ให้ฝ่ายเลขานุการร่วม กตน. [สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.)] ภายในวันที่ 17 กันยายน 2564 เพื่อเสนอประธาน กตน. พิจารณาให้ความเห็นชอบ และนํากราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณา และนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 3. รับทราบการปรับแผนการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ โดยคาดว่าจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างรายงานฯ เพื่อแจกจ่ายเล่มรายงานฯ ให้แก่คณะรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ­­­­­­­­­­_______________________ *หมายเหตุ : ขณะนี้ สธ. ได้ดําเนินการเรื่องการกําจัดขยะติดเชื้อโควิด-19 โดยออกประกาศ สธ. เรื่อง วิธีการกําจัดมูลฝอยติดเชื้อด้วยวิธีอื่น พ.ศ. 2564 แล้ว ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2564 เป็นต้นไป 12. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจําเดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือนสิงหาคม 2564 ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนสิงหาคม 2564 กลับมาหดตัวอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยมีสาเหตุสําคัญจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดบางชนิดและราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่ราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ เงินเฟ้อในเดือนนี้ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.02 (YoY) เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.45 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐโดยเฉพาะการลดค่าเล่าเรียน-ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าน้ําประปา ประกอบกับราคาสินค้ากลุ่มอาหารสดบางชนิดมีราคาลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะข้าว เนื้อสัตว์ ผักสด และผลไม้สด นอกจากนั้น ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานแม้จะยังขยายตัวต่อเนื่อง แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าอื่น ๆ บางชนิดมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะไข่ไก่และเครื่องประกอบอาหาร และสินค้าบางชนิดราคาทรงตัว ซึ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสถานการณ์ส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ปรับลดลง เงินเฟ้อพื้นฐาน (เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว) ขยายตัวร้อยละ 0.07 (YoY) ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.14 เงินเฟ้อทั่วไป เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2564 ลดลงร้อยละ 0.18 (MoM) และเฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.- ส.ค.) ปี 2564 สูงขึ้นร้อยละ 0.73 (AOA) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อในเดือนนี้จะปรับตัวลดลง แต่เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสําคัญที่เกี่ยวข้องหลายตัวยังมีสัญญาณที่ดี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศและจากการนําเข้ายังคงขยายตัว ภาคการส่งออกยังได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสําคัญที่ฟื้นตัว ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยยังคงขยายตัวได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อกําลังซื้อและอุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิต ขยายตัวร้อยละ 4.9 (YOY) จากร้อยละ 5.0 ในเดือนก่อนหน้าและดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ 8.8 (YOY) จากร้อยละ 7.8 ในเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับการปรับตัวสูงขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยกําลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 แต่เชื่อมั่นว่ามาตรการเพิ่มกําลังซื้อ และการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงอุปสงค์จากต่างประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จะส่งผลให้เงินเฟ้อของประเทศปรับตัวดีขึ้นตามลําดับ 2. แนวโน้มเงินเฟ้อ เงินเฟ้อในเดือนกันยายน 2564 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในระดับที่ไม่สูงมากนักโดยมีปัจจัยสําคัญจากการสิ้นสุดมาตรการลดค่ากระแสไฟฟ้าและค่าน้ําประปา ซึ่งสิ้นสุดในเดือนสิงหาคมนี้ อีกทั้งราคาพลังงานมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยจากการเพิ่มกําลังการผลิตของผู้ผลิตโลก ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มเริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ราคาอาหารสดและการต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐเป็นปัจจัยผันแปรสําคัญที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อในเดือนกันยายนได้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2564 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.7-1.7 (ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ทั้งนี้จะมีการทบทวนอีกครั้งในเดือนกันยายน 2564 13. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2564 มีมูลค่าสูงกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ด้วยมูลค่า 21,976.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 8.93 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 19.43 เป็นผลจากการผลักดัน และแก้ไขอุปสรรคด้านการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก โดย UNCTAD คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 5 ทศวรรษ โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าสําคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป สอดคล้องกับภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่เหนือระดับ 50 เป็นเดือนที่ 14 ซึ่งเป็นการเติบโตจากการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบ และสินค้าเพื่อการลงทุน นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทย ทั้งนี้ การส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวที่ร้อยละ 15.25 เมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ทองคํา และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 21.22 มูลค่าการค้ารวม มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 21,976.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 8.93 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนําเข้า มีมูลค่า 23,191.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 47.92 ดุลการค้าขาดดุล 1,215.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวมการส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 176,961.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.25 การนําเข้า มีมูลค่า 175,554.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 30.97 ดุลการค้า 8 เดือนแรก เกินดุล 1,406.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนสิงหาคม 2564 การส่งออก มีมูลค่า 715,416.40 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.83 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนําเข้า มีมูลค่า 765,248.80 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 53.20 ดุลการค้าขาดดุล 49,832.40 ล้านบาท ภาพรวมการส่งออก 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออก มีมูลค่า 5,441,613.75 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.78 การนําเข้า มีมูลค่า 5,476,523.71 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 29.52 ดุลการค้า 8 เดือนแรก ขาดดุล 34,909.96 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 23.6 (YoY) ขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 98.8 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และฝรั่งเศส) ผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 84.8 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย) น้ํามันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 51.0 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ อินเดีย มาเลเซีย เมียนมา จีน และกัมพูชา) ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 48.4 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 25.4 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ จีน เบนิน เซเนกัล อังโกลา และฮ่องกง) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 17.3 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย และฟิลิปปินส์) น้ําตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 5.5 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ สุกรสด แช่เย็น แช่แข็ง หดตัวร้อยละ 73.1 (หดตัวในตลาดฮ่องกง กัมพูชา และลาว แต่ขยายตัวดีในเมียนมา) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป หดตัวร้อยละ 31.9 (หดตัวแทบทุกตลาด เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ แต่ขยายตัวดีในตลาดเนเธอร์แลนด์) อาหารทะเลสด แช่เย็น แช่แข็งกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 10.4 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น จีน แคนาดา เกาหลีใต้ และอียิปต์) เครื่องดื่ม หดตัวที่ร้อยละ 13.6 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา จีน สิงคโปร์ และลาว แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม กานา อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ) 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 14.7 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 3.3 (YoY) ขยายตัว 6 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน ขยายตัวร้อยละ 68.3 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน กัมพูชา ญี่ปุ่น อินเดีย และเวียดนาม) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 17.8 (ขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ และเม็กซิโก) รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 44.3 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเบลเยียม) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 60.3 (ขยายตัวแทบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคํา) ขยายตัวร้อยละ 35.7 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ อินเดีย สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ จีน) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ เครื่องซักผ้า เครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 15.5 (หดตัวในตลาดเวียดนาม มาเลเซีย ออสเตรเลีย เปรู และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ชิลี และเม็กซิโก) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน หดตัวร้อยละ 7.6 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และเวียดนาม แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดออสเตรเลีย อินโดนีเซีย อินเดีย และอาร์เจนตินา) เครื่องสําอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 5.6 (หดตัวหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย เวียดนาม แต่ขยายตัวได้ดีในตลาดจีน) ทองคํายังไม่ได้ขึ้นรูป หดตัวร้อยละ 85.8 (หดตัวในตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวได้ดีในตลาด สปป.ลาว เกาหลีใต้ กัมพูชา ญี่ปุ่น และไต้หวัน) 8 เดือนแรกของปี 2564 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 14.4 ตลาดส่งออกสําคัญ การส่งออกไปยังตลาดส่งออกสําคัญยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจะชะลอลงบางส่วนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าในหลายประเทศ การส่งออกไปกลุ่มตลาดต่างๆ สรุป ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 18.2 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 16.2 จีน ร้อยละ 32.3 ญี่ปุ่น ร้อยละ 10.0 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 16.1 อาเซียน (5) ร้อยละ 26.9 ขณะที่ CLMV หดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.03 2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 18.4 ขยายตัวเกือบทุกกลุ่มตลาด ได้แก่ เอเชียใต้ ร้อยละ 54.5 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 31.9 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 27.5 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 50.8 และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ร้อยละ 44.8 ขณะที่ทวีปออสเตรเลียหดตัวร้อยละ 15.9 และ 3) ตลาดอื่นๆ หดตัวร้อยละ 90.1 2. แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกในปี 2564 การส่งออกของไทยในปี 2564 มีแนวโน้มของการขยายตัวที่ดี สะท้อนจาก (1) สินค้าอุตสาหกรรมหลายรายการยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นสัญญาณบวกต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกของไทย (2) ราคาน้ํามันดิบปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกของสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน อาทิ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ (3) มาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ในสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป และการเร่งฉีดวัคซีนทั่วโลก ส่งผลดีต่อกําลังซื้อของประเทศคู่ค้า (4) ค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกของไทยที่เน้นการแข่งขันด้านราคา สําหรับแผนส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ยังคงมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ดําเนินการตามยุทธศาสตร์ “ตลาดนําการผลิต” และแผนงานของกระทรวงพาณิชย์ที่กําหนดไว้ โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีกิจกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนการส่งออกอย่างต่อเนื่อง สําหรับกิจกรรมในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ เช่น งานยี่ปั๊วออนไลน์ ครั้งที่ 2 (20-24 ก.ย. 64) กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม (22-24 ก.ย. 64) และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย (29-30 ก.ย. 64) งานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยในรูปแบบเสมือนจริง THAIFEX (29 ก.ย. - 3 ต.ค. 64) โครงการจับคู่กู้เงิน สถาบันการเงินกับ SME ส่งออก เฟส 2 (ก.ย. - พ.ย. 64) เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงปลายปียังจะมีงานแสดงสินค้านานาชาติอัญมณีและเครื่องประดับ “Phuket Gems Fest” รวมถึงการเดินหน้าผลักดันกิจกรรมภายใต้ “มินิเอฟทีเอ ไทย-ไห่หนาน” โดยมีแผนที่จะจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ไทย-ไห่หนาน และการจัดงานแสดงสินค้ารูปแบบ Mirror & Mirror นําร่องธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยมีโอกาสผลักดันทั้งสินค้าและบริการเชิงสุขภาพเข้าไปให้บริการในไห่หนาน เช่น นวดแผนไทย สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม 14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนสิงหาคม 2564 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2564 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 4.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตรถยนต์ที่ลดลงจากการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนบางรายการ จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ทําให้ผู้ผลิตชิปและชิ้นส่วนรถยนต์บางโรงต้องปิดโรงงานชั่วคราว อุตสาหกรรมสําคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนสิงหาคม 2564 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ 1. รถยนต์และชิ้นส่วน หดตัวร้อยละ 9.77 จากปัญหาการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนชุดสายไฟ เนื่องจากโรงงานผู้ผลิตเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้ผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนจากต่างประเทศประสบปัญหาด้านการขนส่ง ทําให้การผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 2. การกลั่นน้ํามันปิโตรเลียม หดตัวร้อยละ 6.77 จากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงกว่าปีก่อน กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างชะลอตัวลง กระทบต่อการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง 3. รถจักรยานยนต์ หดตัวร้อยละ 45.51 จากการหดตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงกว่าปีก่อน ทําให้มีมาตรการควบคุม การระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น กระทบต่อความต้องการใช้รวมถึงกําลั่งซื้อและรายได้ที่น้อยลง เช่นเดียวกับการส่งออกในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักก็ประสบปัญหาการแพร่ระบาดเช่นเดียวกัน อุตสาหกรรมสําคัญที่ยังขยายตัวในเดือนสิงหาคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน 1. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.45 ตามการเติบโตของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลกอย่างต่อเนื่อง จากการใช้เซมิคอนดักเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสมัยใหม่ตั้งแต่เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์การแพทย์ และอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ 2. ผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางล้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.06 จากยางแท่งและยางแผ่นเป็นหลักจากความต้องการของลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะจากลูกค้าจีน รวมถึงความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมยางรถรถยนต์ 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ซึ่งเห็นควรให้ความเห็นชอบให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดกระบี่ จังหวัดยโสธร จังหวัดอ่างทอง จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดพังงา จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกาฬสินธุ์เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการหรือยกเลิกโครงการ/กิจกรรมที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกําหนดกู้เงินฯ) พร้อมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform: eMENSCR) ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการโดยเร็ว สาระสําคัญของเรื่อง คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีมติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญของโครงการ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทําให้การดําเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนที่ได้รับอนุมัติไว้หรือไม่สามารถดําเนินการได้ ดังนี้ 1. โครงการที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และ 6 ตุลาคม 2563 โครงการ มติคณะรัฐมนตรีเดิม ข้อเสนอในครั้งนี้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โครงการเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดเพชรบุรี โครงการยกระดับการผลิตผักปลอดภัยและได้มาตรฐาน สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2564 จังหวัดกระบี่ (3 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าการเกษตรทางเลือกแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ํามันและยางพารา สิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการเมนูอาหารพื้นบ้านจากชุมชนสู่ภัตตาคาร “ของหรอยเมืองกระบี่” สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 (3) โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรการท่องเที่ยวด้านการโรงแรมเพื่อรองรับการท่องเที่ยวตามวิถีใหม่ (New Normal) สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 จังหวัดยโสธร โครงการส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสาน โดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ําในไร่นา สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดมุกดาหาร (2 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงพาณิชย์สู้ภัยโควิด สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทอาหารเพื่อเพิ่มรายได้ให้กลุ่มผู้ผลิตผู้ประกอบการชุมชน สิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2564 จังหวัดพังงา (3 โครงการ) (1) โครงการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวไร่พันธุ์ดอกข่า 50 สินค้า GI จังหวัดพังงา สร้างคลังอาหารภายในชุมชน อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 2.23 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 1.34 ล้านบาท) เนื่องจากไม่สามารถจัดหา พื้นที่ก่อสร้างได้ และทําให้ต้องยกเลิกกิจกรรมที่ต่อเนื่องกัน ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.89 ล้านบาท (2) โครงการหมู่บ้านเกษตรสมบูรณ์เพิ่มพูนสุขภาพ สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (3) โครงการส่งเสริมการแปรรูปอาหารทะเลและสินค้าเกษตรจังหวัดพังงา อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 14.40 ล้านบาท ยกเลิกโครงการฯ จังหวัดพิจิตร โครงการพัฒนายกระดับการผลิตสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกษตรกรปราดเปรื่อง (Young Smart Farmer & Smart Farmer) อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 3.15 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 0.40 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 2.75 ล้านบาท จังหวัดกาฬสินธุ์ (3 โครงการ) (1) โครงการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าชุมชนจังหวัดกาฬสินธุ์ อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 0.46 ล้านบาท ยกเลิกโครงการฯ (2) โครงการพัฒนาการผลิต การแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐานและส่งเสริมการใช้สมุนไพร อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 1.74 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม (วงเงิน 1.18 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.56 ล้านบาท (3) โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร อนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ วงเงิน 4.46 ล้านบาท ยกเลิกกิจกรรมย่อย 2 กิจกรรม (วงเงิน 3.68 ล้านบาท) ทําให้วงเงินโครงการฯ ปรับลดเป็น 0.78 ล้านบาท 2. โครงการที่ได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 และ 6 ตุลาคม 2563 โครงการ มติคณะรัฐมนตรีเดิม ข้อเสนอในครั้งนี้ จังหวัดกระบี่ โครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวคุณภาพจังหวัดกระบี่ (Krabi We Care) สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 จังหวัดอ่างทอง (2 โครงการ) (2) โครงการยกระดับการเลี้ยงนกกระทา สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564 ขยายระยะเวลาโครงการฯ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2564 (2) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตแพะแบบครบวงจร 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564) ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ดังนี้ 1. อนุมัติโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ําประปา) จํานวน 4 โครงการ ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประปานครหลวง (กปน.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 2 ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 2. มอบหมายให้ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการและดําเนินการจัดทําความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ 15 ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดําเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 พ.ศ. 2564 โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง 1. คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ภายใต้พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 มีการพิจารณาโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (ด้านไฟฟ้าและด้านประปา) จํานวน 4 โครงการ ของ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกรอบวงเงินจากการจัดทําข้อมูลต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการให้บริการ โดยโครงการทั้ง 4 โครงการมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ ข้อ สาระสําคัญ ต้นทุนการดําเนินมาตรการฯ (ล้านบาท) 1.1 มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (ด้านไฟฟ้า) ระลอกเดือนกรกฎาคม 2564 ของ กฟน. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย) จํานวน 3.72 ล้านครัวเรือน และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.35 ล้านราย แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับค่าไฟฟ้าประจําเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564) 2,047.41 1.2 มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูโภคขั้นพื้นฐาน (ด้านไฟฟ้า) ให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ ของ กฟภ. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย) จํานวน 17.68 ล้านครัวเรือน และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก) จํานวน 1.39 ล้านราย แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับค่าไฟฟ้าประจําเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2564) 10,293.00 1.3 มาตรการลดค่าน้ําประปาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตามมติคณะรัฐมนตรี (13 กรกฎาคม 2564) ของ กปน. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (บ้านอยู่อาศัย) จํานวน 2.06 ล้านราย และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (กิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.39 ล้านราย ในพื้นที่ให้บริการของ กปน. ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคม - กันยายน 2564) 159.08 1.4 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากโรคโควิด 19 เพิ่มเติม 2564 ลดค่าน้ําประปาร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กเป็นระยะเวลา 2 เดือน สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคมและกันยายน 2564 ของ กปภ. กลุ่มเป้าหมาย: (1) กลุ่มประชาชน (บ้านอยู่อาศัย) จํานวน 4.04 ล้านราย และ (2) กลุ่มผู้ประกอบการ (กิจการขนาดเล็ก) จํานวน 0.61 ล้านราย ในพื้นที่ทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ แผนดําเนินการ: ระยะเวลาดําเนินมาตรการ 2 เดือน (สําหรับใบแจ้งค่าน้ําประปาประจําเดือนสิงหาคม - กันยายน 2564) 271.66 รวมวงเงิน 12,771.15 ทั้งนี้ การดําเนินการทั้ง 4 โครงการ เป็นการลดภาระค่าครองชีพในส่วนของค่าน้ําประปาและค่าไฟฟ้าสําหรับประชาชนและผู้ประกอบกิจการขนาดเล็กในช่วงที่รัฐบาลดําเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการและการใช้ชีวิตของประชาชน 2. มติ คกง. เห็นควรให้ความเห็นชอบโครงการภายใต้มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธรณูปโภคขั้นพื้นฐานจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 (ด้านไฟฟ้าและด้านน้ําประปา) จํานวน 4 โครงการ ของ กฟน. กฟภ. กปน. และ กปภ. กรอบวงเงินรวม 12,771.15 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 2 ตามบัญชีท้ายพระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 17. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอการกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (โรคโควิด 19) และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงแรงงานเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 กรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อม สามารถจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอํานาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุข เพื่อให้บริการแก่พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ตามระเบียบและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง โดยเบื้องต้นกระทรวงแรงงานได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ซิโนฟาร์ม) จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่แจ้งความประสงค์ว่ามีความจําเป็นเร่งด่วนในการจัดหาวัคซีน จํานวน 117,677 คน ซึ่งในปี 2564 มีค่าใช้จ่ายจํานวนรวมทั้งสิ้น 209 ล้านบาท (ซิโนฟาร์มเข็มละ 888 บาท จํานวน 2 เข็ม x จํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่ประสงค์ขอรับวัคซีน 117,677 คน) และในปี 2565 - 2568 มีค่าใช้จ่ายจํานวนรวมทั้งสิ้นปีละ 464 ล้านบาท [ซิโนฟาร์มเข็มละ 888 บาท จํานวน 2 เข็ม x จํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในปี 2564 ทั้งหมด 261,464 คน (พนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจในปี 2564 จากรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 58 แห่ง)] โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป [เป็นวันที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เริ่มเปิดให้หน่วยงานของรัฐ/องค์กร/บริษัทต่าง ๆ สามารถจองวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (ซิโนฟาร์ม) ได้ และรัฐวิสาหกิจบางแห่งได้ดําเนินการจัดหาวัคซีนเพื่อให้พนักงานไปบางส่วนแล้ว] ซึ่งคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 และการประชุมครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 18. เรื่อง ผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 เกี่ยวกับผลการคัดเลือกเอกชนและผลการเจรจาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ 2. ให้ สกพอ. การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสําคัญกับการส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมเพิ่มมูลค่า (Value added Activities) การพัฒนาท่าเรือบกและการเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยระบบขนส่งที่หลากหลาย และการบริหารจัดการขนส่งหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนค่าขนส่งซึ่งจะช่วยพัฒนาและขยายพื้นที่หลังท่าของท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงกํากับให้เอกชนคู่สัญญาของโครงการฯ ดําเนินการตามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือ F2 ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในภาพรวมต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสํานักงานอัยการสูงสุด (อส.) ของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F (โครงการฯ) โดยเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ซึ่งได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินของรัฐเป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (ตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต) ระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี ทั้งนี้ อส. ไม่มีข้อขัดข้องด้วย 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ บริษัท เคหะสุขประชา จํากัด (มหาชน) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ไม่ขัดข้องในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และหากมีการจัดตั้งบริษัทในเครือ ก็เห็นชอบการปรับเพิ่มกรอบงบลงทุนประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หมวดลงทุนอื่น ๆ โดยเพิ่มทั้งวงเงินดําเนินการและเบิกจ่ายลงทุน จํานวน 245 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ กคช. ถือหุ้นร้อยละ 49 จากทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการจัดตั้งบริษัทในเครือสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย และเป็นไปตามกฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เห็นควรให้ กคช. ดําเนินการในประเด็นต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน ตามความเห็นของ สศช. และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปดําเนินการต่อไปด้วย 20. เรื่อง แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดําเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และ เห็นชอบแผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงินงบประมาณรายจ่าย 904.769 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 1,002.771 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดําเนินงานตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง พน. รายงานว่า 1. ผลการดําเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ ประเด็น รายละเอียด ผลการดําเนินงาน เช่น 1) ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 23.70 ล้านราย โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 16,972 ล้านบาท และตรึงค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในงวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2564 ออกไปอีก 4 เดือน (เดือนกันยายน - ธันวาคม 2564) 2) ออกระเบียบและประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) สําหรับภาคประชาชนและโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนําร่อง) 3) ดําเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสําคัญ (Big Rock) ในการอนุมัติอนุญาตเบ็ดเสร็จด้านกิจการไฟฟ้าที่แท้จริง โดยปรับปรุงกระบวนการ ขั้นตอน และกฎหมายลําดับรองเพื่อการอนุญาตแบบ One Stop Service พัฒนาระบบการให้บริการอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานแบบออนไลน์ และกําหนดอัตราค่าบริการให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) 4) กําหนดหลักเกณฑ์การกํากับกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 (ระยะเปลี่ยนผ่าน) 5) กํากับอัตราค่าไฟ โดยกําหนดหลักเกณฑ์และโครงสร้างอัตราค่าบริการไฟฟ้า พ.ศ. 2564 - 2568 6) กํากับอัตราค่าบริการก๊าชธรรมชาติ โดยกําหนด (1) อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อผ่านระบบส่งก๊าชธรรมชาติ ส่วนของต้นทุนผันแปรของบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และ (2) อัตราค่าบริการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซส่วนของต้นทุนผันแปรประจําปี พ.ศ. 2564 ของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จํากัด 7) คุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นและทําความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า การตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการสิ่งแวดล้อมของผู้รับใบอนุญาต และการปรับอัตราค่าไฟฟ้า 8) บริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้า โดยบริหารจัดการเงินชดเชยและอุดหนุนผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าซึ่งให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสหรือให้บริการไฟฟ้าอย่างทั่วถึงตามมาตรา 97 (1) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เป็นเงิน 7,711 ล้านบาท 9) พัฒนาระบบบริหารงานองค์กร พัฒนาระบบบริหารงานให้มีมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 พัฒนาระบบบริหารงานองค์กรและการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การจัดเก็บรายได้ คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ จํานวน 932.419 ล้านบาท เท่ากับประมาณการการจัดเก็บรายได้ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ การใช้จ่ายงบประมาณ คาดว่าจะเบิกจ่าย จํานวน 892.379 ล้านบาท เท่ากับกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ หมายเหตุ : สํานักงาน กกพ. คาดว่าจะนําเงินส่งคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 40.040 ล้านบาท 2. แผนการดําเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งได้จัดทําให้สอดคล้องกับแผนต่าง ๆ เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน (ฉบับปรับปรุง) แผนปฏิบัติการด้านการกํากับกิจการพลังงานระยะที่ 4 (พ.ศ. 2563 - 2565) มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 2.1 แผนการดําเนินงาน วัตถุประสงค์ ตัวอย่างการดําเนินการ (1) ส่งเสริมให้บริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ มีความมั่นคงและมีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้พลังงานและผู้รับใบอนุญาต - กํากับการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายภาครัฐให้เป็นไปตามกรอบการจัดหาไฟฟ้าตามแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 - ทบทวนโครงสร้างการกําหนดประเภทใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานใหม่รองรับรูปแบบธุรกิจพลังงานที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต - ให้บริการอนุญาตการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าแบบ One Stop Service (2) ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานทั้งด้านอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ - กําหนดหลักเกณฑ์การกําหนดอัตราค่าไฟฟ้ารองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าเพื่อรองรับการเข้ามาของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ (Prosumers) - ประกาศมาตรฐานสัญญาการให้บริการไฟฟ้าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1 - 81 - จัดทําข้อเสนอการชดเชยผู้ใช้ไฟฟ้าและอัตราที่ชดเชย กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถให้บริการได้ตามที่มาตรฐานการให้บริการพลังงานกําหนด (3) ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน และป้องกันการใช้อํานาจในทางมิชอบในการประกอบกิจการพลังงาน - จัดทําแนวทางการกํากับกิจการก๊าซธรรมชาติที่เกี่ยวข้องในอนาคตรองรับการพัฒนาศูนย์กลางการซื้อ - ขาย LNG ของภูมิภาค (Regional LNG Trading HUB) - กําหนดแนวทางการกํากับกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขันและรองรับการซื้อขายไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 4) ส่งเสริมให้การบริการของระบบโครงข่ายพลังงานเป็นไปด้วยความเป็นธรรม - ติดตามและรวบรวมข้อมูลการดําเนินการตามหลักเกณฑ์การกํากับการเปิดให้ใช้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party Access Framework: TPA Framework) ของระบบจําหน่ายไฟฟ้า เพื่อนํามาทบทวนหลักเกณฑ์ดังกล่าว และกํากับข้อกําหนด (TPA Code) ของผู้รับใบอนุญาต - กําหนดหลักเกณฑ์การกําหนดอัตราค่าบริการใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Wheeling Charge) ของระบบส่งไฟฟ้าและระบบจําหน่ายไฟฟ้าที่เหมาะสม (5) ส่งเสริมให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ตรวจติดตามการประกอบกิจการพลังงานตามเงื่อนไขการอนุญาต และต่อยอดการพัฒนาระบบตรวจติดตามด้านสิ่งแวดล้อมที่เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (6) ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงาน ชุมชนท้องถิ่น ประชาชน และผู้รับใบอนุญาตในการมีส่วนร่วม เข้าถึง ใช้และจัดการด้านพลังงาน - ปฏิรูปกลไกการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน โดยจัดทําบันทึกความเข้าใจกับสภาคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อสร้างความร่วมมือในการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ปกป้องสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้พลังงาน - พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ต่อเนื่อง จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (7) ส่งเสริมการใช้พลังงานและทรัพยากรในการประกอบกิจการพลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ - กําหนดมาตรการการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response)2 - สนับสนุนเงินลงทุนในการปรับปรุงเทคโนโลยีประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย (8) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ศึกษาแนวทางการส่งเสริม/กํากับ (Regulatory Framework) สําหรับวิธีการลงทุนรูปแบบใหม่และการศึกษาต้นทุน มาตรการด้านราคา เทคโนโลยี และผลกระทบ (9) บริหารจัดการองค์กรที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ - พัฒนาระบบการบริหารงานองค์กรให้มีมาตรฐานสากลตามระบบบริหารงานคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 - ปรับปรุงระบบการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นระบบยิ่งขึ้น 2.2 งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการ จํานวนเงิน (ล้านบาท) (1) รายจ่ายด้านบุคลากร 276.076 (2) รายจ่ายในการจัดการและบริหารสํานักงาน เช่น เงินสมทบประกันสังคม ค่าเช่าอาคารสํานักงาน ค่าวัสดุสํานักงาน และค่าสาธารณูปโภค 440.579 (3) รายจ่ายที่เป็นงบลงทุน เช่น ค่าครุภัณฑ์ต่าง ๆ 11.136 (4) รายจ่ายที่เป็นเงินอุดหนุน เช่น เงินให้การสนับสนุนกิจกรรมภาคสังคม 2.500 (5) รายจ่ายอื่น ๆ เช่น โครงการตามกลยุทธ์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงาน ฝึกอบรม สัมมนา และศึกษาดูงานในต่างประเทศ 174.478 รวมทั้งสิ้น 904.769 ทั้งนี้ กรณีที่จะต้องดําเนินการตามภารกิจที่จําเป็นเร่งด่วนหรือดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของสํานักงาน กกพ. หรือตามนโยบายรัฐบาลระหว่างปีงบประมาณ สํานักงาน กกพ. จะถัวจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีภายใต้กรอบวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี 2.3 ประมาณการรายได้ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการ จํานวนเงิน (ล้านบาท) (1) ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต/ต่ออายุ/ใบแทน 1.315 (2) ค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี 993.229 (3) รายได้อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร และค่าธรรมเนียมการจัดรับฟังความคิดเห็นการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า 8.227 รวมทั้งสิ้น 1,002.771 _____________________ 1ผู้ใช้ไฟฟ้า 8 ประเภท ประกอบด้วย (1) บ้านอยู่อาศัย (2) กิจการขนาดเล็ก (3) กิจการขนาดกลาง (4) กิจการขนาดใหญ่ (5) กิจการเฉพาะอย่าง (6) องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกําไร (7) กิจการสูบน้ําเพื่อการเกษตร และ (8) ผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราว 2คือ การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเองจากรูปแบบการใช้ปกติ เพื่อตอบสนองต่อราคาค่าไฟฟ้าในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการสภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 21. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2. อนุมัติสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท 3. อนุมัติขยายระยะเวลาการดําเนินกิจกรรมและใช้จ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีและเงินเหลือจ่ายจากโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564, วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 และวันที่ 10 สิงหาคม 2564 สาระสําคัญ 1. กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทําโครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท และขอความเห็นชอบไปยังสํานักงบประมาณ โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนี้ - สร้างความเชื่อมั่น : ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) หรือดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามหลักการแพทย์และสาธารณสุข - สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ : ประชาชนไทยมีภูมิคุ้มกันหมู่ และมีความปลอดภัยจากการเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงการรักษาระดับความมั่นคงด้านสาธารณสุขได้อย่างต่อเนื่อง - ฟื้นฟูเศรษฐกิจ : เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัว มีอัตราเติบโตของ GDP เป็นไปตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล - เสริมสร้างสังคมและวัฒนธรรม : ประชาชนสามารถกลับมาดําเนินกิจกรรมด้านสังคมและวัฒนธรรมตามเดิมได้ โดยยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค DMHTTA 2. นายกรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ให้กระทรวงสาธารณสุขเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวนเงินทั้งสิ้น 1,334,945,000 บาท 3. กระทรวงสาธารณสุข ได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้เบิกเหลื่อมปีได้จนถึงเดือนมีนาคม 2565 กระทรวงสาธารณสุขมีภารกิจที่จะต้องดําเนินการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีเกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการ จึงขอขยายระยะเวลาการดําเนินกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินในโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติงบประมาณรายจ่ายแล้ว ดังนี้ 3.1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2564 โครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกใหม่ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาดําเนินการเดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564) จํานวนเงิน 4,661,116,203 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 3.2 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 โครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาการดําเนินการเดือนเมษายน 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 12,567,629,322 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 3.3 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระยะเวลาดําเนินการเดือนกรกฎาคม 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 12,669,218,318 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจรถึงเดือนธันวาคม 2564 3.4 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โครงการแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรณีให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นอกสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข (ระยะเวลาดําเนินการเดือนมิถุนายน 2564 ถึงเดือนกันยายน 2564) จํานวนเงิน 1,877,455,000 บาท ขอขยายระยะเวลาต่อไปอีกจนถึงเดือนธันวาคม 2564 ต่างประเทศ 22. เรื่อง การรับรองร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) (ASEAN Framework Action Plan on Rural Development and Poverty Eradication: FAPRDPE 2021 - 2025) อย่างเป็นทางการตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ [จะมีการรับรองร่างแผนปฏิบัติการฯ ในนามของประเทศไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication: AMRDPE) ครั้งที่ 12 ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564] สาระสําคัญของเรื่อง มท. รายงานว่า 1. ความร่วมมือของอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาชนบทและความยากจน1 ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2540 อยู่ภายใต้การดูแลของการประชุม AMRDPE โดยได้รับการสนับสนุนจากการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Senior Official Meeting on Rural Development and Poverty Eradication: SOMRDPE) เพื่อให้ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยการประชุม SOMRDPE ได้พัฒนาแผนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน พ.ศ. 2542 – 2547 ซึ่งได้รับรองในการประชุม AMRDPE ครั้งแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2540 และต่อมาการประชุม SOMRDPE ได้จัดทําแผนการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนฉบับต่อมาเป็นปี พ.ศ. 2547 – 2553 พ.ศ. 2554 – 2558 และ พ.ศ. 2559 – 2563 ตามลําดับ (จะมีการจัดทําแผนดังกล่าวทุก 5 ปี) เพื่อความชัดเจนในการกําหนดแนวทางปฏิบัติและทิศทางในการทํางานให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น 2. ในการประชุม SOMRDPE ครั้งที่ 17 (The 17th SOMRDPE) เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2564 ซึ่งประเทศไทยเป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการฯ ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้เป็นแนวทางในการริเริ่มการพัฒนาเพื่อนําไปสู่การบูรณาการความร่วมมือระดับภูมิภาคต่อไป 3. ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ปี พ.ศ. 2564 – 2568 (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนยากจนในชนบทและช่วยเหลือกลุ่มที่ยากจนที่สุดจากกลุ่มคนในพื้นที่ชนบทให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง โดยมีเป้าประสงค์สําคัญ 5 ด้าน เพื่อขับเคลื่อนร่างแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ เป้าประสงค์ที่ 1 ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ส่งเสริมการปรับตัวของประชาชนในชนบทเพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย (1) เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันในชนบท โดยวางแผนการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างชนบทกับเมือง ซึ่งจะนําไปสู่เศรษฐกิจที่มั่นคงในชนบทและลดความยากจนได้ตามเป้าหมาย (2) การปรับบทบาทองค์กรธุรกิจในชนบทให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยคนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น (3) การเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินและการลงทุน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก การประสานความร่วมมือระหว่างเขตแดน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเกษตรกรรายย่อย (เช่น พื้นที่จัดเก็บผลผลิตขนาดเล็ก บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ในการค้าและการประชาสัมพันธ์การตลาด) เป้าประสงค์ที่ 2 ด้านการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ (Human) การสร้างหลักประกันว่าคนยากจนจะมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา สวัสดิการทางสังคมและบริการด้านสุขภาพ ประกอบด้วย (1) ปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษา การฝึกอบรม และการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ (2) วางรากฐานที่ยั่งยืนให้คนในชุมชนมีการจัดระบบความคุ้มครองกลไกทางการเงินที่เหมาะสม (3) การลงทุนสําหรับบริการทางสุขภาพโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่จําเป็นต่อการพัฒนา โดยเฉพาะการบริหารจัดการภายใต้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) (4) การปรับปรุงการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเงินเพื่อการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสําหรับกลุ่มสตรีและเยาวชน รวมถึงรายได้จากการจ้างงานให้ครอบคลุมและดีขึ้น เป้าประสงค์ที่ 3 ด้านความคุ้มครอง (Protective) การเตรียมพร้อมของหน่วยงาน/องค์กรเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยพิบัติ เป็นต้น ประกอบด้วย (1) การบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพื่อนําไปสู่การพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (2) การพัฒนาบริการให้คําปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน เป้าประสงค์ที่ 4 ด้านการเมือง (Political) เสริมสร้างศักยภาพในการดําเนินงานกับบุคลากรและทําให้เกิดความคิดริเริ่มในการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ประกอบด้วย (1) การสร้างเครือข่ายการพัฒนาชนบทร่วมกับหลายภาคส่วน (อปท. ภาคประชาชน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายสตรี เยาวชน คนพิการ และผู้สูงอายุ) (2) โครงการเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาชนบทและความยากจน สําหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น แกนนําประชาชนและองค์กรธุรกิจในท้องถิ่น (3) การมอบรางวัลอาเซียนให้กับหน่วยงานที่มีผลงานในการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม เป้าประสงค์ที่ 5 ด้านกลไกการบูรณาการ (Inclusivity) มีกลไกการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย (1) ความเชื่อมโยงของอาเซียนกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความตระหนักรู้และการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (2) ส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็กสําหรับการดําเนินการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนตามกลไกอาเซียน (3) การเผยแพร่ผลงานของอาเซียน ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (4) การจัดการองค์ความรู้ด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยให้ความสําคัญกับความยั่งยืน _______________________ 1 กรอบความร่วมมือของอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาชนบทและความยากจน ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ 23. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย (ไทย) กับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) [ร่างบันทึกความเข้าใจฯ] โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนมีการลงนามให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนฝ่ายไทยในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ [จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจข้างต้นในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation: JCBC) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ผ่านระบบทางไกล วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564] สาระสําคัญของเรื่อง กต. รายงานว่า หลังจากที่บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้มาเป็นระยะเวลา 5 ปีและครบกําหนดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 ฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามได้ร่วมกันปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน และในการประชุมคณะทํางานการปรึกษาหารือด้านการเมือง (Political Consultation Group) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 8 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งมีปลัดกระทรวง การต่างประเทศและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายเหวียน ก๊วก สุง) ของเวียดนามเป็นประธานร่วม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับปรับปรุงแก้ไขในการประชุม JCBC ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 4 ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นผ่านระบบการประชุมทางไกลวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายบุ่ย แทงห์ เซิน) ของเวียดนามเป็นประธานร่วม ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสําคัญเป็นการสานต่อและใช้แทนที่บันทึกความเข้าใจฉบับที่มีการลงนามแล้วเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 เพื่อกําหนดกรอบการดําเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยรายละเอียดที่ได้ปรับเพิ่มจากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมสรุปได้ ดังนี้ ข้อบท สรุปสาระสําคัญที่แก้ไขเพิ่มเติม สาขาความร่วมมือ (1) ระบุประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งสองประเทศต้องการหารือ อาทิ การกงสุล การทูตเศรษฐกิจ การทูตวัฒนธรรม รวมถึงความร่วมมือเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ (2) ระบุด้านความร่วมมือที่ทั้งสองประเทศต้องการส่งเสริม อาทิ ความมั่นคง การค้า การลงทุน เกษตรกรรม การศึกษา (3) กําหนดให้กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนา ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ) (4) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในจังหวัดต่าง ๆ ของเวียดนาม โดยเริ่มจากการดําเนินโครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบอย่างยั่งยืนในจังหวัดท้ายเงวียนและจังหวัดเบ๋นแจ (5) ระบุสาขาที่ต้องการส่งเสริมความร่วมมือในระดับทวิภาคี อาทิ การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ความมั่นคงด้านไซเบอร์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน การดําเนินการ ไม่อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับจากคู่ภาคีให้กับภาคีที่สาม หากไม่ได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่ภาคีอีกฝ่าย การยุติข้อพิพาท จะไม่ใช้กลไกระงับข้อพิพาทของภาคีที่สาม การมีผลผูกพัน ไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 24. เรื่อง การเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเข้าร่วมเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ของไทย รวมทั้งเห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ของไทย ตามข้อ 1 และเห็นชอบร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) ตามข้อ 2 ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมประกาศหรือออกแถลงการณ์เปิดการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา และร่วมให้ความเห็นชอบเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ สาระสําคัญ 1. ร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา ของไทย มีสาระสําคัญเป็นการวางกรอบแนวทางการเจรจาของไทยสําหรับจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน - แคนาดา เพื่อขยายโอกาสการค้าการลงทุน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในประเทศ เพื่อเจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ โดยคํานึงถึงความพร้อม ระดับการพัฒนา และภูมิคุ้มกันของประเทศ ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การค้าสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอํานวยความสะดวกทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายแข่งขันทางการค้า วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ความร่วมมือด้านเทคนิคและด้านเศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ แนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ แรงงาน สิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ กลไกการจัดการเชิงสถาบัน รัฐวิสาหกิจ และเรื่องอื่น ๆ 2. ร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทําความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (Reference Paper) เป็นการสร้างพื้นฐานความความเข้าใจร่วมกันระหว่างอาเซียนและแคนาดาถึงขอบเขตประเด็นที่จะเจรจาภายใต้ความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา ประกอบด้วยหลักการทั่วไป วัตถุประสงค์ของการเจรจาตลอดจนประเด็นที่จะหารือกันในการเจรจาหัวข้อสําคัญอย่างกว้าง ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การค้าสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอํานวยความสะดวก ทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า แนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน สิ่งแวดล้อม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายแข่งขันทางการค้า วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ความร่วมมือด้านเทคนิคและเศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความโปร่งใส การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ กลไกการจัดการเชิงสถาบัน วัฒนธรรม และเรื่องอื่น ๆ ทั้งนี้ มิได้เป็นการผูกมัดผลการเจรจาที่จะเกิดขึ้น ปัจจุบันไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ และได้จัดทําความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) แล้วเสร็จ ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้บังคับต้นปี 2565 รวมแล้วไทยมีการค้ากับประเทศที่มี FTAs ครอบคลุมร้อยละ 63 ของการค้าทั้งหมดของไทย อีกทั้งไทยยังมีแผนที่จะจัดทํา FTA กับคู่ค้าสําคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (2561 - 2580) ที่จะทําให้ไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายให้ขยายการจัดทํา FTA เพื่อเพิ่มโอกาสการค้าและการลงทุนของไทย ซึ่งแคนาดาเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพและได้แสดงความสนใจที่จะจัดทํา FTA กับอาเซียน โดยมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดทํา FTA ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 7 ฉบับ ทั้งนี้หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารที่ไม่ใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคม (คค.) ดําเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ 1 (จํานวน 6 ฉบับ) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและลงนามในเอกสารข้อ 2 และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งเอกสารดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนแสดงเจตนาการมีผลผูกพันของเอกสารต่อไป ทั้งนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสําหรับการลงนามเอกสารในข้อ 2 พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการมอบสัตยาบันสารให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบันร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบเอกสารดังกล่าวแล้วตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ สาระสําคัญ กระทรวงคมนาคมขอเสนอเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จํานวน 7 ฉบับ ดังนี้ 1. เอกสารที่จะมีการรับรอง จํานวน 6 ฉบับ ดังนี้ 1.1 ร่างแนวทางการดําเนินงานสําหรับการพัฒนาการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืนในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน เป็นเอกสารแนวทางการดําเนินงานเพื่อพัฒนาการวางแผนการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืนในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเริ่มต้นการกําหนดวิสัยทัศน์ การวางแผนปฏิบัติ และการดําเนินการ โดยปรับให้เหมาะสมกับแนวทางปฏิบัติและทรัพยากรในการวางแผนในปัจจุบัน ในแต่ละขั้นตอนแนวทางการดําเนินงานจะให้คําจํากัดความทั่วไป ตัวอย่างบทเรียนที่ได้รับ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด รวมถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของกระบวนการวางแผนในบริบทและเงื่อนไขของโครงสร้าง สิ่งแวดล้อม และสังคมที่แตกต่างกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความท้าทายและภารกิจของเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกระบวนการวางแผนการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืน และสร้างความตระหนักแก่คณะผู้ดําเนินการ รวมถึงขีดความสามารถที่จําเป็นในการดําเนินกระบวนการวางแผนการขนส่งของเมืองอย่างยั่งยืน 1.2 ร่างชุดเครื่องมือสําหรับการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการขนส่ง ในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ของอาเซียน เป็นชุดแนวคิดการวิเคราะห์ที่เกิดขึ้นจากการที่องค์กรและหน่วยงานด้านการขนส่งทั่วอาเซียนเผชิญกับความท้าทายและวิธีแก้ปัญหาทั่วไปที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเปรียบเทียบและทําความเข้าใจโครงสร้างการกํากับดูแลที่มีอยู่ รวมถึงโครงสร้างการกํากับดูแลที่อาจมีในอนาคต โดยการระบุลักษณะของโครงสร้างการกํากับดูแลเดิมและการออกแบบโครงสร้างการกํากับดูแลใหม่ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุความท้าทายและภารกิจของเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับชุดเครื่องมือสําหรับการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านขนส่งในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ และสร้างความตระหนักแก่คณะผู้ดําเนินการ รวมถึงขีดความสามารถที่จําเป็นในการจัดตั้งคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านขนส่งในเมืองภูมิภาคขนาดใหญ่ 1.3 ร่างปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืน เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนแสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งภายในเขตเมืองอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สนับสนุนการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมทางสังคม ความปลอดภัย สวัสดิภาพ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และรับรองเอกสาร 2 ฉบับ ตามข้อ 1.1 และ 1.2 ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ให้ประเทศสมาชิกดําเนินการด้วยความสมัครใจ 1.4 ร่างแนวปฏิบัติอาเขียน-ญี่ปุ่น ในการตรวจประเมินมาตรฐานการบริหาร จัดการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ เป็นแนวทางการตรวจประเมินผู้ประกอบการโลจิสติกส์ให้แก่หน่วยงานที่ให้การรับรองมาตรฐานการบริหารจัดการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิที่แต่ละประเทศในอาเซียนได้พัฒนาขึ้นโดยให้ความสําคัญกับการตรวจประเมินในส่วนของการบริหารจัดการ 1) คลังสินค้า (warehouse) และ 2) การขนส่ง (Transport) ที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิในภูมิภาคอาเซียนมีมาตรฐานและประสิทธิภาพ ซึ่งแนวปฏิบัตินี้อยู่ในรูปแบบสมัครใจ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนไม่จําเป็นต้องนําแนวปฏิบัตินี้ไปประยุกต์ใช้ทั้งหมด 1.5 ร่างรายงานผลการศึกษาการทดสอบระบบสาธิตการควบคุมยานพาหนะที่บรรทุกน้ําหนักเกินด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเอกสารรายงานผลการทดสอบประสิทธิภาพและความแม่นยําของเทคโนโลยีใหม่ของญี่ปุ่น โดยการรับแรงสั่นสะเทือนผ่านเซ็นเซอร์ในแอปพลิเคชันจากโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Smartphone ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐด้านการควบคุมยานพาหนะที่บรรทุกน้ําหนักเกินด้วยต้นทุนที่ต่ํากว่า โดยปัจจุบันมาตรการของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดําเนินงานดังกล่าวคือการตั้งสถานี ชั่งน้ําหนักและ Weigh in Motion (WIM) ซึ่งใช้งบประมาณการลงทุนค่อนข้างสูง และยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ 1.6 ร่างแผนปฏิบัติการ ปี 2564-2568 ของแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-จีน ฉบับปรับปรุง เป็นร่างแผนปฏิบัติการ ระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2564-2568 ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการฉบับที่ 2 (ฉบับที่ 1 ปี 2561-2563) มีโครงการความร่วมมือสําคัญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีนบรรจุอยู่ในแผนปฏิบัติการฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างภูมิภาคภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (KLTSP) และข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง แบ่งออกเป็น 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ (1) โครงการความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน (2) โครงการความร่วมมือด้านการขนส่งทางน้ํา (3) โครงการความร่วมมือด้านการอํานวยความสะดวกในการขนส่ง (4) โครงการความร่วมมือด้านฐานข้อมูล และ (5) โครงการความร่วมมือทางวิชาการ โดยมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ โครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลงฉบัง เฟส 3 (ท่าเรือ F) และโครงการความร่วมมือการเดินเรือในแม่น้ําล้านช้าง-แม่โขง 2. เอกสารที่จะมีการรับรองและลงนาม จํานวน 1 ฉบับ คือ ร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 12 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน (การลงนามในลักษณะเวียน (ad-referendum) ภายหลังการประชุมฯ) เป็นเอกสารเพื่อยื่นเปิดตลาดการให้บริการคลังสินค้า (Cargo Handling Service) ในท่าอากาศยาน 7 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานแม่สอด แบบมีเงื่อนไขว่าอนุญาตให้บุคคลสัญชาติอาเซียนถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 49 อํานาจบริหารกิจการเป็นของบุคคลสัญชาติไทย ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ดําเนินการสนามบินอนุญาต 26. เรื่อง การจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 (Memorandum of Understanding on Cultural Exchange between the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Culture, Sports and Tourism of the Socialist Republic of Viet Nam for the years 2021 - 2026) รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 ทั้งนี้หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคําของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ สาระสําคัญของร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2569 ได้ขยายกรอบเวลาการบังคับใช้ให้มีอายุ 6 ปี มีสาระสําคัญมุ่งเน้นความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมในทุกระดับผ่านความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนบุคลากร การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ การเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างกันในสาขาทางด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย อาทิ ศิลปะการแสดง วิจิตรศิลป์และศิลปกรรม มรดกทางวัฒนธรรม และภาพยนตร์ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 45 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปี พ.ศ. 2564 และครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. 2569 ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวปรับปรุงจากร่างแผนปฏิบัติการฯ ปี พ.ศ. 2557 – 2559 ซึ่งถือเป็นแผนปฏิบัติการฯ ฉบับแรกที่ทั้งสองฝ่ายดําเนินการร่วมกันในระยะ 3 ปี ซึ่งปัจจุบันได้หมดอายุลงแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการจัดทําร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกันผ่านช่องทางการทูตและขณะนี้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบในร่างเนื้อหาที่ได้จัดทําร่วมกันแล้ว และฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation: JCBC) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ที่มีกําหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ผ่านระบบทางไกล โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่งตั้ง 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นายเทอดศักดิ์ เดชคง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กรมสุขภาพจิต ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 2. นายสุริยะ ปิยผดุงกิจ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 2 ราย เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ดังนี้ 1. นายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 29. เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 299/2564 เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 180/ 2562 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภาให้เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนตามระบบรัฐสภา ตลอดจนเพื่อให้การประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา และพรรคการเมือง ในปัญหาต่าง ๆ ด้านนิติบัญญัติดําเนินการไปอย่างราบรื่น นั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 (6) และ (9) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมาตรา 184 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 จึงให้ยกเลิกความในข้อ 1.2คณะกรรมการ (1) ของคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 180/2562 ลงวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2562 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน 1.2 คณะกรรมการ “(1) นายนิโรธ สุนทรเลขา ประธานกรรมการ” ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป .............................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดำเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จำกัด
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2565 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด เชียงใหม่ - วันนี้ (22 เมษายน 2565) เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบุญอุ้ม วงศ์บุตร อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด โดยมี นางดร เกษรสมบัติ กรรมการผู้จัดการ และนายธนกร เกษรสมบัติ กรรมการ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ให้การต้อนรับ ณ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ตําบลหารแก้ว อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ประกอบกิจการ ผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์สมุนไพร และเครื่องหอมอะโรม่าสําหรับสปา ต่อยอดการแปรรรูปสมุนไพรในครัวเรือนหลังบ้านให้เป็นผลิตภัณฑ์โฮมสปา ที่มีกลิ่นหอมสมุนไพร มีราคาที่จับต้องได้ และมีแพคเกจที่สะดุดตา เพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ โดยในปัจจุบัน ได้รับมาตรฐานจากหลายหน่วยงาน อาทิ : GMP, Halal , ISO22716 : 2007 , Green Industry เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ได้เข้าร่วมโครงการและรับการสนับสนุนสินเชื่อจากกองทุนต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ 1. สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้แก่ สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง หรือ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ. 2563 2.โครงการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อกองทุนฯ ได้แก่ โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาวิสาหกิจสู่ตลาด 4.0 (OPOAI+Mini ITC) ภายใต้งบประมาณรายจ่ายกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี โครงการยกระดับการประกอบการ SME ภาคเหนือตอนบนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Tranformation for Upper Northern SME, และโครงการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดำเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จำกัด วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2565 ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด เชียงใหม่ - วันนี้ (22 เมษายน 2565) เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบุญอุ้ม วงศ์บุตร อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงาน บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด โดยมี นางดร เกษรสมบัติ กรรมการผู้จัดการ และนายธนกร เกษรสมบัติ กรรมการ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ให้การต้อนรับ ณ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ตําบลหารแก้ว อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ประกอบกิจการ ผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์สกินแคร์สมุนไพร และเครื่องหอมอะโรม่าสําหรับสปา ต่อยอดการแปรรรูปสมุนไพรในครัวเรือนหลังบ้านให้เป็นผลิตภัณฑ์โฮมสปา ที่มีกลิ่นหอมสมุนไพร มีราคาที่จับต้องได้ และมีแพคเกจที่สะดุดตา เพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ โดยในปัจจุบัน ได้รับมาตรฐานจากหลายหน่วยงาน อาทิ : GMP, Halal , ISO22716 : 2007 , Green Industry เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัท เฮิร์บเบสิคส์ จํากัด ได้เข้าร่วมโครงการและรับการสนับสนุนสินเชื่อจากกองทุนต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ 1. สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้แก่ สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน และกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง หรือ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ. 2563 2.โครงการส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อกองทุนฯ ได้แก่ โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาวิสาหกิจสู่ตลาด 4.0 (OPOAI+Mini ITC) ภายใต้งบประมาณรายจ่ายกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี โครงการยกระดับการประกอบการ SME ภาคเหนือตอนบนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Tranformation for Upper Northern SME, และโครงการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก ประจำปี 2565
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565 ปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ประจําปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 เวลา 17.30 น. ณ ห้องคอนเวนชัน เซ็นเตอร์โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ผู้นําสตรี ผู้บริหารสตรีและผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ประจําปี 2565 ในวันนี้และนับเป็นโอกาสอันดี ของประเทศไทยในการต้อน รับและเก็บเกี่ยวพลังและประสบการณ์ที่ดีจากบรรดาสุดยอดผู้นําสตรีทั่วโลก ทั้งในภาคการบริหารประเทศ ภาคเศรษฐกิจ และสตรี ผู้ทรงอิทธิพลในหลากหลายสาขาอาชีพจากองค์กรชั้นนําของโลก ที่มารวมอยู่ในการ ประชุมสุดยอดผู้นําสตรีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายศูนย์รวมของพลังสตรีโลก ให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ที่พร้อมขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้น อย่างเท่าเทียม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขอชื่นชมการจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานแบบรักษ์โลก ซึ่งมีการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการประชุม การใช้ไฟฟ้า การเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม การจัดเลี้ยงอาหาร การบริหารขยะและ ของเสียภายในงาน สอดคล้องตามหลักการและถ้อยแถลงผู้นําหลายประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทยได้เห็นพ้องในการร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย พร้อมเดินหน้าไปพร้อมกับทุกคน และร่วมรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ ความท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน โลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งมิติสุขภาพ การเกิด โรคอุบัติใหม่ มิติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ทําให้เห็นว่า “เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก สู่ยุคดิจิทัล” ส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเกือบทุกมิติตลอดจนวิถีชีวิตประจําวันของผู้คน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เทคโลโลยี 5G ที่ได้เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน ส าคัญให้กับภาคธุรกิจของไทยและในทุกอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการให้บริการ ในขณะเดียวกันโครงสร้างของประชากรเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงวัย เร็วขึ้น ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ประเทศด้านต่างๆ จึงนับว่าเป็นประเด็นท้าทายอันซับซ้อนที่จ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการรับมือกับประเด็นดังกล่าว รัฐบาลไทยตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง และประเด็นท้าทายดังกล่าว และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่การริเริ่มและดําเนินการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ ตลอดจนการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งการส่งเสริมบทบาทสตรีในการ ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ การส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ปัจจุบันผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นําในด้านต่างๆ มากขึ้น ได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทําธุรกิจ การขับเคลื่อนสังคม รวมทั้ง การทํางานด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนให้หน่วยงานและองค์กรต่างๆ สร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงศักยภาพของตนเองอย่างเท่าเทียมกับเพศอื่นๆ ตลอดจนการส่งเสริมทักษะในการบริหาร การเป็นผู้นําจนทําให้ปัจจุบันมีผู้หญิงที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทําประโยชน์ให้กับประเทศมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ มีรายงานว่าประเทศไทยได้รับการจัดลําดับ อยู่ในลําดับที่ 19 ในเรื่องการสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีโดยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (ข้อมูลจากรายงานของ Mastercard (The Mastercard Index of Women Entrepreneurs (MIWE) 2021) ซึ่งนับว่าไทยมีความก้าวหน้าในเรื่องสตรีเป็นอย่างมาก ทั้งการมีส่วนร่วมในการ เป็นผู้ประกอบการมากกว่าเพศชาย การเป็นตัวแทนในที่ท างานในฐานะ“ผู้เชี่ยวชาญ ด้านสตรี” และ “ผู้นําธุรกิจสตรี” อยู่ในระดับสูงตามมาตรฐานระดับโลก นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พยายามขับเคลื่อนแผนพัฒนาสตรี เพื่อพัฒนา ศักยภาพของผู้หญิง สร้างสังคมเสมอภาค เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสตรีในสังคมไทย ทุกกลุ่มทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้มีสุขภาวะที่ดี สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะ ขั้นพื้นฐานต่างๆ มีความรู้ในการประกอบอาชีพ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ที่ทันสมัย เพื่อเข้าถึงข้อมูลความรู้ และก้าวทันโลก ตลอดจนเพื่อให้สังคมตระหนักว่า ความเสมอภาคเป็นเป้าหมายที่สังคมต้องการให้เกิดขึ้นกับทุกคน ทุกความแตกต่าง ในสังคม เปิดโอกาสให้ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย และผู้มีความหลากหลายทางเพศมีชีวิต เป็นของตัวเอง สามารถท าในสิ่งที่อยากท า เป็นในสิ่งที่อยากเป็น โดยทุกคนมีคุณค่า และควรได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมกัน ก้าวใหม่ของสตรีกับการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ สําหรับการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากการเผชิญกับ วิกฤตโรคระบาด ซึ่งเป็นตัวเร่งสําคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้สร้างความ เปลี่ยนแปลงและความเติบโตให้กับธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซ ซึ่งผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนร่วม อย่างมาก ทั้งในฐานะผู้บริโภคและในฐานะผู้ผลิต รวมไปถึงการเป็นผู้บริหารและ นักวิชาชีพในสาขาอาชีพต่างๆ ส่งผลให้ผู้หญิงกลายเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับโลก รูปธรรมของบทบาทผู้หญิง ตัวอย่างของการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยังนําไปสู่สันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ รัฐบาลเชื่อมั่นในศักยภาพตัวผู้หญิง เราจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมอาชีพ ใหาความรู้และช่องทางการตลาด จากวัฒนธรรมในพื้นที่ๆผู้หญิงเป็นผู้ดูแลครอบครัวอย่างเดียวปัจจุบันนี้ หลายชุมชนที่นั่นรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน มีสินค้าเป็นของตนเอง ทั้วขนมพื้นบ้าน ขนมเค้ก ผ้าบาติกทึ่ทอสวยงาม เมื่ออยากต่อยอด รัฐบาลก็มีกองทุนให้สตรีกู้ยืม คิดดอกเบี้ย 0.1 ต่อปี และผมภูมิใจมาก ทุกคนมีวินัย อัตราการผิดนัดน้อยมาก เรายังมีผู้หญิงเป็นผู้สอดส่องดูแล ดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชน ช่วงโควิด อสม. กว่าล้านคนที่ มากกว่า 90% เป็นผู้หญิง ที่คอยดูแลสุขภาพ กระตุ้นเตือนให้คนออกมารับการฉีดวัคซีน รัฐบาลให้ความสําคัญและส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งมีรายงานว่าประเทศไทยอยู่ใน อันดับต้นๆ ของ “ดัชนีช่องว่างระหว่างหญิง - ชายระดับโลก ในมิติของการมีส่วนร่วม และโอกาสทางเศรษฐกิจ” ปี 2021 ข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลก หรือ เวิลด์อีโคโนมิก ฟอรั่ม จัดให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 22 ของประเทศที่ให้ความส าคัญกับการด าเนินการ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเพศ จํานวนทั้งหมด 157 ประเทศที่มีการเก็บข้อมูล ในยุคที่เปิดกว้างสําหรับผู้หญิง รัฐบาลได้มุ่งส่งเสริมขีดความสามารถ เพื่อให้ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งการเปิดเวที ให้ผู้หญิงได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถที่ซ่อนอยู่ เช่น การจัดเวทีแข่งขัน สตาร์ทอัพ การก่อตั้งกองทุนสําหรับผู้หญิงที่มีความตั้งใจเข้าสู่วงการธุรกิจนวัตกรรม รวมทั้งการเผยแพร่คอนเทนต์ และการประชาสัมพันธ์ผู้หญิงต้นแบบ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ในการเข้าสู่สายงานดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ประเทศไทย และในระดับโลกมีผู้นําด้านเทคโนโลยีที่เป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ ในยุคดิจิทัล โดยได้มีค วามร่วมมือกับองค์การแรงงาน ระหว่างประเทศ ( ILO) ดําเนินโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานสตรีในสถานประกอบกิจการขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มแรงงานสตรีที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคม และการจ้างงาน ให้ได้รับการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ทักษะด้านดิจิทัล และสะเต็ม ในการพัฒนาสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อให้สามารถปรับตัว ให้เข้ากับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรวมทั้งลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเป็นการเพิ่มทักษะให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การส่งเสริมการพัฒนาสตรีในระดับโลก ในระดับภูมิภาค ผมมีโอกาสร่วมกับผู้นําอาเซียนในการรับรองเอกสาร วาระการดําเนินงาน ในการสร้างความตระหนักในเรื่องการส่งเสริมขีดความสามารถ ทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเสนอโดยเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนสากล เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถ ทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียนโดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร การทําธุรกิจแบบครอบคลุม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเพิ่ม จ านวนสตรีในระดับผู้บริหาร ทั้งนี้ การดําเนินการในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคล้วนเชื่อมโยง กับเป้าหมายใหญ่ของโลก ซึ่งก็คือการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับสตรี คือเป้าหมายที่ 5 ได้แก่ การบรรลุ ความเสมอภาคระหว่างเพศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้หญิงและเด็กหญิงทุกคน และประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ในเดือน กันยายนนี้ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ยังมีกลุ่มสตรีที่ไม่สามารถ เข้าถึงความเท่าเทียมความเสมอภาคอยู่มาก แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกน าไปพูดในระดับเวทีโลก อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง รัฐบาลตระหนักและมองเห็น ปัญหาดังกล่าวนี้ในหลายมิติ และพยายามที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องโอกาสและ ความเท่าเทียมในการพัฒนา ความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย รวมทั้งการหยุดความรุนแรงในสตรีทั้งนี้ ต้องร่วมกันคิดว่าจากนี้ไปจะทําอย่างไร ให้แผนงานนี้สะท้อน ไปถึงเป้าหมายและเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เราอยากเห็นการยุติ ความรุนแรงในสตรีอยากเห็นหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนท างานร่วมกัน อีกทั้งสตรีในภูมิภาคได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้สังคมขับเคลื่อน ความเท่าเทียมนี้อย่างมีเอกภาพมากขึ้น ทั้งนี้ผมเห็นว่าการเสริมสร้างและพัฒนาบทบาทของสตรี ไม่ใช่เรื่อง ของสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว ผมขอเรียกร้องให้ฝ่ายชาย และทุกภาคส่วนสนับสนุนและ ส่งเสริมบทบาทของสตรี โดยการสร้างทัศนคติที่ดีในสังคม ให้มีความเสมอภาคและ เท่าเทียมระหว่างเพศ ลดและขจัดปัญหาจากการเลือกปฏิบัติให้มีความเสมอภาค ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้พลังสตรีมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ในมิติต่างๆ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเต็มศักยภาพ ซึ่งจะเป็นกุญแจส าคัญ ในการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาสตรีให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความชื่นชมและยินดีต่อสุภาพสตรีและผู้เข้าร่วม การประชุมทุกท่าน และขอขอบคุณคณะกรรมการจัดงานทุกท่าน ที่ร่วมกันจัดงาน และเป็นเจ้าภาพที่ดีในการจัดประชุมสุดยอดผู้น าสตรีโลก ซึ่งถือเป็นเวทีส าคัญในการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และส่งเสริมบทบาทสตรีในการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน ผมขอเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ผู้หญิงกับการสร้างโอกาสในความจริงมิติใหม่” ขออวยพรให้การประชุมบรรลุผลส าเร็จ ทุกประการ และหวังว่าทุกฝ่ายทุกภาคส่วนจะร่วมกันน าผลจากการประชุมในครั้งนี้ ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบทบาทสตรีและสังคมของประเทศและของโลกต่อไป ขอบคุณครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก ประจำปี 2565 วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2565 ปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ประจําปี 2565 วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 เวลา 17.30 น. ณ ห้องคอนเวนชัน เซ็นเตอร์โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ผู้นําสตรี ผู้บริหารสตรีและผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ประจําปี 2565 ในวันนี้และนับเป็นโอกาสอันดี ของประเทศไทยในการต้อน รับและเก็บเกี่ยวพลังและประสบการณ์ที่ดีจากบรรดาสุดยอดผู้นําสตรีทั่วโลก ทั้งในภาคการบริหารประเทศ ภาคเศรษฐกิจ และสตรี ผู้ทรงอิทธิพลในหลากหลายสาขาอาชีพจากองค์กรชั้นนําของโลก ที่มารวมอยู่ในการ ประชุมสุดยอดผู้นําสตรีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการขยายศูนย์รวมของพลังสตรีโลก ให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ที่พร้อมขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้น อย่างเท่าเทียม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขอชื่นชมการจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานแบบรักษ์โลก ซึ่งมีการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการประชุม การใช้ไฟฟ้า การเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม การจัดเลี้ยงอาหาร การบริหารขยะและ ของเสียภายในงาน สอดคล้องตามหลักการและถ้อยแถลงผู้นําหลายประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทยได้เห็นพ้องในการร่วมการประชุมสุดยอดผู้นําภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย พร้อมเดินหน้าไปพร้อมกับทุกคน และร่วมรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ ความท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน โลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งมิติสุขภาพ การเกิด โรคอุบัติใหม่ มิติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ทําให้เห็นว่า “เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก สู่ยุคดิจิทัล” ส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเกือบทุกมิติตลอดจนวิถีชีวิตประจําวันของผู้คน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เทคโลโลยี 5G ที่ได้เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน ส าคัญให้กับภาคธุรกิจของไทยและในทุกอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการให้บริการ ในขณะเดียวกันโครงสร้างของประชากรเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงวัย เร็วขึ้น ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ประเทศด้านต่างๆ จึงนับว่าเป็นประเด็นท้าทายอันซับซ้อนที่จ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการรับมือกับประเด็นดังกล่าว รัฐบาลไทยตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง และประเด็นท้าทายดังกล่าว และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่การริเริ่มและดําเนินการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ ตลอดจนการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งการส่งเสริมบทบาทสตรีในการ ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ การส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ปัจจุบันผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้นําในด้านต่างๆ มากขึ้น ได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทําธุรกิจ การขับเคลื่อนสังคม รวมทั้ง การทํางานด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนให้หน่วยงานและองค์กรต่างๆ สร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงศักยภาพของตนเองอย่างเท่าเทียมกับเพศอื่นๆ ตลอดจนการส่งเสริมทักษะในการบริหาร การเป็นผู้นําจนทําให้ปัจจุบันมีผู้หญิงที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทําประโยชน์ให้กับประเทศมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ มีรายงานว่าประเทศไทยได้รับการจัดลําดับ อยู่ในลําดับที่ 19 ในเรื่องการสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีโดยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (ข้อมูลจากรายงานของ Mastercard (The Mastercard Index of Women Entrepreneurs (MIWE) 2021) ซึ่งนับว่าไทยมีความก้าวหน้าในเรื่องสตรีเป็นอย่างมาก ทั้งการมีส่วนร่วมในการ เป็นผู้ประกอบการมากกว่าเพศชาย การเป็นตัวแทนในที่ท างานในฐานะ“ผู้เชี่ยวชาญ ด้านสตรี” และ “ผู้นําธุรกิจสตรี” อยู่ในระดับสูงตามมาตรฐานระดับโลก นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้พยายามขับเคลื่อนแผนพัฒนาสตรี เพื่อพัฒนา ศักยภาพของผู้หญิง สร้างสังคมเสมอภาค เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของสตรีในสังคมไทย ทุกกลุ่มทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้มีสุขภาวะที่ดี สามารถเข้าถึงบริการสาธารณะ ขั้นพื้นฐานต่างๆ มีความรู้ในการประกอบอาชีพ สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ที่ทันสมัย เพื่อเข้าถึงข้อมูลความรู้ และก้าวทันโลก ตลอดจนเพื่อให้สังคมตระหนักว่า ความเสมอภาคเป็นเป้าหมายที่สังคมต้องการให้เกิดขึ้นกับทุกคน ทุกความแตกต่าง ในสังคม เปิดโอกาสให้ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย และผู้มีความหลากหลายทางเพศมีชีวิต เป็นของตัวเอง สามารถท าในสิ่งที่อยากท า เป็นในสิ่งที่อยากเป็น โดยทุกคนมีคุณค่า และควรได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีอย่างเท่าเทียมกัน ก้าวใหม่ของสตรีกับการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ สําหรับการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากการเผชิญกับ วิกฤตโรคระบาด ซึ่งเป็นตัวเร่งสําคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้สร้างความ เปลี่ยนแปลงและความเติบโตให้กับธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซ ซึ่งผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนร่วม อย่างมาก ทั้งในฐานะผู้บริโภคและในฐานะผู้ผลิต รวมไปถึงการเป็นผู้บริหารและ นักวิชาชีพในสาขาอาชีพต่างๆ ส่งผลให้ผู้หญิงกลายเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับโลก รูปธรรมของบทบาทผู้หญิง ตัวอย่างของการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยังนําไปสู่สันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ รัฐบาลเชื่อมั่นในศักยภาพตัวผู้หญิง เราจัดสรรงบประมาณในการส่งเสริมอาชีพ ใหาความรู้และช่องทางการตลาด จากวัฒนธรรมในพื้นที่ๆผู้หญิงเป็นผู้ดูแลครอบครัวอย่างเดียวปัจจุบันนี้ หลายชุมชนที่นั่นรวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชน มีสินค้าเป็นของตนเอง ทั้วขนมพื้นบ้าน ขนมเค้ก ผ้าบาติกทึ่ทอสวยงาม เมื่ออยากต่อยอด รัฐบาลก็มีกองทุนให้สตรีกู้ยืม คิดดอกเบี้ย 0.1 ต่อปี และผมภูมิใจมาก ทุกคนมีวินัย อัตราการผิดนัดน้อยมาก เรายังมีผู้หญิงเป็นผู้สอดส่องดูแล ดูแลความสงบเรียบร้อยในชุมชน ช่วงโควิด อสม. กว่าล้านคนที่ มากกว่า 90% เป็นผู้หญิง ที่คอยดูแลสุขภาพ กระตุ้นเตือนให้คนออกมารับการฉีดวัคซีน รัฐบาลให้ความสําคัญและส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งมีรายงานว่าประเทศไทยอยู่ใน อันดับต้นๆ ของ “ดัชนีช่องว่างระหว่างหญิง - ชายระดับโลก ในมิติของการมีส่วนร่วม และโอกาสทางเศรษฐกิจ” ปี 2021 ข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลก หรือ เวิลด์อีโคโนมิก ฟอรั่ม จัดให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 22 ของประเทศที่ให้ความส าคัญกับการด าเนินการ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเพศ จํานวนทั้งหมด 157 ประเทศที่มีการเก็บข้อมูล ในยุคที่เปิดกว้างสําหรับผู้หญิง รัฐบาลได้มุ่งส่งเสริมขีดความสามารถ เพื่อให้ผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ทั้งการเปิดเวที ให้ผู้หญิงได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถที่ซ่อนอยู่ เช่น การจัดเวทีแข่งขัน สตาร์ทอัพ การก่อตั้งกองทุนสําหรับผู้หญิงที่มีความตั้งใจเข้าสู่วงการธุรกิจนวัตกรรม รวมทั้งการเผยแพร่คอนเทนต์ และการประชาสัมพันธ์ผู้หญิงต้นแบบ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ในการเข้าสู่สายงานดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ประเทศไทย และในระดับโลกมีผู้นําด้านเทคโนโลยีที่เป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ ในยุคดิจิทัล โดยได้มีค วามร่วมมือกับองค์การแรงงาน ระหว่างประเทศ ( ILO) ดําเนินโครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานสตรีในสถานประกอบกิจการขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มแรงงานสตรีที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคม และการจ้างงาน ให้ได้รับการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ทักษะด้านดิจิทัล และสะเต็ม ในการพัฒนาสาขา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อให้สามารถปรับตัว ให้เข้ากับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรวมทั้งลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเป็นการเพิ่มทักษะให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การส่งเสริมการพัฒนาสตรีในระดับโลก ในระดับภูมิภาค ผมมีโอกาสร่วมกับผู้นําอาเซียนในการรับรองเอกสาร วาระการดําเนินงาน ในการสร้างความตระหนักในเรื่องการส่งเสริมขีดความสามารถ ทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียน ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเสนอโดยเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียนสากล เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถ ทางเศรษฐกิจของสตรีในอาเซียนโดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร การทําธุรกิจแบบครอบคลุม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเพิ่ม จ านวนสตรีในระดับผู้บริหาร ทั้งนี้ การดําเนินการในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคล้วนเชื่อมโยง กับเป้าหมายใหญ่ของโลก ซึ่งก็คือการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับสตรี คือเป้าหมายที่ 5 ได้แก่ การบรรลุ ความเสมอภาคระหว่างเพศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้หญิงและเด็กหญิงทุกคน และประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ในเดือน กันยายนนี้ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ยังมีกลุ่มสตรีที่ไม่สามารถ เข้าถึงความเท่าเทียมความเสมอภาคอยู่มาก แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกน าไปพูดในระดับเวทีโลก อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง รัฐบาลตระหนักและมองเห็น ปัญหาดังกล่าวนี้ในหลายมิติ และพยายามที่จะพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องโอกาสและ ความเท่าเทียมในการพัฒนา ความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย รวมทั้งการหยุดความรุนแรงในสตรีทั้งนี้ ต้องร่วมกันคิดว่าจากนี้ไปจะทําอย่างไร ให้แผนงานนี้สะท้อน ไปถึงเป้าหมายและเกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เราอยากเห็นการยุติ ความรุนแรงในสตรีอยากเห็นหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนท างานร่วมกัน อีกทั้งสตรีในภูมิภาคได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้สังคมขับเคลื่อน ความเท่าเทียมนี้อย่างมีเอกภาพมากขึ้น ทั้งนี้ผมเห็นว่าการเสริมสร้างและพัฒนาบทบาทของสตรี ไม่ใช่เรื่อง ของสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว ผมขอเรียกร้องให้ฝ่ายชาย และทุกภาคส่วนสนับสนุนและ ส่งเสริมบทบาทของสตรี โดยการสร้างทัศนคติที่ดีในสังคม ให้มีความเสมอภาคและ เท่าเทียมระหว่างเพศ ลดและขจัดปัญหาจากการเลือกปฏิบัติให้มีความเสมอภาค ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้พลังสตรีมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ผลงาน ในมิติต่างๆ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเต็มศักยภาพ ซึ่งจะเป็นกุญแจส าคัญ ในการยกระดับมาตรฐานการพัฒนาสตรีให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ในโอกาสนี้ ผมขอแสดงความชื่นชมและยินดีต่อสุภาพสตรีและผู้เข้าร่วม การประชุมทุกท่าน และขอขอบคุณคณะกรรมการจัดงานทุกท่าน ที่ร่วมกันจัดงาน และเป็นเจ้าภาพที่ดีในการจัดประชุมสุดยอดผู้น าสตรีโลก ซึ่งถือเป็นเวทีส าคัญในการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และส่งเสริมบทบาทสตรีในการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน ผมขอเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ผู้หญิงกับการสร้างโอกาสในความจริงมิติใหม่” ขออวยพรให้การประชุมบรรลุผลส าเร็จ ทุกประการ และหวังว่าทุกฝ่ายทุกภาคส่วนจะร่วมกันน าผลจากการประชุมในครั้งนี้ ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบทบาทสตรีและสังคมของประเทศและของโลกต่อไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56062
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กำชับเร่งนำผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กําชับเร่งนําผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กําชับเร่งนําผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น วันที่ 2 กรกรฎาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความห่วงใย และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และติดตามรายงานการป่วยและศักยภาพการรักษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งพบว่ามีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในบางวันมีตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคัดกรองเชิงรุกในแต่ละคลัสเตอร์ และในแต่ละพื้นที่เสี่ยง เพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อเข้าออกจากกลุ่มก้อนและชุมชนให้เร็วและมากที่สุด นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งนําผู้ป่วยในทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลให้เร็วที่สุด โดยทุกส่วนราชการเข้ามามีส่วนร่วมช่วยงานสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และขอให้ประชาชนร่วมมือตามมาตรการที่ศบค. กําหนดที่ได้ประกาศให้ประชาชนทราบในแต่ละช่วง เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ในระดับเข้มข้นสูงสุด และขอให้ประชาชนยังคงใช้ชีวิตแบบ New normal คือ D-M-H-T-T คือ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ สแกนไทยชนะ รวมทั้ง ช่วยกันป้องกัน ดูแล และรักษาสุขภาพร่างกาย จิตใจให้แข็งแรง ป้องกันตนเอง ดูแลสมาชิกในครอบครัว ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายอนุชา ฯ กล่าวถึงกรณีการประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 นั้น แต่ละหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้มีการประสานเพิ่มเติมเรื่องเตียงสนามเพื่อรับผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาตามระดับเกณฑ์สีต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมถึงการส่งผู้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งได้มีการขยายจํานวนเตียงเพิ่มเติมเพื่อรองรับผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลืองและสีแดง นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือประชาชนหลีกเลี่ยงการชุมนุมและยืนยันรัฐบาล ติดตามและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตลอดเวลา ดูแลทุกกลุ่ม และพร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเรียกร้อง ซึ่งสามารถเสนอมายังรัฐบาลผ่านช่องทางต่างๆ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนเข้าถึงได้ อย่างสะดวก -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กำชับเร่งนำผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กําชับเร่งนําผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กําชับเร่งนําผู้ป่วยทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงขึ้น วันที่ 2 กรกรฎาคม 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความห่วงใย และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และติดตามรายงานการป่วยและศักยภาพการรักษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งพบว่ามีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในบางวันมีตัวเลขผู้ป่วยสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคัดกรองเชิงรุกในแต่ละคลัสเตอร์ และในแต่ละพื้นที่เสี่ยง เพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อเข้าออกจากกลุ่มก้อนและชุมชนให้เร็วและมากที่สุด นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งนําผู้ป่วยในทุกระดับสีเข้ารับการรักษาพยาบาลให้เร็วที่สุด โดยทุกส่วนราชการเข้ามามีส่วนร่วมช่วยงานสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และขอให้ประชาชนร่วมมือตามมาตรการที่ศบค. กําหนดที่ได้ประกาศให้ประชาชนทราบในแต่ละช่วง เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ในระดับเข้มข้นสูงสุด และขอให้ประชาชนยังคงใช้ชีวิตแบบ New normal คือ D-M-H-T-T คือ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ สแกนไทยชนะ รวมทั้ง ช่วยกันป้องกัน ดูแล และรักษาสุขภาพร่างกาย จิตใจให้แข็งแรง ป้องกันตนเอง ดูแลสมาชิกในครอบครัว ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายอนุชา ฯ กล่าวถึงกรณีการประสานหาเตียงให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 นั้น แต่ละหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้มีการประสานเพิ่มเติมเรื่องเตียงสนามเพื่อรับผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาตามระดับเกณฑ์สีต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมถึงการส่งผู้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งได้มีการขยายจํานวนเตียงเพิ่มเติมเพื่อรองรับผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลืองและสีแดง นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือประชาชนหลีกเลี่ยงการชุมนุมและยืนยันรัฐบาล ติดตามและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตลอดเวลา ดูแลทุกกลุ่ม และพร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเรียกร้อง ซึ่งสามารถเสนอมายังรัฐบาลผ่านช่องทางต่างๆ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนเข้าถึงได้ อย่างสะดวก -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM to attend ASEM 13 via videoconference
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 PM to attend ASEM 13 via videoconference PM to attend ASEM 13 via videoconference Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is scheduled to attend the 13thAsia-EuropeMeeting(ASEM 13)via a teleconferenceduringNovember 25-26, 2021. ASEM 13 will be held under the theme “Strengthening Multilateralism for Shared Growth”, and is hosted by Cambodia.The Prime Minister will attend ASEM 13 not only astheleader ofThailand but alsoas theASEAN Coordinatorfor 2021-2022.He will deliverstatementsinbothcapacities. As for the statement to be delivered on behalf of Thailand duringthe secondplenarysessionunder theme: “COVID-19, health and socio-economic recovery”, the Prime Minister will share experiences and the lesson learned to overcome the crisis toward the Next Normalera, and will proposetangible cooperation between Asia and Europe. At the Retreat Session, he will deliver a statement to point outthe importanceofchange managementfor the transition to the Next Normal. With regard tohis capacity as the ASEAN Coordinator,the Prime Minister willdeliver a statement at the opening ceremony to underscorethe importance of cooperation under multilateral frameworks, especially Asia-Europe cooperation,in coping with various global challenges.At the joint pressconference,apart from emphasizing the importance of ASEM,the Prime Minister willaffirmhis endorsement formultilateralcooperationto engageboth small and large countries to cope with global challenges. The Asia–Europe Meeting (ASEM) is an Asian–European political dialogue forum to enhance relations and various forms of cooperation between its partners.The main components of the ASEM Process rest on the following 3 pillars:1)Political Pillar, 2)Economic & Financial Pillar, and 3)Social, Cultural & Educational Pillar.Thailand is one of ASEM’s founding members, and wasthehost of the1st ASEM Summit (ASEM1)in 1996. ASEM 13’s schedule is as follows: 25/11/2021 15:00​​ Group photo 15:05​​ Opening session -Welcoming video presentation -Opening Statement (Prime Minister of Cambodia), and Statement by Regional Coordinators (president ofthe European Union (EU), president ofthe European Commission,Prime Ministers ofRussia, Slovenia, and Thailand) 15:35​​ Session with stakeholders (representatives from side events) 15:50​​ First plenary session: ASEM's role in promoting multilateralism 26/11/2021 15:00 Second plenary session: COVID-19 and socio-economic recoveryand development 17:15​​ Retreat session: ASEM issues / international and regional issues 18:45​​ Adoption of outcome documents 18:50​​ Closing session 19:00​ Joint press conference(Prime Minister of Cambodia,president of the European Union (EU), president of the European Commission, Prime Ministers of Russia, Slovenia, and Thailand)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM to attend ASEM 13 via videoconference วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 PM to attend ASEM 13 via videoconference PM to attend ASEM 13 via videoconference Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha is scheduled to attend the 13thAsia-EuropeMeeting(ASEM 13)via a teleconferenceduringNovember 25-26, 2021. ASEM 13 will be held under the theme “Strengthening Multilateralism for Shared Growth”, and is hosted by Cambodia.The Prime Minister will attend ASEM 13 not only astheleader ofThailand but alsoas theASEAN Coordinatorfor 2021-2022.He will deliverstatementsinbothcapacities. As for the statement to be delivered on behalf of Thailand duringthe secondplenarysessionunder theme: “COVID-19, health and socio-economic recovery”, the Prime Minister will share experiences and the lesson learned to overcome the crisis toward the Next Normalera, and will proposetangible cooperation between Asia and Europe. At the Retreat Session, he will deliver a statement to point outthe importanceofchange managementfor the transition to the Next Normal. With regard tohis capacity as the ASEAN Coordinator,the Prime Minister willdeliver a statement at the opening ceremony to underscorethe importance of cooperation under multilateral frameworks, especially Asia-Europe cooperation,in coping with various global challenges.At the joint pressconference,apart from emphasizing the importance of ASEM,the Prime Minister willaffirmhis endorsement formultilateralcooperationto engageboth small and large countries to cope with global challenges. The Asia–Europe Meeting (ASEM) is an Asian–European political dialogue forum to enhance relations and various forms of cooperation between its partners.The main components of the ASEM Process rest on the following 3 pillars:1)Political Pillar, 2)Economic & Financial Pillar, and 3)Social, Cultural & Educational Pillar.Thailand is one of ASEM’s founding members, and wasthehost of the1st ASEM Summit (ASEM1)in 1996. ASEM 13’s schedule is as follows: 25/11/2021 15:00​​ Group photo 15:05​​ Opening session -Welcoming video presentation -Opening Statement (Prime Minister of Cambodia), and Statement by Regional Coordinators (president ofthe European Union (EU), president ofthe European Commission,Prime Ministers ofRussia, Slovenia, and Thailand) 15:35​​ Session with stakeholders (representatives from side events) 15:50​​ First plenary session: ASEM's role in promoting multilateralism 26/11/2021 15:00 Second plenary session: COVID-19 and socio-economic recoveryand development 17:15​​ Retreat session: ASEM issues / international and regional issues 18:45​​ Adoption of outcome documents 18:50​​ Closing session 19:00​ Joint press conference(Prime Minister of Cambodia,president of the European Union (EU), president of the European Commission, Prime Ministers of Russia, Slovenia, and Thailand)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ ​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ ย้ําหากพบสุกรป่วยตายผิดปกติรีบแจ้งจนท.ปศุสัตว์ตรวจสอบทันที ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีตรวจพบเชื้อโรค African Swine Fever หรือ ASF ในสุกร (อหิวาต์แอฟริกาในสุกร) จากการเก็บตัวอย่างจากพื้นผิวสัมผัส (surface swab) ที่โรงฆ่าแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ว่า กรณีนี้ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงการปฏิบัติงานโดยละเอียดตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน และเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการมาตรการตามมาตรการป้องกันโรค ASF มาอย่างต่อเนื่อง ทําให้ประเทศไทยสามารถปลอดเชื้อ ASF มานานกว่า 3 ปี ในขณะที่ประเทศอื่นพบว่ามีการระบาดหนัก “ขอย้ําว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราป้องกันอย่างดีที่สุด เพราะหากเราไม่ดําเนินการป้องกันแต่แรก จะเกิดการระบาดทั้งประเทศมากกว่านี้ แต่เมื่อมีการตรวจพบเชื้อ ก็ได้เรียกประชุมด่วนและไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกรมปศุสัตว์จะแจ้งไปยังองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ Office International des Epizooties; OIE) ต่อไป และขอยืนยันอีกครั้งว่าเราไม่ได้ปกปิด เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่ปิดบัง ไม่มีใครอยากให้พี่น้องประชาชนบริโภคหมูแพง ไม่อยากให้ผู้เลี้ยงหมูขาดทุน แต่เมื่อมีจุดที่บกพร่อง ต้องดําเนินการตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้กําลังให้กรมปศุสัตว์สรุปตัวเลข ข้อมูลเบื้องต้นได้รับรายงานว่าหมูหายไป 13% จึงมีมาตรการระยะสั้นห้ามส่งออกในช่วงเวลานี้ อีกทั้งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีอธิบดีกรมปศุสัตว์ระบุว่าไม่เคยรับหนังสือรายงานการพบเชื้อ ASF เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏชัด” ดร.เฉลิมชัย กล่าว รมว.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลางรายการสํารองจ่ายกรณีฉุกเฉินที่ผ่านมานั้น ได้นําไปดําเนินการในเรื่องของเครื่องมือป้องกันและทําลายเชื้อโรค ย่าฆ่าเชื้อ รวมถึงเบี้ยเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดตรวจ สําหรับเงินชดเชยเยียวยาของสุกรที่อยู่ในข่ายที่มีความเสี่ยงของการติดโรค จะดําเนินการทําลายก่อนเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค โดยกระทรวงเกษตรฯ จะจ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรรายเล็กและรายย่อย เนื่องจากเป็นการดูแลผู้เลี้ยงสุกรที่ต้นทุนน้อย และไม่มีความพร้อมในการดูแลฟาร์ม ท้ายนี้ ขอความร่วมมือพี่น้องผู้เลี้ยงสุกรในการดําเนินการตามมาตรการควบคุมโรคของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมโรคให้สงบได้โดยเร็ว หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัย หรือพบสุกรป่วยตายผิดปกติ หรือสัตว์ป่วยตายผิดปกติ หรือต้องการความช่วยเหลือจากกรมปศุสัตว์ สามารถแจ้งกรมปศุสัตว์ได้ที่สํานักงานปศุสัตว์อําเภอหรือสํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 06-3225 -6888 หรือแอพพลิเคชั่น DLD 4.0 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ ​“รมว.เฉลิมชัย” สั่งกรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบ ย้ําหากพบสุกรป่วยตายผิดปกติรีบแจ้งจนท.ปศุสัตว์ตรวจสอบทันที ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีตรวจพบเชื้อโรค African Swine Fever หรือ ASF ในสุกร (อหิวาต์แอฟริกาในสุกร) จากการเก็บตัวอย่างจากพื้นผิวสัมผัส (surface swab) ที่โรงฆ่าแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ว่า กรณีนี้ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์รายงานข้อเท็จจริงการปฏิบัติงานโดยละเอียดตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน และเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการมาตรการตามมาตรการป้องกันโรค ASF มาอย่างต่อเนื่อง ทําให้ประเทศไทยสามารถปลอดเชื้อ ASF มานานกว่า 3 ปี ในขณะที่ประเทศอื่นพบว่ามีการระบาดหนัก “ขอย้ําว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราป้องกันอย่างดีที่สุด เพราะหากเราไม่ดําเนินการป้องกันแต่แรก จะเกิดการระบาดทั้งประเทศมากกว่านี้ แต่เมื่อมีการตรวจพบเชื้อ ก็ได้เรียกประชุมด่วนและไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกรมปศุสัตว์จะแจ้งไปยังองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ Office International des Epizooties; OIE) ต่อไป และขอยืนยันอีกครั้งว่าเราไม่ได้ปกปิด เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่ปิดบัง ไม่มีใครอยากให้พี่น้องประชาชนบริโภคหมูแพง ไม่อยากให้ผู้เลี้ยงหมูขาดทุน แต่เมื่อมีจุดที่บกพร่อง ต้องดําเนินการตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะนี้กําลังให้กรมปศุสัตว์สรุปตัวเลข ข้อมูลเบื้องต้นได้รับรายงานว่าหมูหายไป 13% จึงมีมาตรการระยะสั้นห้ามส่งออกในช่วงเวลานี้ อีกทั้งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีอธิบดีกรมปศุสัตว์ระบุว่าไม่เคยรับหนังสือรายงานการพบเชื้อ ASF เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏชัด” ดร.เฉลิมชัย กล่าว รมว.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบกลางรายการสํารองจ่ายกรณีฉุกเฉินที่ผ่านมานั้น ได้นําไปดําเนินการในเรื่องของเครื่องมือป้องกันและทําลายเชื้อโรค ย่าฆ่าเชื้อ รวมถึงเบี้ยเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดตรวจ สําหรับเงินชดเชยเยียวยาของสุกรที่อยู่ในข่ายที่มีความเสี่ยงของการติดโรค จะดําเนินการทําลายก่อนเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค โดยกระทรวงเกษตรฯ จะจ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกรรายเล็กและรายย่อย เนื่องจากเป็นการดูแลผู้เลี้ยงสุกรที่ต้นทุนน้อย และไม่มีความพร้อมในการดูแลฟาร์ม ท้ายนี้ ขอความร่วมมือพี่น้องผู้เลี้ยงสุกรในการดําเนินการตามมาตรการควบคุมโรคของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมโรคให้สงบได้โดยเร็ว หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัย หรือพบสุกรป่วยตายผิดปกติ หรือสัตว์ป่วยตายผิดปกติ หรือต้องการความช่วยเหลือจากกรมปศุสัตว์ สามารถแจ้งกรมปศุสัตว์ได้ที่สํานักงานปศุสัตว์อําเภอหรือสํานักงานปศุสัตว์จังหวัดทั่วประเทศ หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 06-3225 -6888 หรือแอพพลิเคชั่น DLD 4.0 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท พร้อมมอบเงินเยียวยากว่า 1.4 ล้านบาท ชวนมาร่วมงานจะไม่ถูกฟ้อง-ยึดทรัพย์ ได้รอยยิ้มกลับไปสร้างอาชีพใหม่ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่โรงแรม ณ เวลา จ.ราชบุรี มีการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน และยุติธรรมพบประชาชน จ.ราชบุรี โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายอุดม เพชรคุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกอบจ.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พันตํารวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นางสุจิตรา แก้วไกร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผอ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และประชาชนร่วมงานจํานวนมากจนแน่นงาน โดยก่อนเข้างานมีการคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มงวด นายสมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า ตนดีใจที่ได้เดินทางมาเป็นประธานในงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน และยุติธรรมพบประชาชน ครั้งที่ 25 มีเป้าหมายประชาชนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ 3,912 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 366 ล้านบาท โดยงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน 24 ครั้งที่ผ่านมา ไกล่เกลี่ยสําเร็จ 18,374 ราย ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 1,505 ล้านบาท และเรายังมีศูนย์ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องทั่วประเทศ 910 แห่ง ผู้ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง 3,176 คน สํานักงานบังคับคดีช่วยไกล่เกลี่ยหลังฟ้อง 117 แห่งทั่วประเทศ ตนรู้สึกชื่นใจมากที่ในส่วนราชการได้เอาจริงเอาจัง ทําให้ช่วยเหลือประชาชนได้จํานวนมาก ขอบคุณหน่วยราชการที่ช่วยติดตาม ไม่เสียแรงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและเร่งให้เราดําเนินการ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนที่เข้ามาสู่กระบวนการตรงนี้จะไม่ถูกฟ้องและไม่ถูกยึดทรัพย์ และจะโล่งใจและมีรอยยิ้มกลับไป มีสติประกอบอาชีพใหม่ นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรม ยังมีกองทุนยุติธรรมที่ช่วยเหลือประชาชน ทั้งการให้คําปรึกษาทางคดี ช่วยเรื่องทนายความ โดยปีนี้ช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว 1,182 ราย เป็นเงิน 190 ล้านบาท และยังมีเงินเยียวยา ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาซึ่งเราช่วยไปแล้ว 5,377 คน เป็นเงิน 275 ล้านบาท จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้มอบเงินเยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาญา 21 ราย รวมเป็นเงิน 1,420,000 บาทและมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน 12 ศูนย์ และร่วมการไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง รายแรกเป็นหนี้ก่อนฟ้อง กยศ. เหลือ 140,000 บาท ลดให้เหลือ 94,944 บาท ผ่อน 570 ต่องวดเป็นเวลา 15 ปี อีกรายเป็นหนี้หลังศาลมีคําพิพากษา ของธนาคารออมสิน 150,000 บาท ส่งไปแล้วเหลือหนี้ 65,000 บาทลดเหลือ 40,000 บาท ส่งเดือนละ 1,000 บาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แก้หนี้เมืองโอ่งมังกร คนแห่ร่วมงานแน่น สาวเฮได้ลดยอดผ่อน 15 ปีงวดละ 570 บาท พร้อมมอบเงินเยียวยากว่า 1.4 ล้านบาท ชวนมาร่วมงานจะไม่ถูกฟ้อง-ยึดทรัพย์ ได้รอยยิ้มกลับไปสร้างอาชีพใหม่ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่โรงแรม ณ เวลา จ.ราชบุรี มีการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน และยุติธรรมพบประชาชน จ.ราชบุรี โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายอุดม เพชรคุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกอบจ.ราชบุรี นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พันตํารวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นางสุจิตรา แก้วไกร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผอ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม และประชาชนร่วมงานจํานวนมากจนแน่นงาน โดยก่อนเข้างานมีการคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มงวด นายสมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า ตนดีใจที่ได้เดินทางมาเป็นประธานในงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน และยุติธรรมพบประชาชน ครั้งที่ 25 มีเป้าหมายประชาชนที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ 3,912 ราย ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 366 ล้านบาท โดยงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน 24 ครั้งที่ผ่านมา ไกล่เกลี่ยสําเร็จ 18,374 ราย ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 1,505 ล้านบาท และเรายังมีศูนย์ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องทั่วประเทศ 910 แห่ง ผู้ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง 3,176 คน สํานักงานบังคับคดีช่วยไกล่เกลี่ยหลังฟ้อง 117 แห่งทั่วประเทศ ตนรู้สึกชื่นใจมากที่ในส่วนราชการได้เอาจริงเอาจัง ทําให้ช่วยเหลือประชาชนได้จํานวนมาก ขอบคุณหน่วยราชการที่ช่วยติดตาม ไม่เสียแรงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและเร่งให้เราดําเนินการ นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนที่เข้ามาสู่กระบวนการตรงนี้จะไม่ถูกฟ้องและไม่ถูกยึดทรัพย์ และจะโล่งใจและมีรอยยิ้มกลับไป มีสติประกอบอาชีพใหม่ นอกจากนี้กระทรวงยุติธรรม ยังมีกองทุนยุติธรรมที่ช่วยเหลือประชาชน ทั้งการให้คําปรึกษาทางคดี ช่วยเรื่องทนายความ โดยปีนี้ช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว 1,182 ราย เป็นเงิน 190 ล้านบาท และยังมีเงินเยียวยา ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาซึ่งเราช่วยไปแล้ว 5,377 คน เป็นเงิน 275 ล้านบาท จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้มอบเงินเยียวยาผู้เสียหายจากคดีอาญา 21 ราย รวมเป็นเงิน 1,420,000 บาทและมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน 12 ศูนย์ และร่วมการไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง รายแรกเป็นหนี้ก่อนฟ้อง กยศ. เหลือ 140,000 บาท ลดให้เหลือ 94,944 บาท ผ่อน 570 ต่องวดเป็นเวลา 15 ปี อีกรายเป็นหนี้หลังศาลมีคําพิพากษา ของธนาคารออมสิน 150,000 บาท ส่งไปแล้วเหลือหนี้ 65,000 บาทลดเหลือ 40,000 บาท ส่งเดือนละ 1,000 บาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55822
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทำความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์"
วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์" โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์" วันนี้ 23 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ให้เกียรติกับ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนจนทนกันไม่ได้ ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างแน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศโดยได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล และจนถึงขณะนี้ท่านนายกฯ ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างดี นายประเสริฐไม่ควรคิดเองเออเองว่าพรรคการเมืองอื่นจะเหมือนกับพรรคตัวเอง ที่กว่าจะเข้าร่องเข้ารอย ก็ต้องไปเชิญทายาทของอดีตผู้ก่อตั้งพรรคมารับตําแหน่งในพรรค ศึกภายในถึงสงบลงได้ ส่วนกรณีที่นายประเสริฐระบุว่า อย่าหางูเห่าจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่เป็นวิธีทําลายระบบประชาธิปไตยนั้น นายธนกร กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยสั่งการใดๆ นอกจากมุ่งทํางานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน มีแต่ ส.ส.ฝ่ายค้านเองที่เริ่มมองเห็นความมุ่งมั่นของท่านนายกฯ แล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุน ที่สําคัญ คงต้องย้อนถามกลับไปยังนายประเสริฐว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านให้เกียรติกับ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในพรรคตัวเองขนาดไหน ส.ส.เหล่านั้นจึงทนกันไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายจะลงมติขับเขาออกจากพรรคแบบไม่สนใจใยดี ทั้งๆ ที่ก็เป็นตัวแทนของประชาชนไม่ต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่จะว่าใคร ทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อน ไม่ใช่ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทำความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์" วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์" โฆษกรัฐบาลสวน "ประเสริฐ" ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง ย้อนทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อนจะว่าคนอื่น ลั่น ส.ส.รัฐบาลยังหนุน "พล.อ.ประยุทธ์" วันนี้ 23 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ให้เกียรติกับ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนจนทนกันไม่ได้ ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างแน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศโดยได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล และจนถึงขณะนี้ท่านนายกฯ ก็ยังได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเป็นอย่างดี นายประเสริฐไม่ควรคิดเองเออเองว่าพรรคการเมืองอื่นจะเหมือนกับพรรคตัวเอง ที่กว่าจะเข้าร่องเข้ารอย ก็ต้องไปเชิญทายาทของอดีตผู้ก่อตั้งพรรคมารับตําแหน่งในพรรค ศึกภายในถึงสงบลงได้ ส่วนกรณีที่นายประเสริฐระบุว่า อย่าหางูเห่าจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่เป็นวิธีทําลายระบบประชาธิปไตยนั้น นายธนกร กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยสั่งการใดๆ นอกจากมุ่งทํางานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน มีแต่ ส.ส.ฝ่ายค้านเองที่เริ่มมองเห็นความมุ่งมั่นของท่านนายกฯ แล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุน ที่สําคัญ คงต้องย้อนถามกลับไปยังนายประเสริฐว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านให้เกียรติกับ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนในพรรคตัวเองขนาดไหน ส.ส.เหล่านั้นจึงทนกันไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายจะลงมติขับเขาออกจากพรรคแบบไม่สนใจใยดี ทั้งๆ ที่ก็เป็นตัวแทนของประชาชนไม่ต่างกัน ดังนั้น ก่อนที่จะว่าใคร ทําความสะอาดบ้านตัวเองให้ดีก่อน ไม่ใช่ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50790
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal วันนี้(9มิ.ย. 65)พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี“บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่21”ณตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาลเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่าง12กระทรวงในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยเพิ่มทักษะและความรู้พร้อมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงฝ่ากระแสยุคNext Normal นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือนี้มีกําหนดระยะเวลาความร่วมมือระหว่างปี2565 – 2570โดยกระทรวงที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือประกอบด้วยกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงมหาดไทยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงยุติธรรมกระทรวงแรงงานและกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้เป็นนโยบายความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่21อย่างมีคุณภาพตามหลักกลยุทธ์4 Hได้แก่เก่ง(Head)ดี(Heart)มีทักษะ(Hand)และแข็งแรง(Health)ภายใต้การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน(Home)มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายในระดับเด็กและเยาวชนอายุ6- 25ปีโดยครอบคลุมถึงเด็กกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาส “หนึ่งในวัตถุประสงค์สําคัญของการทํางานร่วมกันระหว่าง12กระทรวงฯตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ก็คือเพื่อพัฒนาให้เด็กไทยได้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการมีความรู้และทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่21อย่างครอบคลุมและครบวงจรทั้งทักษะคิดวิเคราะห์ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อกับวิถีโลกการทํางานรวมถึงส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนมีความเข้มแข็งและมีความพร้อมในการเข้ามามีส่วนร่วมหรือมีบทบาทในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้วิถีชีวิตต่อไป(Next Normal)”นายชัยวุฒิกล่าว นายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งขาติ(สดช.)กล่าวว่าขอบเขตบทบาทการทํางานของกระทรวงดิจิทัลฯและหน่วยงานในสังกัดจะมุ่งที่2ภารกิจหลักได้แก่1.พัฒนาศักยภาพสร้างความตระหนักรู้และยกระดับทักษะด้านดิจิทัลให้กับประชาชนทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมรวมถึงผู้สูงวัยและผู้พิการและ2.ส่งเสริมสนับสนุนดําเนินการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเด็กวัยเรียนเยาวชนให้คนรุ่นใหม่รู้ทันภัยข่าวปลอม(Anti Fake news) **************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2565 “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส ร่วมลงนามเอ็มโอยู 12 กระทรวง “บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21” หนุนเป้าหมายสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ ติดปีกทักษะและความรู้ พร้อมรับวิถีชีวิตยุค Next Normal วันนี้(9มิ.ย. 65)พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี“บันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่21”ณตึกสันติไมตรีทําเนียบรัฐบาลเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่าง12กระทรวงในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยเพิ่มทักษะและความรู้พร้อมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงฝ่ากระแสยุคNext Normal นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือนี้มีกําหนดระยะเวลาความร่วมมือระหว่างปี2565 – 2570โดยกระทรวงที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือประกอบด้วยกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงมหาดไทยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงยุติธรรมกระทรวงแรงงานและกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้เป็นนโยบายความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่21อย่างมีคุณภาพตามหลักกลยุทธ์4 Hได้แก่เก่ง(Head)ดี(Heart)มีทักษะ(Hand)และแข็งแรง(Health)ภายใต้การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน(Home)มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายในระดับเด็กและเยาวชนอายุ6- 25ปีโดยครอบคลุมถึงเด็กกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาส “หนึ่งในวัตถุประสงค์สําคัญของการทํางานร่วมกันระหว่าง12กระทรวงฯตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ก็คือเพื่อพัฒนาให้เด็กไทยได้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการมีความรู้และทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่21อย่างครอบคลุมและครบวงจรทั้งทักษะคิดวิเคราะห์ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อกับวิถีโลกการทํางานรวมถึงส่งเสริมให้ครอบครัวและชุมชนมีความเข้มแข็งและมีความพร้อมในการเข้ามามีส่วนร่วมหรือมีบทบาทในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้วิถีชีวิตต่อไป(Next Normal)”นายชัยวุฒิกล่าว นายภุชพงค์โนดไธสงเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งขาติ(สดช.)กล่าวว่าขอบเขตบทบาทการทํางานของกระทรวงดิจิทัลฯและหน่วยงานในสังกัดจะมุ่งที่2ภารกิจหลักได้แก่1.พัฒนาศักยภาพสร้างความตระหนักรู้และยกระดับทักษะด้านดิจิทัลให้กับประชาชนทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมรวมถึงผู้สูงวัยและผู้พิการและ2.ส่งเสริมสนับสนุนดําเนินการจัดกิจกรรมกับกลุ่มเด็กวัยเรียนเยาวชนให้คนรุ่นใหม่รู้ทันภัยข่าวปลอม(Anti Fake news) **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ
วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ ​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ วันนี้ (26 ตุลาคม 2564) เวลา 20.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกาฯ ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นําประเทศสมาชิกอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน เข้าร่วม โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีได้กล่าวถึงความสําคัญระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนที่มีความสําคัญมากขึ้น สหรัฐฯ สนับสนุนแนวคิด AOIP ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เห็นว่า การก้าวผ่านศตวรรษที่ 21 ต้องร่วมมือกันเพื่อสู้กับโควิด – 19 รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ร่วมกัน และการผลิตเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งหวังที่จะได้ร่วมกับอาเซียนเพื่อประโยชน์ร่วมกันต่อไป ในตอนท้าย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ ให้คํามั่นกับความสัมพันธ์ร่วมกับอาเซียน ยืนยันสนับสนุนการเป็นแกนกลางของอาเซียน ตลอดจนยืนยันที่จะมีความช่วยเหลือให้กับอาเซียนอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสนับสนุนอาเซียนให้ Build Back Better นายกรัฐมนตรียินดีที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านเป้าหมายร่วมกันคือ การสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค อาเซียนกับสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์ความร่วมมือระหว่างกันมาถึง 45 ปี ผ่านความท้าทายร่วมกันมาหลายประการ ทั้งนี้ ขอบคุณที่สหรัฐมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางความร่วมมือของอาเซียน-สหรัฐฯ ใน 3 ประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1. ความร่วมมือในการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนวัคซีนจํานวนมากให้แก่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงไทย รวมทั้งยินดีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานการผลิตวัคซีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา และการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ 2. การให้ความสําคัญกับการเติบโตสีเขียว เพื่อก้าวไปสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน หวังว่าสหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือกับอาเซียนในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนและการสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแผนการเงินระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ (U.S. International Climate Finance Plan) ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้อาเซียนบรรลุเป้าหมาย อาทิ การลดความเข้มข้นในการใช้พลังงานลงร้อยละ 32 และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ 23 ภายในปี ค.ศ. 2025 ทั้งนี้ ในส่วนของไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะ “พลิกโฉมประเทศ” ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในการฟื้นฟูจากโควิด-19 อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยไทยจะผลักดันประเด็นเศรษฐกิจ BCG ในช่วงการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี ค.ศ. 2022 ซึ่งหวังว่าจะได้ต้อนรับประธานาธิบดีไบเดนที่ประเทศไทย 3. การพัฒนาด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรียินดีที่ในวันนี้ได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นําอาเซียน-สหรัฐฯ ว่าด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัล ซึ่งจะต่อยอดไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้ GDP อาเซียนขยายตัวได้ถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2025 โดยไทยมุ่งผลักดันโครงการ “ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์” ภายใต้ EEC เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือของเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และการสร้างดิจิทัลสตาร์ทอัพในภูมิภาค ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงการทํางานร่วมกันของมหาอํานาจเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ สันติ และเอื้ออํานวยต่อการฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยหวังว่า พัฒนาการต่าง ๆ รวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ และหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก (AUKUS) จะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน และหลักการภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (AOIP)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564 ​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ ​นายกฯ ร่วมเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ครั้งที่ 9 เน้นการก้าวสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน ยึด BCG เพื่อพลิกโฉมประเทศ วันนี้ (26 ตุลาคม 2564) เวลา 20.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐอเมริกาฯ ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นําประเทศสมาชิกอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน เข้าร่วม โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีได้กล่าวถึงความสําคัญระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนที่มีความสําคัญมากขึ้น สหรัฐฯ สนับสนุนแนวคิด AOIP ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เห็นว่า การก้าวผ่านศตวรรษที่ 21 ต้องร่วมมือกันเพื่อสู้กับโควิด – 19 รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ร่วมกัน และการผลิตเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุ่งหวังที่จะได้ร่วมกับอาเซียนเพื่อประโยชน์ร่วมกันต่อไป ในตอนท้าย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ ให้คํามั่นกับความสัมพันธ์ร่วมกับอาเซียน ยืนยันสนับสนุนการเป็นแกนกลางของอาเซียน ตลอดจนยืนยันที่จะมีความช่วยเหลือให้กับอาเซียนอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสนับสนุนอาเซียนให้ Build Back Better นายกรัฐมนตรียินดีที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านเป้าหมายร่วมกันคือ การสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค อาเซียนกับสหรัฐฯ มีประวัติศาสตร์ความร่วมมือระหว่างกันมาถึง 45 ปี ผ่านความท้าทายร่วมกันมาหลายประการ ทั้งนี้ ขอบคุณที่สหรัฐมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวทางความร่วมมือของอาเซียน-สหรัฐฯ ใน 3 ประเด็นสําคัญ ได้แก่ 1. ความร่วมมือในการกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนวัคซีนจํานวนมากให้แก่ประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน รวมถึงไทย รวมทั้งยินดีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายจะขยายฐานการผลิตวัคซีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา และการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ 2. การให้ความสําคัญกับการเติบโตสีเขียว เพื่อก้าวไปสู่ “Next Normal” อย่างยั่งยืน หวังว่าสหรัฐฯ จะขยายความร่วมมือกับอาเซียนในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนและการสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแผนการเงินระหว่างประเทศด้านสภาพภูมิอากาศของสหรัฐฯ (U.S. International Climate Finance Plan) ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้อาเซียนบรรลุเป้าหมาย อาทิ การลดความเข้มข้นในการใช้พลังงานลงร้อยละ 32 และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ 23 ภายในปี ค.ศ. 2025 ทั้งนี้ ในส่วนของไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะ “พลิกโฉมประเทศ” ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในการฟื้นฟูจากโควิด-19 อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยไทยจะผลักดันประเด็นเศรษฐกิจ BCG ในช่วงการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี ค.ศ. 2022 ซึ่งหวังว่าจะได้ต้อนรับประธานาธิบดีไบเดนที่ประเทศไทย 3. การพัฒนาด้านดิจิทัล นายกรัฐมนตรียินดีที่ในวันนี้ได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นําอาเซียน-สหรัฐฯ ว่าด้วยการพัฒนาด้านดิจิทัล ซึ่งจะต่อยอดไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญที่จะช่วยให้ GDP อาเซียนขยายตัวได้ถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2025 โดยไทยมุ่งผลักดันโครงการ “ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์” ภายใต้ EEC เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือของเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และการสร้างดิจิทัลสตาร์ทอัพในภูมิภาค ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงการทํางานร่วมกันของมหาอํานาจเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ สันติ และเอื้ออํานวยต่อการฟื้นตัวหลังโควิด-19 โดยหวังว่า พัฒนาการต่าง ๆ รวมถึงการจัดทํายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ และหุ้นส่วนไตรภาคีด้านความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิก (AUKUS) จะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ สนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียน และหลักการภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (AOIP)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค.
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จํานวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จํานวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.74 และเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ซึ่งหน่วยงานรับงบประมาณจะต้องดําเนินการตามขั้นตอนจัดทํางบประมาณ กล่าวคือ เดือนมีนาคม 2565 เป็นขั้นตอนการพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ เดือนเมษายน 2565 เปิดรับฟังความคิดเห็น รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็น จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 และเอกสารประกอบ เดือนพฤษภาคม 2565 เสนอร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 ให้ ครม.พิจารณาก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎกรต่อไป สําหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่ครม.อนุมัติ มีรายละเอียดดังนี้ 1.รายจ่ายประจํา จํานวน 2,396,942.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จํานวน 23,932.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.01 2.รายจ่ายลงทุน จํานวน 695,077.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จํานวน 83,144 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.59 3.รายจ่ายชําระคืนต้นเงินกู้ จํานวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ.2565 -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณปี 66 กว่า 3.18 ล้านล้านบาท ไทม์ไลน์ส่งสภาร่างพรบ.งบประมาณ พ.ค. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จํานวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จํานวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.74 และเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ซึ่งหน่วยงานรับงบประมาณจะต้องดําเนินการตามขั้นตอนจัดทํางบประมาณ กล่าวคือ เดือนมีนาคม 2565 เป็นขั้นตอนการพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณ เดือนเมษายน 2565 เปิดรับฟังความคิดเห็น รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็น จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 และเอกสารประกอบ เดือนพฤษภาคม 2565 เสนอร่างพระราชบัญญัติงประมาณฯ พ.ศ.2566 ให้ ครม.พิจารณาก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎกรต่อไป สําหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่ครม.อนุมัติ มีรายละเอียดดังนี้ 1.รายจ่ายประจํา จํานวน 2,396,942.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2565 จํานวน 23,932.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.01 2.รายจ่ายลงทุน จํานวน 695,077.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จํานวน 83,144 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.59 3.รายจ่ายชําระคืนต้นเงินกู้ จํานวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ.2565 -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ
วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ วันนี้ (12 ส.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนบุตรหลานพาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีน และวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงวันหยุดยาววันแม่แห่งชาติ ซึ่งหลายพื้นที่เปิดให้บริการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด - 19 ในกลุ่มผู้สูงอายุ สําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถ walk in ไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนฯ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกทม. (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น. และผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองวัคซีน “โมเดอร์นา” ผ่านแอปพลิเคชัน QueQ ฟรี สําหรับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ทุกสัญชาติ จํานวน 500 คน/วัน ถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อีกทั้งในส่วนพื้นที่อื่น ๆ เช่น โรบินสัน สมุทรปราการ เปิดให้บริการฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ และ โคโวแว็กส์ ให้กับประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดเดือนสิงหาคม 2565 ศูนย์ฉีดวัคซีนในสนามกีฬา อบจ.แพร่ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. หรือ สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งตั้งแต่เวลา 9.00 - 15.00 น. สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,455 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,455 รายผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 0 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,393,077 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,142 ราย หายป่วยสะสม 2,394,671 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 21,584 ราย เสียชีวิต 33 ราย เสียชีวิตสะสม 10,065 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 920 ราย .....................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" เชิญชวนบุตรหลาน พาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงหยุดยาว "วันแม่แห่งชาติ" นี้ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่าง ๆ วันนี้ (12 ส.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชิญชวนบุตรหลานพาคุณแม่และผู้สูงอายุ เข้ารับบริการฉีดวัคซีน และวัคซีนเข็มกระตุ้น ในช่วงวันหยุดยาววันแม่แห่งชาติ ซึ่งหลายพื้นที่เปิดให้บริการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด - 19 ในกลุ่มผู้สูงอายุ สําหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถ walk in ไปยังศูนย์ฉีดวัคซีนฯ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกทม. (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น. และผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองวัคซีน “โมเดอร์นา” ผ่านแอปพลิเคชัน QueQ ฟรี สําหรับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ทุกสัญชาติ จํานวน 500 คน/วัน ถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2565 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อีกทั้งในส่วนพื้นที่อื่น ๆ เช่น โรบินสัน สมุทรปราการ เปิดให้บริการฉีดวัคซีน ไฟเซอร์ และ โคโวแว็กส์ ให้กับประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดเดือนสิงหาคม 2565 ศูนย์ฉีดวัคซีนในสนามกีฬา อบจ.แพร่ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. หรือ สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งตั้งแต่เวลา 9.00 - 15.00 น. สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,455 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,455 รายผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 0 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,393,077 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,142 ราย หายป่วยสะสม 2,394,671 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 21,584 ราย เสียชีวิต 33 ราย เสียชีวิตสะสม 10,065 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 920 ราย .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำรัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กำชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2564 นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กําชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กําชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน วันนี้ (26 กันยายน 2564) เวลา 10.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ ส.ส. ลงตรวจเยี่ยมให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอําเภอศรีสําโรง จํานวน 2 จุด ได้แก่ บ้านคลองชัด หมู่ ที่ 8 ตําบลวังใหญ่ และวัดดอนจันทร์ หมู่ที่ 4 ตําบลบ้านไร่ อําเภอศรีสําโรง จังหวัดสุโขทัย ระหว่างเยี่ยมชมจุดตรวจ นายกฯ ได้กล่าวสอบถาม พูดคุย พร้อมให้กําลังใจกับผู้ประสบภัยจากน้ําท่วม ขอให้ทุกคนช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ในส่วนที่เกิดความเสียหายกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งสํารวจดูแลเยียวยาความเสียหายที่ประชาชนได้รับ พร้อมกล่าวว่าวันนี้ทุกคนมาในนามรัฐบาล ในนามคณะรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือดูแลทุกคน ใครจะรักหรือไม่รัก นายกฯ ไม่สนใจ เพียงขอทําหน้าที่ให้ดีที่สุด สุดความสามารถ ฝากความห่วงใย ขอให้ประชาชนระมัดระวังสัตว์มีพิษที่ตามมาจากสถานการณ์น้ําท่วมด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางต่อไปยังวัดบ้านซ่าน ตําบลบ้านซ่าน อําเภอศรีสําโรง เพื่อสักการะหลวงพ่อสามพี่น้อง และหลวงพ่อขาว ก่อนจะรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดสุโขทัยจากส่วนราชการ .............................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำรัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กำชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน 2564 นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กําชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรี ส.ส. ลงพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย กําชับส่วนราชการเร่งเยียวยาประชาชน วันนี้ (26 กันยายน 2564) เวลา 10.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ ส.ส. ลงตรวจเยี่ยมให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยอําเภอศรีสําโรง จํานวน 2 จุด ได้แก่ บ้านคลองชัด หมู่ ที่ 8 ตําบลวังใหญ่ และวัดดอนจันทร์ หมู่ที่ 4 ตําบลบ้านไร่ อําเภอศรีสําโรง จังหวัดสุโขทัย ระหว่างเยี่ยมชมจุดตรวจ นายกฯ ได้กล่าวสอบถาม พูดคุย พร้อมให้กําลังใจกับผู้ประสบภัยจากน้ําท่วม ขอให้ทุกคนช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ในส่วนที่เกิดความเสียหายกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งสํารวจดูแลเยียวยาความเสียหายที่ประชาชนได้รับ พร้อมกล่าวว่าวันนี้ทุกคนมาในนามรัฐบาล ในนามคณะรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือดูแลทุกคน ใครจะรักหรือไม่รัก นายกฯ ไม่สนใจ เพียงขอทําหน้าที่ให้ดีที่สุด สุดความสามารถ ฝากความห่วงใย ขอให้ประชาชนระมัดระวังสัตว์มีพิษที่ตามมาจากสถานการณ์น้ําท่วมด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางต่อไปยังวัดบ้านซ่าน ตําบลบ้านซ่าน อําเภอศรีสําโรง เพื่อสักการะหลวงพ่อสามพี่น้อง และหลวงพ่อขาว ก่อนจะรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดสุโขทัยจากส่วนราชการ .............................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ส่งทีมลงพื้นที่กิ่งแก้ว – บางพลี มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบเหตุระเบิดและไฟไหม้โรงงาน พร้อมออกมาตรการลดดอกเบี้ย – พักชำระ เยียวยาลูกค้า
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 ออมสิน ส่งทีมลงพื้นที่กิ่งแก้ว – บางพลี มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบเหตุระเบิดและไฟไหม้โรงงาน พร้อมออกมาตรการลดดอกเบี้ย – พักชําระ เยียวยาลูกค้า ธนาคารออมสินลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นในการยังชีพ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 จํานวนกว่า 1,000 ชุด พร้อมด้วยน้ําดื่ม 5,000 ขวด นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากเหตุระเบิดและไฟไหม้โกดังโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกภายในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สร้างความเสียหายและผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่รัศมีโดยรอบจุดเกิดเหตุเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ประชาชนจํานวนมากต้องอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อความปลอดภัย ธนาคารออมสินมีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยกว่าพันราย ที่ขณะนี้ต้องอาศัยพักพิงชั่วคราวที่จุดอพยพทั้ง 7 แห่งของทางราชการ โดยระดมกําลังจิตอาสาสีชมพู จากธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ และธนาคารออมสินภาค 15 ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นในการยังชีพ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 จํานวนกว่า 1,000 ชุด พร้อมด้วยน้ําดื่ม 5,000 ขวด ณ ที่ทําการ อบต. บางพลีใหญ่ จ. สมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์รับความช่วยเหลือเพื่อทําการแจกจ่ายไปยังจุดอพยพเป็นการเร่งด่วนต่อไป สําหรับมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เป็นลูกค้าปัจจุบัน ธนาคารให้พักชําระเงินงวด (พักชําระเงินต้น – ลดดอกเบี้ยเป็น 0%) สําหรับสินเชื่อเคหะ และสินเชื่อไทรทอง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ส่วนผู้ที่บ้านพักอาศัยเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อซ่อมแซมต่อเติมบ้าน อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2 – 3 = 3% ต่อปี หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR -0.75% ต่อปี วงเงินให้กู้ 100% ของราคาประเมินอาคารส่วนที่จะซ่อมแซม และไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อเพื่อซื้อสิ่งของเครื่องใช้ทดแทนที่เสียหาย เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-1.25% ตลอดสัญญา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ส่งทีมลงพื้นที่กิ่งแก้ว – บางพลี มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบเหตุระเบิดและไฟไหม้โรงงาน พร้อมออกมาตรการลดดอกเบี้ย – พักชำระ เยียวยาลูกค้า วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 ออมสิน ส่งทีมลงพื้นที่กิ่งแก้ว – บางพลี มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบเหตุระเบิดและไฟไหม้โรงงาน พร้อมออกมาตรการลดดอกเบี้ย – พักชําระ เยียวยาลูกค้า ธนาคารออมสินลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นในการยังชีพ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 จํานวนกว่า 1,000 ชุด พร้อมด้วยน้ําดื่ม 5,000 ขวด นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากเหตุระเบิดและไฟไหม้โกดังโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกภายในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สร้างความเสียหายและผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง ในพื้นที่รัศมีโดยรอบจุดเกิดเหตุเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ประชาชนจํานวนมากต้องอพยพออกนอกพื้นที่เพื่อความปลอดภัย ธนาคารออมสินมีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยกว่าพันราย ที่ขณะนี้ต้องอาศัยพักพิงชั่วคราวที่จุดอพยพทั้ง 7 แห่งของทางราชการ โดยระดมกําลังจิตอาสาสีชมพู จากธนาคารออมสิน สํานักงานใหญ่ และธนาคารออมสินภาค 15 ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นในการยังชีพ และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 จํานวนกว่า 1,000 ชุด พร้อมด้วยน้ําดื่ม 5,000 ขวด ณ ที่ทําการ อบต. บางพลีใหญ่ จ. สมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์รับความช่วยเหลือเพื่อทําการแจกจ่ายไปยังจุดอพยพเป็นการเร่งด่วนต่อไป สําหรับมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เป็นลูกค้าปัจจุบัน ธนาคารให้พักชําระเงินงวด (พักชําระเงินต้น – ลดดอกเบี้ยเป็น 0%) สําหรับสินเชื่อเคหะ และสินเชื่อไทรทอง เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564 ส่วนผู้ที่บ้านพักอาศัยเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อซ่อมแซมต่อเติมบ้าน อัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2 – 3 = 3% ต่อปี หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR -0.75% ต่อปี วงเงินให้กู้ 100% ของราคาประเมินอาคารส่วนที่จะซ่อมแซม และไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อเพื่อซื้อสิ่งของเครื่องใช้ทดแทนที่เสียหาย เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-1.25% ตลอดสัญญา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนำข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน
วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (3 มิถุนายน 2565) เวลา 01.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณสมาชิกทุกคน โดยตนได้ร่วมฟังการอภิปรายมาโดยตลอด แม้บางช่วงเวลาจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจบ้าง แต่ได้เข้าร่วมเพื่อรับฟังมาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลร่างงบฯ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังอย่างเต็มที่ โดยภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ด้วยเสียงส่วนใหญ่ (จํานวนผู้ลงมติ 472 เสียง เห็นด้วย 278 เสียง ไม่เห็นด้วย 192 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 0) และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฯ ทั้งหมด 72 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณประธาน และสมาชิกฯ ที่ได้มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่รัฐบาลเสนอ และกล่าวว่าแม้การจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จะอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณรายจ่ายที่มีอยู่อย่างจํากัด รัฐบาลยืนยันให้ความสําคัญกับประชาชน และผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ โดยร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้ มีความต่อเนื่องจากงบประมาณปี พ.ศ. 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังจากภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติโดยการสร้างโอกาส ความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ํา เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ รวมทั้งสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ นายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้มีการอภิปรายไว้ใช้ประกอบในการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามที่มุ่งหวังไว้ทุกประการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนำข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน โฆษกรัฐบาลเผย ภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 นายกฯ ขอบคุณประธานและสมาชิกสภาฯ พร้อมจะนําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อประชาชน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (3 มิถุนายน 2565) เวลา 01.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณสมาชิกทุกคน โดยตนได้ร่วมฟังการอภิปรายมาโดยตลอด แม้บางช่วงเวลาจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจบ้าง แต่ได้เข้าร่วมเพื่อรับฟังมาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลร่างงบฯ ด้วยความรอบคอบระมัดระวังอย่างเต็มที่ โดยภายหลังที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ด้วยเสียงส่วนใหญ่ (จํานวนผู้ลงมติ 472 เสียง เห็นด้วย 278 เสียง ไม่เห็นด้วย 192 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 0) และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฯ ทั้งหมด 72 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณประธาน และสมาชิกฯ ที่ได้มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่รัฐบาลเสนอ และกล่าวว่าแม้การจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จะอยู่ภายใต้วงเงินงบประมาณรายจ่ายที่มีอยู่อย่างจํากัด รัฐบาลยืนยันให้ความสําคัญกับประชาชน และผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ โดยร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้ มีความต่อเนื่องจากงบประมาณปี พ.ศ. 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคม ภายหลังจากภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติโดยการสร้างโอกาส ความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ํา เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ รวมทั้งสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ นายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นําข้อสังเกต และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้มีการอภิปรายไว้ใช้ประกอบในการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 อย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนตามที่มุ่งหวังไว้ทุกประการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55339
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ชง 65 โครงการสำคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564 วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และชง 59 โครงการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ประเด็น การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม หนุนสังคมไทยกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและในสถานการณ์โควิด-19 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการจัดทําโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ส่วนราชการและหน่วยงานภายใต้ วธ. เกี่ยวกับการใช้มิติทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ โดย วธ. ได้ดําเนินการจัดทําและเสนอโครงการสําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จํานวน 65 ข้อเสนอโครงการ ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในหลายด้าน อาทิ การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้เครื่องมือระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) โดยใน 65 โครงการนี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เกิดจากความต้องการในพื้นที่และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ ผ่านสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) และกลุ่มจังหวัด เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ วธ. ในฐานะเจ้าภาพหลักการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม พบว่า ขณะนี้มีหน่วยงานภาครัฐที่ให้ความสําคัญและส่งข้อเสนอโครงการสําคัญต่อการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จํานวนทั้งสิ้น 59 โครงการ รวมงบประมาณกว่า 1,291 ล้านบาท แบ่งออกเป็นโครงการที่ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมาย แผนแม่บทย่อย : คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความพร้อมในทุกมิติตามมาตรฐานและสมดุลทั้งทางด้านสติปัญญา คุณธรรมจริยธรรม มีจิตวิญญาณที่ดีเข้าใจในการปฏิบัติตนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมดีขึ้น จํานวน 39 โครงการ และเป้าหมายแผนแม่บทย่อย : สื่อในสังคมไทยมีความเข้มแข็ง สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนในสังคม ทําให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ปลอดภัยและสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น จํานวน 20 โครงการ โดยนอกจากจะพิจารณาเรื่องการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ในสภาวะที่สังคมไทยกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม แล้วยังพิจารณาจากปัจจัยแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และการส่งผลอย่างมีนัยสําคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะเสนอรายละเอียดโครงการทั้งหมดต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรี พิจารณาคัดเลือกเป็นโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ชง 65 โครงการสำคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564 วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วธ. ชง 65 โครงการสําคัญขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมปีงบประมาณ 2566 เผย โครงการเกิดจากความต้องการในพื้นที่ ผ่าน สวจ.และกลุ่มจังหวัด ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และชง 59 โครงการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ประเด็น การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม หนุนสังคมไทยกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและในสถานการณ์โควิด-19 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการการจัดทําโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ส่วนราชการและหน่วยงานภายใต้ วธ. เกี่ยวกับการใช้มิติทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ โดย วธ. ได้ดําเนินการจัดทําและเสนอโครงการสําคัญ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จํานวน 65 ข้อเสนอโครงการ ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติในหลายด้าน อาทิ การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้เครื่องมือระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) โดยใน 65 โครงการนี้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เกิดจากความต้องการในพื้นที่และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ ผ่านสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) และกลุ่มจังหวัด เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ วธ. ในฐานะเจ้าภาพหลักการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม พบว่า ขณะนี้มีหน่วยงานภาครัฐที่ให้ความสําคัญและส่งข้อเสนอโครงการสําคัญต่อการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จํานวนทั้งสิ้น 59 โครงการ รวมงบประมาณกว่า 1,291 ล้านบาท แบ่งออกเป็นโครงการที่ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมาย แผนแม่บทย่อย : คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความพร้อมในทุกมิติตามมาตรฐานและสมดุลทั้งทางด้านสติปัญญา คุณธรรมจริยธรรม มีจิตวิญญาณที่ดีเข้าใจในการปฏิบัติตนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมดีขึ้น จํานวน 39 โครงการ และเป้าหมายแผนแม่บทย่อย : สื่อในสังคมไทยมีความเข้มแข็ง สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนในสังคม ทําให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ปลอดภัยและสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น จํานวน 20 โครงการ โดยนอกจากจะพิจารณาเรื่องการปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ในสภาวะที่สังคมไทยกําลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม แล้วยังพิจารณาจากปัจจัยแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) และการส่งผลอย่างมีนัยสําคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะเสนอรายละเอียดโครงการทั้งหมดต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรี พิจารณาคัดเลือกเป็นโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ห่วงร้านอาหารนั่งดื่มสุราได้เป็นจุดแพร่เชื้อโควิด กำชับจังหวัดตรวจเข้มตามมาตรการที่กำหนด
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 “อนุทิน” ห่วงร้านอาหารนั่งดื่มสุราได้เป็นจุดแพร่เชื้อโควิด กําชับจังหวัดตรวจเข้มตามมาตรการที่กําหนด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงร้านอาหารดื่มเหล้าได้เริ่มพบการติดเชื้อโควิด เน้นย้ําคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตรวจมาตรการก่อนเปิดร้าน ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ผ่านมาตรฐาน COVID Free Setting รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงร้านอาหารดื่มเหล้าได้เริ่มพบการติดเชื้อโควิดเน้นย้ําคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตรวจมาตรการก่อนเปิดร้าน ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ผ่านมาตรฐานCOVID Free Setting ส่วนผู้ที่รอวัคซีนทางเลือก แนะนําให้มาฉีดวัคซีนของรัฐก่อนได้ เนื่องจากขณะนี้มีวัคซีน mRNA ให้บริการเช่นเดียวกัน วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเริ่มพบผู้ติดเชื้อในร้านอาหารที่นั่งดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ร้านจะต้องปฏิบัติตามมาตรการCOVID Free Setting อย่างเคร่งครัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ต้องตรวจตราร้านอาหารที่จะเปิดให้บริการ พนักงาน พ่อครัว ผู้ให้บริการ ต้องรับวัคซีนโควิด 19 รวมถึงผ่านมาตรฐาน SHA และ SHA Plus นอกจากนี้ ลูกค้าควรต้องฉีดวัคซีนด้วย หากเดินหน้าด้วยมาตรการเหล่านี้ก็จะขยายเปิดกิจการอื่นๆ ได้มากขึ้น ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 100 ล้านโดส ขณะนี้เหลือกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกไม่ถึง 10 ล้านคน ซึ่งกลุ่มหนึ่งอาจจะเข้าไม่ถึงจริง ๆ จากสภาพแวดล้อมเป็นอุปสรรค กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยเคลื่อนที่เพื่อฉีดวัคซีนเชิงรุก ส่วนกลุ่มที่รอวัคซีนที่สั่งจองซื้อไว้ แนะนําว่าหากยังไม่ได้รับวัคซีนทางเลือกให้มาฉีดวัคซีนของรัฐก่อนได้ เนื่องจากขณะนี้มีทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่ได้รับการบริจาค ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดmRNA เหมือนกัน แต่การจะฉีดวัคซีนใดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละสถานการณ์ ส่วนวัคซีนที่จองไว้อาจแสดงความจํานงบริจาคให้โรงพยาบาลนําไปฉีดต่อได้ ถือเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัย ****************************** 24 พฤศจิกายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ห่วงร้านอาหารนั่งดื่มสุราได้เป็นจุดแพร่เชื้อโควิด กำชับจังหวัดตรวจเข้มตามมาตรการที่กำหนด วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 “อนุทิน” ห่วงร้านอาหารนั่งดื่มสุราได้เป็นจุดแพร่เชื้อโควิด กําชับจังหวัดตรวจเข้มตามมาตรการที่กําหนด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงร้านอาหารดื่มเหล้าได้เริ่มพบการติดเชื้อโควิด เน้นย้ําคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตรวจมาตรการก่อนเปิดร้าน ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ผ่านมาตรฐาน COVID Free Setting รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงร้านอาหารดื่มเหล้าได้เริ่มพบการติดเชื้อโควิดเน้นย้ําคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตรวจมาตรการก่อนเปิดร้าน ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ผ่านมาตรฐานCOVID Free Setting ส่วนผู้ที่รอวัคซีนทางเลือก แนะนําให้มาฉีดวัคซีนของรัฐก่อนได้ เนื่องจากขณะนี้มีวัคซีน mRNA ให้บริการเช่นเดียวกัน วันนี้ (24 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเริ่มพบผู้ติดเชื้อในร้านอาหารที่นั่งดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ร้านจะต้องปฏิบัติตามมาตรการCOVID Free Setting อย่างเคร่งครัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ต้องตรวจตราร้านอาหารที่จะเปิดให้บริการ พนักงาน พ่อครัว ผู้ให้บริการ ต้องรับวัคซีนโควิด 19 รวมถึงผ่านมาตรฐาน SHA และ SHA Plus นอกจากนี้ ลูกค้าควรต้องฉีดวัคซีนด้วย หากเดินหน้าด้วยมาตรการเหล่านี้ก็จะขยายเปิดกิจการอื่นๆ ได้มากขึ้น ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 100 ล้านโดส ขณะนี้เหลือกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกไม่ถึง 10 ล้านคน ซึ่งกลุ่มหนึ่งอาจจะเข้าไม่ถึงจริง ๆ จากสภาพแวดล้อมเป็นอุปสรรค กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยเคลื่อนที่เพื่อฉีดวัคซีนเชิงรุก ส่วนกลุ่มที่รอวัคซีนที่สั่งจองซื้อไว้ แนะนําว่าหากยังไม่ได้รับวัคซีนทางเลือกให้มาฉีดวัคซีนของรัฐก่อนได้ เนื่องจากขณะนี้มีทั้งไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่ได้รับการบริจาค ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดmRNA เหมือนกัน แต่การจะฉีดวัคซีนใดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละสถานการณ์ ส่วนวัคซีนที่จองไว้อาจแสดงความจํานงบริจาคให้โรงพยาบาลนําไปฉีดต่อได้ ถือเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัย ****************************** 24 พฤศจิกายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังร่วมแก้ปัญหาเตียงขาด มอบพื้นที่หน่วยงานในสังกัดทำสถานที่ดูแลผู้ป่วย Covid-19
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 คลังร่วมแก้ปัญหาเตียงขาด มอบพื้นที่หน่วยงานในสังกัดทําสถานที่ดูแลผู้ป่วย Covid-19 กระทรวงการคลังขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังทุกแห่งที่มีพื้นที่ หรืออาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ เช่น อาคารศูนย์ฝึกอบรมของกรมจัดเก็บภาษี เป็นต้น พิจารณาสํารวจและดําเนินการนําพื้นที่ หรืออาคารดังกล่าว ไปใช้ร่วมสนับสนุนการทํางานด้านสาธารณส นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และข้อจํากัดด้านการจัดหาสถานพยาบาลในปัจจุบัน กระทรวงการคลังจึงได้ขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังทุกแห่งที่มีพื้นที่ หรืออาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ เช่น อาคารศูนย์ฝึกอบรมของกรมจัดเก็บภาษี เป็นต้น พิจารณาสํารวจและดําเนินการนําพื้นที่ หรืออาคารดังกล่าว ไปใช้ร่วมสนับสนุนการทํางานด้านสาธารณสุขของหน่วยงานภาครัฐ เช่น จัดเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยแบบ Home Isolation โรงพยาบาลสนามหรือพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีน เป็นต้น “ตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ประเทศกลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติให้เร็วที่สุด ผมจึงได้ขอทุกหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ในสังกัด ที่มีสถานที่ในลักษณะดังกล่าว ให้รีบดําเนินการตรวจสอบความเป็นไปได้ในการใช้อาคาร พื้นที่ หรือสถานที่ของตนในการรองรับผู้ป่วย และประสานหน่วยงานด้านสาธารณสุขเรื่องรายละเอียดในการดําเนินการต่อไป ซึ่งในเบื้องต้น ขณะนี้ กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต ได้ดําเนินการเจรจาใช้พื้นที่ของตนเป็นสถานที่รองรับคัดแยกหรือ home isolation ตามความเหมาะสมไปบ้างแล้ว” สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 02-126-5800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังร่วมแก้ปัญหาเตียงขาด มอบพื้นที่หน่วยงานในสังกัดทำสถานที่ดูแลผู้ป่วย Covid-19 วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 คลังร่วมแก้ปัญหาเตียงขาด มอบพื้นที่หน่วยงานในสังกัดทําสถานที่ดูแลผู้ป่วย Covid-19 กระทรวงการคลังขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังทุกแห่งที่มีพื้นที่ หรืออาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ เช่น อาคารศูนย์ฝึกอบรมของกรมจัดเก็บภาษี เป็นต้น พิจารณาสํารวจและดําเนินการนําพื้นที่ หรืออาคารดังกล่าว ไปใช้ร่วมสนับสนุนการทํางานด้านสาธารณส นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และข้อจํากัดด้านการจัดหาสถานพยาบาลในปัจจุบัน กระทรวงการคลังจึงได้ขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังทุกแห่งที่มีพื้นที่ หรืออาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ เช่น อาคารศูนย์ฝึกอบรมของกรมจัดเก็บภาษี เป็นต้น พิจารณาสํารวจและดําเนินการนําพื้นที่ หรืออาคารดังกล่าว ไปใช้ร่วมสนับสนุนการทํางานด้านสาธารณสุขของหน่วยงานภาครัฐ เช่น จัดเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยแบบ Home Isolation โรงพยาบาลสนามหรือพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีน เป็นต้น “ตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้ประเทศกลับมาอยู่ในสถานการณ์ปกติให้เร็วที่สุด ผมจึงได้ขอทุกหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ในสังกัด ที่มีสถานที่ในลักษณะดังกล่าว ให้รีบดําเนินการตรวจสอบความเป็นไปได้ในการใช้อาคาร พื้นที่ หรือสถานที่ของตนในการรองรับผู้ป่วย และประสานหน่วยงานด้านสาธารณสุขเรื่องรายละเอียดในการดําเนินการต่อไป ซึ่งในเบื้องต้น ขณะนี้ กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต ได้ดําเนินการเจรจาใช้พื้นที่ของตนเป็นสถานที่รองรับคัดแยกหรือ home isolation ตามความเหมาะสมไปบ้างแล้ว” สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร. 02-126-5800
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ปลื้ม ประชาชน คนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม Hua Lamphong in Your Eyes
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 การรถไฟแห่งประเทศไทย ปลื้ม ประชาชน คนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม Hua Lamphong in Your Eyes “หัวลําโพง” หรือสถานีกรุงเทพ สถานีรถไฟต้นทางที่นําพาผู้คนเดินทางเข้า - ออกสู่ปลายทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเส้นทางสายเหนือ อีสาน ตะวันออก หรือใต้ ทุกวันมาอย่างยาวนานจนเป็นภาพที่คุ้นตา “หัวลําโพง” หรือสถานีกรุงเทพ สถานีรถไฟต้นทางที่นําพาผู้คนเดินทางเข้า - ออกสู่ปลายทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเส้นทางสายเหนือ อีสาน ตะวันออก หรือใต้ ทุกวันมาอย่างยาวนานจนเป็นภาพที่คุ้นตา แต่ในแง่ประวัติศาสตร์หัวลําโพง เป็นเหมือนสถานที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรื่องของไทยที่มีมาแล้วกว่า 106 ปี ที่ยังมีบางแง่มุม ที่ผู้คนอาจยังไม่รู้จักมากนัก จึงทําให้การรถไฟฯ จัดงาน Hua Lamphong in Your Eyes ขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 - 16 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาตลอดการจัดงานทั้ง 26 วัน ได้รับความสนใจจากประชาชน คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน คู่รักและชาวต่างชาติ เข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกิจกรรมเช็คอิน 10 จุดสําคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับหัวลําโพงทั้งด้านนอกและด้านในตัวอาคาร ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ย้อนรําลึกถึงความสําคัญของสถานที่ต่างๆ ไปพร้อมกัน อาทิ อนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวง ซึ่งเป็นจุดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเปิดการเดินรถไฟหลวงในราชอาณาจักรสายแรก (เส้นทางสถานีกรุงเทพ-อยุธยา) เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 ซึ่งกลายมาเป็นวันสถาปนากิจการรถไฟจนถึงปัจจุบัน โรงแรมราชธานี ที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมสถานีรถไฟหัวลําโพงเพื่อใช้รับรองแขกที่เดินทางมายังกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงทําให้ไม่สามารถเข้าชมได้โดยทั่วไป และโถงกลางสถานี ที่เป็นศิลปะร่วมสมัยตะวันตก ออกแบบโดยนายเกอร์เบอร์ (Mr.Gerber) วิศวกรชาวเยอรมัน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2455 ลักษณะเป็นโถงกว้าง หลังคาโครงทรัสเหล็กพาดช่วงยาว 50 เมตร คลุมพื้นที่โถงทั้งหมด โดยช่วงกลางหลังคายกขึ้นเพื่อให้แสงสว่างเข้ามาอย่างเต็มที่ นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวเสริมว่า ผู้เข้าร่วมงาน Hua Lamphong in Your Eyes จะได้รับพาสสปอร์สําหรับทํากิจกรรมเช็คอิน 10 จุด ไฮไลท์ ซึ่งหลังจากทําครบจะได้รับของที่ระลึกที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อกิจกรรมในครั้งนี้ โดยจะไม่ซ้ํากันในแต่ละวัน อาทิ พวงกุญแจรถไฟชานเมืองสายสีแดง ชุดแสตมป์ที่ระลึก สเปรย์แอลกอฮอล์แบบการ์ด แก้วน้ําลายสถานีรถไฟหัวลําโพง เป็นต้น ทําให้ผู้ที่เคยมาแล้วกลับมาซ้ําหรือชักชวนครอบครัว เพื่อนมาอีก ทําให้ความตั้งใจของ รฟท. ที่อยากให้ประชาชนได้สนุกสนานไปพร้อมกับเรียนรู้คุณค่าทางประวัติศาสตร์จากสถานีหัวลําโพงซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของไทยแห่งหนึ่ง ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงกันกว้างขวาง นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรม การจัดแสดงรถจักรไอนํา การแสดงดนตรีสด ที่สร้างความสนุกสนานและเพลิดเพลินให้ผู้เข้าร่วมงานตลอดทั้งวัน รวมทั้งนิทรรศการภาพถ่าย ที่จัดประกวดขึ้นภายใต้หัวข้อ Hua lamphong Through the len ร่วมชิงเงินรางวัลมากกว่า 1 แสนบาท มีผู้สนใจเข้าร่วมประกวดถึง 7,317 ภาพ และได้ประกาศผลรางวัลไปแล้วในเดือนที่ผ่านมา ทําให้เห็นมุมมองของสถานีหัวลําโพงในด้านที่แตกต่างออกไป “รฟท. ยืนยันว่าภาพความสุขที่เกิดขึ้นในสถานีรถไฟหัวลําโพงแห่งนี้จะยังดําเนินต่อไป ทั้งจากการให้บริการ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สําหรับประชาชนที่พลาดโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจ ขอให้ติดตามกิจกรรมอื่นๆ ของการรถไฟฯ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ค ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งจะคอยประชาสัมพันธ์กิจกรรมดี ๆ เป็นประจําทุกเดือน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน” สําหรับงานที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการรวบรวมบทบันทึกประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าอีกหน้าหนึ่งของสถานีรถไฟหัวลําโพง และเป็นช่องทางการรับฟังมุมมองของประชาชนคนไทยที่มีต่อสถานีรถไฟหัวลําโพงมากขึ้น ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้สถานีหัวลําโพงต่อไปในอนาคตอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ปลื้ม ประชาชน คนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม Hua Lamphong in Your Eyes วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 การรถไฟแห่งประเทศไทย ปลื้ม ประชาชน คนรุ่นใหม่ นักท่องเที่ยว ร่วมกิจกรรม Hua Lamphong in Your Eyes “หัวลําโพง” หรือสถานีกรุงเทพ สถานีรถไฟต้นทางที่นําพาผู้คนเดินทางเข้า - ออกสู่ปลายทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเส้นทางสายเหนือ อีสาน ตะวันออก หรือใต้ ทุกวันมาอย่างยาวนานจนเป็นภาพที่คุ้นตา “หัวลําโพง” หรือสถานีกรุงเทพ สถานีรถไฟต้นทางที่นําพาผู้คนเดินทางเข้า - ออกสู่ปลายทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั้งเส้นทางสายเหนือ อีสาน ตะวันออก หรือใต้ ทุกวันมาอย่างยาวนานจนเป็นภาพที่คุ้นตา แต่ในแง่ประวัติศาสตร์หัวลําโพง เป็นเหมือนสถานที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรื่องของไทยที่มีมาแล้วกว่า 106 ปี ที่ยังมีบางแง่มุม ที่ผู้คนอาจยังไม่รู้จักมากนัก จึงทําให้การรถไฟฯ จัดงาน Hua Lamphong in Your Eyes ขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 - 16 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาตลอดการจัดงานทั้ง 26 วัน ได้รับความสนใจจากประชาชน คนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน คู่รักและชาวต่างชาติ เข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกิจกรรมเช็คอิน 10 จุดสําคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับหัวลําโพงทั้งด้านนอกและด้านในตัวอาคาร ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ย้อนรําลึกถึงความสําคัญของสถานที่ต่างๆ ไปพร้อมกัน อาทิ อนุสรณ์ปฐมฤกษ์รถไฟหลวง ซึ่งเป็นจุดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเปิดการเดินรถไฟหลวงในราชอาณาจักรสายแรก (เส้นทางสถานีกรุงเทพ-อยุธยา) เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2439 ซึ่งกลายมาเป็นวันสถาปนากิจการรถไฟจนถึงปัจจุบัน โรงแรมราชธานี ที่ถูกสร้างขึ้นพร้อมสถานีรถไฟหัวลําโพงเพื่อใช้รับรองแขกที่เดินทางมายังกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงทําให้ไม่สามารถเข้าชมได้โดยทั่วไป และโถงกลางสถานี ที่เป็นศิลปะร่วมสมัยตะวันตก ออกแบบโดยนายเกอร์เบอร์ (Mr.Gerber) วิศวกรชาวเยอรมัน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2455 ลักษณะเป็นโถงกว้าง หลังคาโครงทรัสเหล็กพาดช่วงยาว 50 เมตร คลุมพื้นที่โถงทั้งหมด โดยช่วงกลางหลังคายกขึ้นเพื่อให้แสงสว่างเข้ามาอย่างเต็มที่ นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวเสริมว่า ผู้เข้าร่วมงาน Hua Lamphong in Your Eyes จะได้รับพาสสปอร์สําหรับทํากิจกรรมเช็คอิน 10 จุด ไฮไลท์ ซึ่งหลังจากทําครบจะได้รับของที่ระลึกที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อกิจกรรมในครั้งนี้ โดยจะไม่ซ้ํากันในแต่ละวัน อาทิ พวงกุญแจรถไฟชานเมืองสายสีแดง ชุดแสตมป์ที่ระลึก สเปรย์แอลกอฮอล์แบบการ์ด แก้วน้ําลายสถานีรถไฟหัวลําโพง เป็นต้น ทําให้ผู้ที่เคยมาแล้วกลับมาซ้ําหรือชักชวนครอบครัว เพื่อนมาอีก ทําให้ความตั้งใจของ รฟท. ที่อยากให้ประชาชนได้สนุกสนานไปพร้อมกับเรียนรู้คุณค่าทางประวัติศาสตร์จากสถานีหัวลําโพงซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของไทยแห่งหนึ่ง ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงกันกว้างขวาง นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรม การจัดแสดงรถจักรไอนํา การแสดงดนตรีสด ที่สร้างความสนุกสนานและเพลิดเพลินให้ผู้เข้าร่วมงานตลอดทั้งวัน รวมทั้งนิทรรศการภาพถ่าย ที่จัดประกวดขึ้นภายใต้หัวข้อ Hua lamphong Through the len ร่วมชิงเงินรางวัลมากกว่า 1 แสนบาท มีผู้สนใจเข้าร่วมประกวดถึง 7,317 ภาพ และได้ประกาศผลรางวัลไปแล้วในเดือนที่ผ่านมา ทําให้เห็นมุมมองของสถานีหัวลําโพงในด้านที่แตกต่างออกไป “รฟท. ยืนยันว่าภาพความสุขที่เกิดขึ้นในสถานีรถไฟหัวลําโพงแห่งนี้จะยังดําเนินต่อไป ทั้งจากการให้บริการ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สําหรับประชาชนที่พลาดโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจ ขอให้ติดตามกิจกรรมอื่นๆ ของการรถไฟฯ ได้ทางเพจเฟซบุ๊ค ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งจะคอยประชาสัมพันธ์กิจกรรมดี ๆ เป็นประจําทุกเดือน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน” สําหรับงานที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการรวบรวมบทบันทึกประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าอีกหน้าหนึ่งของสถานีรถไฟหัวลําโพง และเป็นช่องทางการรับฟังมุมมองของประชาชนคนไทยที่มีต่อสถานีรถไฟหัวลําโพงมากขึ้น ตลอดจนการสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้สถานีหัวลําโพงต่อไปในอนาคตอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ำแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทำให้ APEC “เปิดกว้าง” สำหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน
วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ําแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ําแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน วันนี้ (วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564) เวลา 07.06 น. ตามเวลาประเทศไทย (หรือเท่ากับเวลา 13.06 น. ของเมืองโอ๊คแลนด์) ณ เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ภายใต้หัวข้อ “ประเด็นสําคัญการเป็นเจ้าภาพของไทยในปี 2565” (Thailand’s Priorities for APEC 2022) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของปาฐกถา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับ ABAC นิวซีแลนด์ที่จัดการประชุมครั้งนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2564 เป็นอีกปีที่ท้าท้ายเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี APEC ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของนิวซีแลนด์ และด้วยจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือ ได้พิสูจน์ว่า APEC สามารถยืนหยัดเอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ฟื้นฟูการสาธารณสุข เปิดพรมแดน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โลกที่เราอยู่อาศัย และความมั่งคั่งร่วมกัน โดยตัวอย่างความสําเร็จของ APEC คือ ความพยายามร่วมกันในการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีน และการอํานวยความสะดวกในการขนส่งวัคซีนและเวชภัณฑ์ ซึ่งในประเด็นนี้ต้องขอขอบคุณการสนับสนุนจากภาคเอกชนด้วย เวลานี้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนทัศนคติไปสู่ “ความพอดี” สร้างสังคมหลังการแพร่ระบาดที่มีความยั่งยืนและสมดุล โดยประเทศไทยได้นําโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และโมเดลนี้จะขับเคลื่อนประเด็นสําคัญในการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทย นอกจากนี้ ไทยมุ่งมั่นสานต่อการทํางานที่ผ่านมาของ APEC และเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยแปลงวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติ ผ่านปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ 3 ประการ ได้แก่ 1) การค้าและการลงทุน 2) ดิจิทัลและนวัตกรรม และ 3) ความยั่งยืนและการมีส่วนร่วม โดยการรับรองแผนปฏิบัติการของวิสัยทัศน์ปุตราจายาในคืนนี้จะเป็นความสําเร็จที่สําคัญของนิวซีแลนด์ในการแปลงวิสัยทัศน์ของผู้นํา APEC ไปสู่แผนการทํางานที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริง ในปี 2565 ประเทศไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน วาระการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยจะสอดคล้องกับเป้าหมายและการดําเนินการที่มีอยู่แล้วของ APEC แต่นําเสนอภายใต้แนวคิดแบบใหม่ โดยประเด็นสําคัญมีอยู่ 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก การอํานวยความสะดวกการค้าและการลงทุน สานต่อการเปิดตลาดผ่านการส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคี พยายามฟื้นการหารือเรื่องการจัดทําเขตการค้าเสรีในเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) หลังยุคโควิด-19 ส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล และการรับมือกับประเด็นทางการค้าใหม่ ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาธารณสุข และการพัฒนาที่ครอบคลุม ซึ่งไทยหวังว่าจะได้ทํางานอย่างแข็งขันร่วมกับภาคเอกชนในเรื่องนี้ ประการที่สอง การฟื้นฟูความเชื่อมโยง ไทยให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูการเดินทางข้ามพรมแดนที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ โดยตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ไทยได้เปิดประเทศเพื่อรับนักเดินทางทางอากาศจาก 63 ประเทศและอาณาเขต ซึ่งเขตเศรษฐกิจ APEC ส่วนใหญ่ก็รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งในประเด็นสําคัญที่ไทยจะผลักดัน ไทยจะดําเนินการตามคําแนะนําของ ABAC ในการจัดตั้งคณะทํางานด้านการเดินทางอย่างปลอดภัย เพื่อร่วมมือกันเชื่อมโยงภูมิภาคเข้าด้วยกันอีกครั้ง ประการที่สาม การส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ไทยยืนยันว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของ APEC จะครอบคลุมและยั่งยืน โดยในที่ประชุม COP26 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นําประเทศต่าง ๆ ได้ยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อนําไปสู่การสร้างความยั่งยืนและการมีสภาพภูมิอากาศที่ดี โดยไทยจะศึกษาโมเดลทางเศรษฐกิจ และการดําเนินการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึง โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งให้ความสําคัญกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วาระการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยได้สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจที่ต้องการให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งทําให้เศรษฐกิจเข้มแข็งและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมยืนยันว่า ไทยจะสานต่องานของ APEC และมอบมุมมองใหม่ต่อประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในบริบทของโลกหลังโควิด-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ำแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทำให้ APEC “เปิดกว้าง” สำหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ําแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ย้ําแนวคิด ไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน วันนี้ (วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564) เวลา 07.06 น. ตามเวลาประเทศไทย (หรือเท่ากับเวลา 13.06 น. ของเมืองโอ๊คแลนด์) ณ เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในการประชุม APEC CEO Summit ภายใต้หัวข้อ “ประเด็นสําคัญการเป็นเจ้าภาพของไทยในปี 2565” (Thailand’s Priorities for APEC 2022) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของปาฐกถา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับ ABAC นิวซีแลนด์ที่จัดการประชุมครั้งนี้ออกมาได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2564 เป็นอีกปีที่ท้าท้ายเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี APEC ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของนิวซีแลนด์ และด้วยจิตวิญญาณแห่งความร่วมมือ ได้พิสูจน์ว่า APEC สามารถยืนหยัดเอาชนะความท้าทายต่าง ๆ ฟื้นฟูการสาธารณสุข เปิดพรมแดน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน โลกที่เราอยู่อาศัย และความมั่งคั่งร่วมกัน โดยตัวอย่างความสําเร็จของ APEC คือ ความพยายามร่วมกันในการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีน และการอํานวยความสะดวกในการขนส่งวัคซีนและเวชภัณฑ์ ซึ่งในประเด็นนี้ต้องขอขอบคุณการสนับสนุนจากภาคเอกชนด้วย เวลานี้เป็นโอกาสในการเปลี่ยนทัศนคติไปสู่ “ความพอดี” สร้างสังคมหลังการแพร่ระบาดที่มีความยั่งยืนและสมดุล โดยประเทศไทยได้นําโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และโมเดลนี้จะขับเคลื่อนประเด็นสําคัญในการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทย นอกจากนี้ ไทยมุ่งมั่นสานต่อการทํางานที่ผ่านมาของ APEC และเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยแปลงวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติ ผ่านปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ 3 ประการ ได้แก่ 1) การค้าและการลงทุน 2) ดิจิทัลและนวัตกรรม และ 3) ความยั่งยืนและการมีส่วนร่วม โดยการรับรองแผนปฏิบัติการของวิสัยทัศน์ปุตราจายาในคืนนี้จะเป็นความสําเร็จที่สําคัญของนิวซีแลนด์ในการแปลงวิสัยทัศน์ของผู้นํา APEC ไปสู่แผนการทํางานที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติได้จริง ในปี 2565 ประเทศไทยมุ่งมั่นจะทําให้ APEC “เปิดกว้าง” สําหรับทุกโอกาส “เชื่อมโยง” ในทุกมิติ และ “สมดุล” ในทุกด้าน วาระการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยจะสอดคล้องกับเป้าหมายและการดําเนินการที่มีอยู่แล้วของ APEC แต่นําเสนอภายใต้แนวคิดแบบใหม่ โดยประเด็นสําคัญมีอยู่ 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก การอํานวยความสะดวกการค้าและการลงทุน สานต่อการเปิดตลาดผ่านการส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคี พยายามฟื้นการหารือเรื่องการจัดทําเขตการค้าเสรีในเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) หลังยุคโควิด-19 ส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล และการรับมือกับประเด็นทางการค้าใหม่ ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาธารณสุข และการพัฒนาที่ครอบคลุม ซึ่งไทยหวังว่าจะได้ทํางานอย่างแข็งขันร่วมกับภาคเอกชนในเรื่องนี้ ประการที่สอง การฟื้นฟูความเชื่อมโยง ไทยให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูการเดินทางข้ามพรมแดนที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ โดยตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ไทยได้เปิดประเทศเพื่อรับนักเดินทางทางอากาศจาก 63 ประเทศและอาณาเขต ซึ่งเขตเศรษฐกิจ APEC ส่วนใหญ่ก็รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งในประเด็นสําคัญที่ไทยจะผลักดัน ไทยจะดําเนินการตามคําแนะนําของ ABAC ในการจัดตั้งคณะทํางานด้านการเดินทางอย่างปลอดภัย เพื่อร่วมมือกันเชื่อมโยงภูมิภาคเข้าด้วยกันอีกครั้ง ประการที่สาม การส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ไทยยืนยันว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของ APEC จะครอบคลุมและยั่งยืน โดยในที่ประชุม COP26 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นําประเทศต่าง ๆ ได้ยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อนําไปสู่การสร้างความยั่งยืนและการมีสภาพภูมิอากาศที่ดี โดยไทยจะศึกษาโมเดลทางเศรษฐกิจ และการดําเนินการทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึง โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งให้ความสําคัญกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วาระการเป็นเจ้าภาพ APEC ของไทยได้สะท้อนข้อเรียกร้องของภาคธุรกิจที่ต้องการให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งทําให้เศรษฐกิจเข้มแข็งและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมยืนยันว่า ไทยจะสานต่องานของ APEC และมอบมุมมองใหม่ต่อประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในบริบทของโลกหลังโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" วันที่ 9 มิ.ย. 65 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" ระหว่าง 12 กระทรวง โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ร่วมลงนาม ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายการบูรณางานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) สู่เป้าหมายหลัก "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" และมุ่งพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ให้เป็นคนเก่ง ดี มีความรู้ และทักษะ คิดวิเคราะห์ รักการเรียนรู้ มีสํานึกพลเมืองดี กล้าหาญในทางจริยธรรม สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทํางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น รัฐบาล โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทําบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" ระหว่าง 12 กระทรวง รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้วิสัยทัศน์ "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" และเป้าประสงค์ "เด็กที่อยู่ในประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 มีคุณภาพชีวิตที่ดี เติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพที่ดีและอยู่สภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้" ซึ่งเป็นนโยบายความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพตามหลักกลยุทธ์ 4 H : ด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ จิตใจ (Heart) ด้านทักษะ ฝีมือ อาชีพ (Hand) และด้านสุขภาพ (Health) ภายใต้การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน (Home) นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชน รวมทั้งการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ และการส่งเสริมสวัสดิการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในการดํารงชีวิต ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ โดยมีหน้าที่ตามขอบเขตยกระดับความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับเด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงในการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพื่อบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ เป็นคนดี อีกทั้งได้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการ โดยมีความรู้และทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 อย่างครอบคลุมและครบวงจร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 รมว.พม. ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" วันที่ 9 มิ.ย. 65 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" ระหว่าง 12 กระทรวง โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ร่วมลงนาม ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายจุติ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายการบูรณางานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) สู่เป้าหมายหลัก "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" และมุ่งพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 ให้เป็นคนเก่ง ดี มีความรู้ และทักษะ คิดวิเคราะห์ รักการเรียนรู้ มีสํานึกพลเมืองดี กล้าหาญในทางจริยธรรม สามารถแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทํางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น รัฐบาล โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทําบันทึกข้อตกลงยกระดับความร่วมมือการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 พ.ศ. 2565 - 2570 "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" ระหว่าง 12 กระทรวง รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้วิสัยทัศน์ "เด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง" และเป้าประสงค์ "เด็กที่อยู่ในประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 มีคุณภาพชีวิตที่ดี เติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพที่ดีและอยู่สภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้" ซึ่งเป็นนโยบายความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพตามหลักกลยุทธ์ 4 H : ด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ จิตใจ (Heart) ด้านทักษะ ฝีมือ อาชีพ (Hand) และด้านสุขภาพ (Health) ภายใต้การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน (Home) นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชน รวมทั้งการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ และการส่งเสริมสวัสดิการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในการดํารงชีวิต ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ โดยมีหน้าที่ตามขอบเขตยกระดับความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับเด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงในการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพื่อบูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กไทยให้มีความรู้ เป็นคนดี อีกทั้งได้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาแบบบูรณาการ โดยมีความรู้และทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 อย่างครอบคลุมและครบวงจร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on August 9, 2022
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 The cabinet met on August 9, 2022 Some of the resolutions are as follows: Title: Request for approval of Government’s contingency fund for emergency (FY2022) for implementation of water resource management efficiency enhancement scheme during the rainy season of 2022, and water conservation for the 2022/2023 drought season The cabinet approved allocation of Government’s contingency fund for emergency (FY2022) for implementation of water resource management efficiency enhancement scheme during the rainy season of 2022, and water conservation for the 2022/2023 drought season, as proposed by Office of National Water Resources. Gist The approved budget will be allocated to 1,361 projects under 5 ministries and 13 agencies for 1) repairing and improving hydro constructions, 2) removing and clearing water blockage, 3) dredging canals and waterways, 4) preparing and repairing related machineries and equipment, and 5) increasing water budget for use in the drought season. These projects will be undertaken in the flood/drought-prone areas. The 5 ministries and 13 agencies to implement these 1,361 projects are: 1. Ministry of Defense (by the Royal Thai Army and Armed Forces Development Command): 32 projects for the budget framework of 23.31 million Baht 2. Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation (by Hydro Informatics Institute (Public Organization): 2 projects for the budget framework of 76.45 million Baht 3. Ministry of Agriculture and Cooperatives (by the Royal Irrigation Department and Department of Royal Rainmaking and Agricultural Aviation: 411 projects for the budget framework of 1,190.43 million Baht 4. Ministry of Natural Resources and Environment (by Water Resources Department and Department of Groundwater Resources): 139 projects for the budget framework of 432.91 million Baht 5. Ministry of Interior (by municipalities, sub-district municipalities, cities, provinces, provincial administrations, and sub-district administrations): 777 projects for the budget framework of 2,296.70 million Baht Once all the projects are completely executed, it is expected that 35,723 rai of land and 36,745 households will be benefited from an increase of water level by approx. 34.02 million cubic meters. Approx. 4.74 million tons of hyacinth/waterweeds will be gotten rid of, and 394 hydro constructions will be repaired and improved. These projects will also promote local employment and stimulate construction material business. Title: Official Thai spelling and pronunciation for “Republic of Türkiye” The cabinet acknowledged the proposal of Ministry of Foreign Affairs on the change of official name of the Republic of Turkey to “Republic of Türkiye”, and the Thai spelling and pronunciation for the country’s new official name, as approved by Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Don Pramudwinai. Gist Following an official letter submitted to the United Nations by the Republic of Türkiye, requesting the use of “Türkiye” instead of “Turkey” for all affairs, the country's name has been officially changed to Türkiye at the UN. The Embassy of the Republic of Türkiye to Thailand has also submitted request for the change of name to the Thai authority for all affairs related to bilateral relations and cooperation. Upon the request of Ministry of Foreign Affairs to deliberate spelling and pronunciation of the “Republic of Türkiye” in Thai, the Royal Society of Thailand has given its comment that the name of the country remains unchanged for the sake of public convenience and familiarity. In light of this, one can use either “สาธารณรัฐตุรกี” or “สาธารณรัฐทูร์เคีย” for “Republic of Türkiye”, and either “ตุรกี” or “ทูร์เคีย” for “Türkiye”, as appropriate. Title: Draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) The cabinet approved the draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027). Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Ministry of Foreign Fffairs may proceed without having to resubmit to the cabinet. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. Gist The draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) covers cooperation in 5 areas, namely, 1) trade: to increase bilateral trade value to US$100 million by 2027; 2) investment: to increase cumulative investment value to US$1.5 billion by 2027; 3) tourism and culture: to increase number of tourists both ways and promote cultural exchange; 4) agriculture: to promote trade of agro products and scientific and technical cooperation in agriculture; and 5) technical cooperation: to promote sustainable socio-economic development, and technical cooperation in target areas of mutual interest, e.g., health, and tourism. The 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) will take effect after the notification of Thai side to Mongolia on completion of Thailand’s internal process. The draft plan has been scrutinized and approved by Ministry of Tourism and Sports, Ministry of Agriculture and Cooperative, Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, Ministry of Transport, Ministry of Commerce, Ministry of Interior, Ministry of Culture, Ministry of Education, Ministry of Industry, and the BOI Office. Title: Draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) and 5th Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas between Thailand and Malaysia The cabinet approved the draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) and 5th Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas between Thailand and Malaysia. Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Ministry of Foreign Fffairs may proceed without having to resubmit to the cabinet. Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs is authorized to adopt the draft Record of Discussions on August 10, 2022. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. Gist The draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) prescribes progress of implementation in political and security, economic, and socio-cultural areas, as well as other new areas of cooperation. The draft Record of Discussions for the 5th Joint Development Strategy (JDS) summarizes outcome of discussion on the implementations under the JDS framework, and demonstrates the joint intent to promote economic cooperation along the Thailand-Malaysia border area. Title: Outcome of ASEAN-U.S. Special Summit The cabinet acknowledged Ministry of Foreign Affairs’ report on the outcome of the ASEAN-U.S. Special Summit, held in Washington D.C., U.S.A. during May 12-13, 2022, and assigned concerned agencies to proceed accordingly. Gist On May 12-13, 2022, the Prime Minister, together with ASEAN leaders and ASEAN Secretary-General met with the U.S. delegation, led by President Joe Biden. Discussion was made toward “comprehensive strategic partnership”, covering the issues of ASEAN-U.S. relations, economic recovery, climate change, marine cooperation, and regional and international conflicts.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met on August 9, 2022 วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 The cabinet met on August 9, 2022 Some of the resolutions are as follows: Title: Request for approval of Government’s contingency fund for emergency (FY2022) for implementation of water resource management efficiency enhancement scheme during the rainy season of 2022, and water conservation for the 2022/2023 drought season The cabinet approved allocation of Government’s contingency fund for emergency (FY2022) for implementation of water resource management efficiency enhancement scheme during the rainy season of 2022, and water conservation for the 2022/2023 drought season, as proposed by Office of National Water Resources. Gist The approved budget will be allocated to 1,361 projects under 5 ministries and 13 agencies for 1) repairing and improving hydro constructions, 2) removing and clearing water blockage, 3) dredging canals and waterways, 4) preparing and repairing related machineries and equipment, and 5) increasing water budget for use in the drought season. These projects will be undertaken in the flood/drought-prone areas. The 5 ministries and 13 agencies to implement these 1,361 projects are: 1. Ministry of Defense (by the Royal Thai Army and Armed Forces Development Command): 32 projects for the budget framework of 23.31 million Baht 2. Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation (by Hydro Informatics Institute (Public Organization): 2 projects for the budget framework of 76.45 million Baht 3. Ministry of Agriculture and Cooperatives (by the Royal Irrigation Department and Department of Royal Rainmaking and Agricultural Aviation: 411 projects for the budget framework of 1,190.43 million Baht 4. Ministry of Natural Resources and Environment (by Water Resources Department and Department of Groundwater Resources): 139 projects for the budget framework of 432.91 million Baht 5. Ministry of Interior (by municipalities, sub-district municipalities, cities, provinces, provincial administrations, and sub-district administrations): 777 projects for the budget framework of 2,296.70 million Baht Once all the projects are completely executed, it is expected that 35,723 rai of land and 36,745 households will be benefited from an increase of water level by approx. 34.02 million cubic meters. Approx. 4.74 million tons of hyacinth/waterweeds will be gotten rid of, and 394 hydro constructions will be repaired and improved. These projects will also promote local employment and stimulate construction material business. Title: Official Thai spelling and pronunciation for “Republic of Türkiye” The cabinet acknowledged the proposal of Ministry of Foreign Affairs on the change of official name of the Republic of Turkey to “Republic of Türkiye”, and the Thai spelling and pronunciation for the country’s new official name, as approved by Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Don Pramudwinai. Gist Following an official letter submitted to the United Nations by the Republic of Türkiye, requesting the use of “Türkiye” instead of “Turkey” for all affairs, the country's name has been officially changed to Türkiye at the UN. The Embassy of the Republic of Türkiye to Thailand has also submitted request for the change of name to the Thai authority for all affairs related to bilateral relations and cooperation. Upon the request of Ministry of Foreign Affairs to deliberate spelling and pronunciation of the “Republic of Türkiye” in Thai, the Royal Society of Thailand has given its comment that the name of the country remains unchanged for the sake of public convenience and familiarity. In light of this, one can use either “สาธารณรัฐตุรกี” or “สาธารณรัฐทูร์เคีย” for “Republic of Türkiye”, and either “ตุรกี” or “ทูร์เคีย” for “Türkiye”, as appropriate. Title: Draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) The cabinet approved the draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027). Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Ministry of Foreign Fffairs may proceed without having to resubmit to the cabinet. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. Gist The draft 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) covers cooperation in 5 areas, namely, 1) trade: to increase bilateral trade value to US$100 million by 2027; 2) investment: to increase cumulative investment value to US$1.5 billion by 2027; 3) tourism and culture: to increase number of tourists both ways and promote cultural exchange; 4) agriculture: to promote trade of agro products and scientific and technical cooperation in agriculture; and 5) technical cooperation: to promote sustainable socio-economic development, and technical cooperation in target areas of mutual interest, e.g., health, and tourism. The 5-Year Thailand-Mongolia Cooperation Plan (2022-2027) will take effect after the notification of Thai side to Mongolia on completion of Thailand’s internal process. The draft plan has been scrutinized and approved by Ministry of Tourism and Sports, Ministry of Agriculture and Cooperative, Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation, Ministry of Transport, Ministry of Commerce, Ministry of Interior, Ministry of Culture, Ministry of Education, Ministry of Industry, and the BOI Office. Title: Draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) and 5th Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas between Thailand and Malaysia The cabinet approved the draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) and 5th Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas between Thailand and Malaysia. Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Ministry of Foreign Fffairs may proceed without having to resubmit to the cabinet. Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs is authorized to adopt the draft Record of Discussions on August 10, 2022. This is as proposed by Ministry of Foreign Affairs. Gist The draft Record of Discussions for 14th Joint Commission for Bilateral Cooperation (JC) prescribes progress of implementation in political and security, economic, and socio-cultural areas, as well as other new areas of cooperation. The draft Record of Discussions for the 5th Joint Development Strategy (JDS) summarizes outcome of discussion on the implementations under the JDS framework, and demonstrates the joint intent to promote economic cooperation along the Thailand-Malaysia border area. Title: Outcome of ASEAN-U.S. Special Summit The cabinet acknowledged Ministry of Foreign Affairs’ report on the outcome of the ASEAN-U.S. Special Summit, held in Washington D.C., U.S.A. during May 12-13, 2022, and assigned concerned agencies to proceed accordingly. Gist On May 12-13, 2022, the Prime Minister, together with ASEAN leaders and ASEAN Secretary-General met with the U.S. delegation, led by President Joe Biden. Discussion was made toward “comprehensive strategic partnership”, covering the issues of ASEAN-U.S. relations, economic recovery, climate change, marine cooperation, and regional and international conflicts.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางรุดประสานทายาทของพลเมืองดีที่เสียชีวิตจากการช่วยเหลือคนตกคลอง และถูกกระแสไฟฟ้าดูด ที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 กรมบัญชีกลางรุดประสานทายาทของพลเมืองดีที่เสียชีวิตจากการช่วยเหลือคนตกคลอง และถูกกระแสไฟฟ้าดูด ที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ จากกรณีพลเมืองดีได้ช่วยเหลือผู้ขับขี่รถ จยย.ตกคลองและถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตระหว่างไปช่วยเหลือในคลองลาดกระบัง จ.สมุทรปราการ ซึ่งต่อมา กฟน.ยอมรับว่า เหตุเกิดจากกิ่งโคมไฟฟ้าสาธารณะไฟฟ้ารั่วจริง เข้าหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัย นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากกรณีของนายอัศวิน ศรีสลับ ราษฎร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ได้ช่วยเหลือผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตกคลองและถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตระหว่างเข้าไปช่วยเหลือ ในคลองลาดกระบัง ท้ายซอยกิ่งแก้ว 48 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งต่อมาการไฟฟ้านครหลวงออกมายอมรับว่า เหตุเกิดจากกิ่งโคมไฟฟ้าสาธารณะ อบต.ราชาเทวะ มีไฟฟ้ารั่วจริง ส่งผลให้ทั้งผู้ที่ประสบอุบัติเหตุตกน้ําและผู้ให้ความช่วยเหลือเสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งกรณีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2543 ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้สํานักงานคลังจังหวัดบุรีรัมย์สร้างความเข้าใจให้กับทายาทของนายอัศวิน ศรีสลับ ประกอบด้วย คู่สมรส บุตร 1 คน บิดา และมารดา โดยได้ชี้แจงถึงสิทธิที่จะได้รับและกระบวนการยื่นคําขอรับการช่วยเหลือตามกฎหมายในฐานะพลเมืองดี ซึ่งทายาทได้จัดเตรียมเอกสารประกอบแบบคําขอ และเตรียมส่งเรื่องไปยังสํานักงานคลังจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ให้ดําเนินการส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลางเพื่อนําเข้าคณะกรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเพื่ออนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป “สําหรับ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ทําความดีให้แก่สังคม ประกอบด้วย การช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจ หรือทางราชการร้องขอโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จากทางราชการ การปฏิบัติงานของชาติตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการ การปฏิบัติตามหน้าที่หรือช่วยเหลือผู้อื่นตามที่กฎหมายกําหนด และการปฏิบัติหน้าที่เป็นพลเมืองดี เช่น ช่วยเหลือคนตกน้ํา ช่วยสกัดคนร้าย เป็นต้น โดยหากผู้นั้นได้รับอันตรายจนสูญเสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพ จนไม่สามารถทํางานได้หรือถึงแก่ความตาย และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ ได้กําหนดการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้ ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยเป็นก้อน กรณีทุพพลภาพจะได้รับเงินดํารงชีพเป็นรายเดือนตลอดชีวิต หรือกรณีถึงแก่ความตายจะได้รับค่ารักษาพยาบาลก่อนถึงแก่ความตาย เงินชดเชย และเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางรุดประสานทายาทของพลเมืองดีที่เสียชีวิตจากการช่วยเหลือคนตกคลอง และถูกกระแสไฟฟ้าดูด ที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 กรมบัญชีกลางรุดประสานทายาทของพลเมืองดีที่เสียชีวิตจากการช่วยเหลือคนตกคลอง และถูกกระแสไฟฟ้าดูด ที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ จากกรณีพลเมืองดีได้ช่วยเหลือผู้ขับขี่รถ จยย.ตกคลองและถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตระหว่างไปช่วยเหลือในคลองลาดกระบัง จ.สมุทรปราการ ซึ่งต่อมา กฟน.ยอมรับว่า เหตุเกิดจากกิ่งโคมไฟฟ้าสาธารณะไฟฟ้ารั่วจริง เข้าหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัย นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากกรณีของนายอัศวิน ศรีสลับ ราษฎร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่ได้ช่วยเหลือผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตกคลองและถูกกระแสไฟฟ้าดูดเสียชีวิตระหว่างเข้าไปช่วยเหลือ ในคลองลาดกระบัง ท้ายซอยกิ่งแก้ว 48 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งต่อมาการไฟฟ้านครหลวงออกมายอมรับว่า เหตุเกิดจากกิ่งโคมไฟฟ้าสาธารณะ อบต.ราชาเทวะ มีไฟฟ้ารั่วจริง ส่งผลให้ทั้งผู้ที่ประสบอุบัติเหตุตกน้ําและผู้ให้ความช่วยเหลือเสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งกรณีดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติ หรือการปฏิบัติตามหน้าที่มนุษยธรรม พ.ศ. 2543 ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้สํานักงานคลังจังหวัดบุรีรัมย์สร้างความเข้าใจให้กับทายาทของนายอัศวิน ศรีสลับ ประกอบด้วย คู่สมรส บุตร 1 คน บิดา และมารดา โดยได้ชี้แจงถึงสิทธิที่จะได้รับและกระบวนการยื่นคําขอรับการช่วยเหลือตามกฎหมายในฐานะพลเมืองดี ซึ่งทายาทได้จัดเตรียมเอกสารประกอบแบบคําขอ และเตรียมส่งเรื่องไปยังสํานักงานคลังจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ให้ดําเนินการส่งเรื่องมาที่กรมบัญชีกลางเพื่อนําเข้าคณะกรรมการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเพื่ออนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อไป “สําหรับ พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ทําความดีให้แก่สังคม ประกอบด้วย การช่วยเหลือราชการด้วยความสมัครใจ หรือทางราชการร้องขอโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จากทางราชการ การปฏิบัติงานของชาติตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการ การปฏิบัติตามหน้าที่หรือช่วยเหลือผู้อื่นตามที่กฎหมายกําหนด และการปฏิบัติหน้าที่เป็นพลเมืองดี เช่น ช่วยเหลือคนตกน้ํา ช่วยสกัดคนร้าย เป็นต้น โดยหากผู้นั้นได้รับอันตรายจนสูญเสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพ จนไม่สามารถทํางานได้หรือถึงแก่ความตาย และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน พ.ร.บ.สงเคราะห์ผู้ประสบภัยฯ ได้กําหนดการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้ ค่ารักษาพยาบาล เงินชดเชยเป็นก้อน กรณีทุพพลภาพจะได้รับเงินดํารงชีพเป็นรายเดือนตลอดชีวิต หรือกรณีถึงแก่ความตายจะได้รับค่ารักษาพยาบาลก่อนถึงแก่ความตาย เงินชดเชย และเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานมอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 รมว.วธ เป็นประธานมอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม มอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเป็นกําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ําใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๔๕ น. กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ ดร.สมศักดิ์ และคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล มอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเป็นกําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ําใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน และ พญ.ดารารัตน์ รัตนรักษ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลนครปฐม เป็นผู้รับมอบ ณ ชั้น ๕ อาคารอํานวยการ สํานักงานมูลนิธิพัฒนาโรงพยาบาลนครปฐม จังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ดร.สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการบริหารคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ เป็นประธานมอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 รมว.วธ เป็นประธานมอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม มอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเป็นกําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ําใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๔๕ น. กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ ดร.สมศักดิ์ และคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล มอบเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และอาหารกลางวัน ให้แก่ผู้บริหารโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเป็นกําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ภายใต้โครงการ “ปันน้ําใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน และ พญ.ดารารัตน์ รัตนรักษ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลนครปฐม เป็นผู้รับมอบ ณ ชั้น ๕ อาคารอํานวยการ สํานักงานมูลนิธิพัฒนาโรงพยาบาลนครปฐม จังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ดร.สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการบริหารคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย" สั่ง "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ปัญหาหมูแพงทั้งระบบด่วน
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 "เฉลิมชัย" สั่ง "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ปัญหาหมูแพงทั้งระบบด่วน "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ไขปัญหาเนื้อหมูแพง ตามคําสั่ง "รมว.เกษตรฯ" โดยออกมาตรการด่วนห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตเพื่อแก้ไขปัญหา ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว และการขาดแคลนที่ส่งผลให้เนื้อสุกรราคาส เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 65 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังกรมปศุสัตว์วางแผนด่วน เรื่องการแก้ไขปัญหาปริมาณสุกรที่ลดลง ทําให้ส่งผลถึงราคาจําหน่ายเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น โดยต้องแก้ปัญหาครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ อาหารสัตว์ ยารักษาโรค รวมไปถึงการพบโรคระบาดในสุกร อีกทั้งก่อนหน้านี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย และผู้เลี้ยงสุกรรายกลางเกิดความตื่นตระหนกต่อข่าวโรคระบาดในสุกร จึงเร่งขายสุกรมีชีวิตออกจากฟาร์มจํานวนมาก จึงทําให้ส่งผลกระทบไปยังปลายน้ําอย่างผู้บริโภคที่ยังคงมีความต้องการสูง ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้ตอบรับคําสั่ง พร้อมเตรียมแก้ไขปัญหา ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเร่งด่วนต่อไป ด้านนายแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์จัดเตรียมมาตรการ 3 ระยะเพื่อแก้ไขปัญหา คือ 1. มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ การห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตเพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อสุกรภายในประเทศให้มากขึ้น การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ํา การตรึงราคาจําหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น พร้อมเร่งสํารวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกําลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทําพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการสรรและกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่กําหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค 2. มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การขยายกําลังผลิตแม่สุกรสนับสนุนศูนย์วิจัยและบํารุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน การศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด 3. มาตรการระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชอื่น แล้วส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้า หรือส่งเสริมการผลิตข้าวโพดในฤดูแล้งให้มากขึ้น การยกระดับมาตรการปรับปรุงระบบ Biosecurity ในการเลี้ยงสุกรให้เป็น GAP หรือ GFM ซึ่งจะป้องกันโรคได้ดีขึ้น ใช้ยุทธศาสตร์การควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) เพื่อส่งเสริมการส่งออกสุกรไปต่างประเทศ ใช้ระบบการติดตามการเคลื่อนย้ายสุกร Tracking Smart Logistics พร้อมทั้งศึกษาและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์สุกรให้ได้สุกรพันธุ์ดีและทนทานต่อโรคระบาด ศึกษาและพัฒนาการลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรทั้งวงจรโดยกรมปศุสัตว์จะเร่งหารือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากราคาเนื้อสุกรสูงขึ้นโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร เพื่อหาแนวทางมาตรการเพิ่มกําลังผลิตสุกรขุนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่ส่งผลเนื้อสุกรราคาสูง ที่ลิ้มไพบูลย์ฟาร์ม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี พร้อมกล่าวว่า ภายหลังมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ผ่อนคลาย ผู้บริโภคมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอย่าง ขณะที่ปริมาณการเลี้ยงสุกร ลดลง จากปัญหาปริมาณหมูในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 จากที่ผลิตได้ปีละ 20 ล้านตัวเหลือ 19 ล้านตัว โดยส่งออก 1 ล้านตัว คงเหลือบริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว จึงทําให้ราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงขึ้น สําหรับการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาดจะส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) ซึ่งค่าใช้จ่ายต่ํากว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP เพื่อไม่ให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงซึ่งมั่นใจว่า มาตรการสนับสนุนต่างๆ จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย" สั่ง "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ปัญหาหมูแพงทั้งระบบด่วน วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 "เฉลิมชัย" สั่ง "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ปัญหาหมูแพงทั้งระบบด่วน "กรมปศุสัตว์" เร่งแก้ไขปัญหาเนื้อหมูแพง ตามคําสั่ง "รมว.เกษตรฯ" โดยออกมาตรการด่วนห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตเพื่อแก้ไขปัญหา ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว และการขาดแคลนที่ส่งผลให้เนื้อสุกรราคาส เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 65 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังกรมปศุสัตว์วางแผนด่วน เรื่องการแก้ไขปัญหาปริมาณสุกรที่ลดลง ทําให้ส่งผลถึงราคาจําหน่ายเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น โดยต้องแก้ปัญหาครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ อาหารสัตว์ ยารักษาโรค รวมไปถึงการพบโรคระบาดในสุกร อีกทั้งก่อนหน้านี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย และผู้เลี้ยงสุกรรายกลางเกิดความตื่นตระหนกต่อข่าวโรคระบาดในสุกร จึงเร่งขายสุกรมีชีวิตออกจากฟาร์มจํานวนมาก จึงทําให้ส่งผลกระทบไปยังปลายน้ําอย่างผู้บริโภคที่ยังคงมีความต้องการสูง ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้ตอบรับคําสั่ง พร้อมเตรียมแก้ไขปัญหา ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเร่งด่วนต่อไป ด้านนายแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า กรมปศุสัตว์จัดเตรียมมาตรการ 3 ระยะเพื่อแก้ไขปัญหา คือ 1. มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ การห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตเพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อสุกรภายในประเทศให้มากขึ้น การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่ํา การตรึงราคาจําหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น พร้อมเร่งสํารวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกําลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทําพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการสรรและกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่กําหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค 2. มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การขยายกําลังผลิตแม่สุกรสนับสนุนศูนย์วิจัยและบํารุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน การศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด 3. มาตรการระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชอื่น แล้วส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้า หรือส่งเสริมการผลิตข้าวโพดในฤดูแล้งให้มากขึ้น การยกระดับมาตรการปรับปรุงระบบ Biosecurity ในการเลี้ยงสุกรให้เป็น GAP หรือ GFM ซึ่งจะป้องกันโรคได้ดีขึ้น ใช้ยุทธศาสตร์การควบคุมโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) เพื่อส่งเสริมการส่งออกสุกรไปต่างประเทศ ใช้ระบบการติดตามการเคลื่อนย้ายสุกร Tracking Smart Logistics พร้อมทั้งศึกษาและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์สุกรให้ได้สุกรพันธุ์ดีและทนทานต่อโรคระบาด ศึกษาและพัฒนาการลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรทั้งวงจรโดยกรมปศุสัตว์จะเร่งหารือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากราคาเนื้อสุกรสูงขึ้นโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้นายสัตวแพทย์ชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฟาร์มเกษตรกร เพื่อหาแนวทางมาตรการเพิ่มกําลังผลิตสุกรขุนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนที่ส่งผลเนื้อสุกรราคาสูง ที่ลิ้มไพบูลย์ฟาร์ม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี พร้อมกล่าวว่า ภายหลังมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ผ่อนคลาย ผู้บริโภคมีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอย่าง ขณะที่ปริมาณการเลี้ยงสุกร ลดลง จากปัญหาปริมาณหมูในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 จากที่ผลิตได้ปีละ 20 ล้านตัวเหลือ 19 ล้านตัว โดยส่งออก 1 ล้านตัว คงเหลือบริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว จึงทําให้ราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงขึ้น สําหรับการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาดจะส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) ซึ่งค่าใช้จ่ายต่ํากว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP เพื่อไม่ให้ต้นทุนการเลี้ยงสูงซึ่งมั่นใจว่า มาตรการสนับสนุนต่างๆ จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50249
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย
วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย วันที่ 18 มกราคม 2565 นายธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย วันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบ การแต่งตั้ง หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากรเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย มีผลตั้งแต่ 6 มกราคม 2565เป็นต้นไปพร้อมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนและอํานวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดําเนินการเกี่ยวกับงานด้านเลขานุการให้ผู้แทนการค้าไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 กําหนดให้ในการดําเนินนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีมีอํานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทยจํานวนไม่เกิน 5 คน โดยแต่งตั้งคนหนึ่งเป็นประธานผู้แทนการค้าไทยทําหน้าที่ประสาน การปฎิบัติงานของผู้แทนการค้าไทยด้วย อนึ่ง ผู้แทนการค้าไทย มีอํานาจหน้าที่ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552โดยเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ในการเจรจากับต่างประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้งเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ ท่าทีของรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เสนอแนะ และให้คําปรึกษาแก่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการดําเนินการดังกล่าว หรือผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจากการคําเนินนโยบายด้านอื่น ๆ รวมทั้งบูรณาการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565 ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย ครม. ตั้ง ม.ล. ชโยทิตฯ เป็นที่ปรึกษา นรม. ทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย วันที่ 18 มกราคม 2565 นายธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย วันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบ การแต่งตั้ง หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากรเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย มีผลตั้งแต่ 6 มกราคม 2565เป็นต้นไปพร้อมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนและอํานวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดําเนินการเกี่ยวกับงานด้านเลขานุการให้ผู้แทนการค้าไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 กําหนดให้ในการดําเนินนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีมีอํานาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทําหน้าที่ผู้แทนการค้าไทยจํานวนไม่เกิน 5 คน โดยแต่งตั้งคนหนึ่งเป็นประธานผู้แทนการค้าไทยทําหน้าที่ประสาน การปฎิบัติงานของผู้แทนการค้าไทยด้วย อนึ่ง ผู้แทนการค้าไทย มีอํานาจหน้าที่ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552โดยเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ในการเจรจากับต่างประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้งเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ ท่าทีของรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เสนอแนะ และให้คําปรึกษาแก่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการดําเนินการดังกล่าว หรือผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจากการคําเนินนโยบายด้านอื่น ๆ รวมทั้งบูรณาการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ​ รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้ ​รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้ วันที่ 24 ก.พ. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ได้เปิดให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ แบบไม่มีไม้กั้น หรือ M-Flow ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมาแล้วเกิดกรณีผู้ใช้ทางเข้าไปใช้บริการถูกปรับเป็นเงิน 10 เท่า ซึ่งบางกรณีเกิดจากการไม่ทราบกฎเกณฑ์การใช้บริการนั้น ล่าสุดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้มีการชะลอการเก็บเงินสําหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก M-Flow หลังจากที่ได้เข้าใช้งานในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่ได้ชําระค่าไปปรับไปก่อนแล้วจะให้มีการดําเนินการคืนค่าปรับให้ต่อไป โดยจะดําเนินการเริ่มตั้งแต่วันนี้ (24 ก.พ.) ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2565สําหรับประชาชนที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามสายด่วน M Flow 1586 กด 1 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการลงทะเบียนเพื่อเป็นสมาชิกระบบ M-Flow นั้น ประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนได้ 2 แนวทาง คือ ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ โดยสมัครผ่านทางเว็บไซต์ www.mflowthai.com หรือ Mobile Application MFlowThai โดยเลือกการชําระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือตัดเงินในบัญชี M-Pass หรือ Easy Pass โดยเลือกได้ว่าจะจ่ายเป็นรอบบิล หรือจะจ่ายเป็นรายครั้ง ผ่าน QR Code และไปจ่ายเงินทาง e-Banking ธนาคาร หรือจ่ายที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้าน 7-Eleven ...........................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้ วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ​ รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้ ​รมว.คมนาคมสั่งชะลอเก็บเงินพร้อมคืนค่าปรับผู้ใช้บริการ M-Flow ถึง 31 มี.ค. นี้ วันที่ 24 ก.พ. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ได้เปิดให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ แบบไม่มีไม้กั้น หรือ M-Flow ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมาแล้วเกิดกรณีผู้ใช้ทางเข้าไปใช้บริการถูกปรับเป็นเงิน 10 เท่า ซึ่งบางกรณีเกิดจากการไม่ทราบกฎเกณฑ์การใช้บริการนั้น ล่าสุดนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้มีข้อสั่งการให้มีการชะลอการเก็บเงินสําหรับผู้ที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก M-Flow หลังจากที่ได้เข้าใช้งานในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่ได้ชําระค่าไปปรับไปก่อนแล้วจะให้มีการดําเนินการคืนค่าปรับให้ต่อไป โดยจะดําเนินการเริ่มตั้งแต่วันนี้ (24 ก.พ.) ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2565สําหรับประชาชนที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามสายด่วน M Flow 1586 กด 1 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการลงทะเบียนเพื่อเป็นสมาชิกระบบ M-Flow นั้น ประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนได้ 2 แนวทาง คือ ลงทะเบียนเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ โดยสมัครผ่านทางเว็บไซต์ www.mflowthai.com หรือ Mobile Application MFlowThai โดยเลือกการชําระเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือตัดเงินในบัญชี M-Pass หรือ Easy Pass โดยเลือกได้ว่าจะจ่ายเป็นรอบบิล หรือจะจ่ายเป็นรายครั้ง ผ่าน QR Code และไปจ่ายเงินทาง e-Banking ธนาคาร หรือจ่ายที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้าน 7-Eleven ...........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย ขณะที้เที่ยวบินปฐมฤกษ์ซาอุดีอาระเบีย-ไทยคึกคัก วันนี้ (1 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รู้สึกยินดี และแสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะชีช อัลชะอูด แห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ในโอกาสที่ทรงพระราชทานอัลกุรอานจํานวน 50,060 เล่มแก่ชาวไทยมุสลิม โดยอัลกุรอานที่ทรงพระราชทานให้จะมีขนาดต่างๆ และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ โดยได้มีพิธีส่งมอบไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ที่กรุงเทพฯ โดยมีรองหัวหน้าคณะผู้แทนของราชอาณาจักร ณ สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเทพฯ ผู้แทนจากกระทรวงกิจการศาสนาอิสลามแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ตัวแทนจากภาคส่วนการเมืองและอิสลาม นักวิชาการและผู้สนับสนุนจากจังหวัดต่างๆ ของไทยเข้าร่วมพิธีด้วย กระทรวงกิจการศาสนาอิสลามแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตัวแทนของสํานักพิมพ์อัลกุรอาน คิง ฟาฮัด (King Fahd Complex for the Printing of the Holy Qur’an) จะจัดส่งสําเนาอัลกุรอานให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ในการส่งมอบของขวัญก่อนเดือนรอมฎอนจะมาถึง การส่งมอบดังกล่าว ถือเป็นการต่อยอดจากที่ซาอุดีอาระเบียเคยส่งมายังประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นโอกาสสําคัญในการสานต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งนี้ อัลกุรอานได้ถูกแปลไปในกว่า 76 ภาษา และทางสํานักพิมพ์ ฯ ได้เพิ่มอัตราการผลิตขึ้นมากกว่า 100% คือ จาก 7 ล้านเล่มต่อปี เป็น 20 ล้านเล่มต่อปี โดยมีคุณภาพผลงานในระดับสูง โดยจนถึงสิ้นปี 2564 มีการผลิตแล้วมากกว่า 345 ล้านเล่ม และมากกว่า 320 ล้านเล่มในจํานวนนี้ ถูกแจกจ่ายเป็นของขวัญไปสู่ชาวมุสลิมทั่วโลก นายธนกร กล่าวว่า การส่งมอบดังกล่าวสะท้อนถึงการส่งเสริมความร่วมมือและสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ที่มีปฏิสัมพันธ์ถึงมิติด้านสังคม รวมถึงบทบาทของไทยที่ได้รับการยอมรับในชุมชนมุสลิมระหว่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริม และสนับสนุนสังคมพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสรีภาพและปรองดอง รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ในสังคม นอกจากนั้น ล่าสุด วานนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2565) เที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Saudi Arabian Airlines จากเมืองเจดดาห์ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้ถึงประเทศไทยเป็นเที่ยวบินแรก เมื่อเวลา 18.05 น. โดยมีคณะนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบีย เดินทางมาไทย จํานวน 71 คน โดยมีการควบคุมให้ไปตามมาตรการการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเชื่อมั่นว่า เที่ยวบินปฐมฤกษ์นี้ถือเป็นหนึ่งปัจจัยความสําเร็จจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าการเปิดตารางเที่ยวบินตรง กรุงริยาด – กรุงเทพฯ – กรุงริยาด นี้จะช่วยส่งเสริมการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว และช่วยให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการเดินทาง สามารถเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ได้สะดวก ตลอดจนเป็นโอกาสต่อยอดขยายตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย นายกฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ กษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระราชทานอัลกุรอานให้ชาวไทย เชื่อมั่นจะกระชับมิติทางสังคมระหว่างกัน และเป็นโอกาสเผยแพร่สังคมพหุวัฒนธรรมของไทย ขณะที้เที่ยวบินปฐมฤกษ์ซาอุดีอาระเบีย-ไทยคึกคัก วันนี้ (1 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รู้สึกยินดี และแสดงความสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะชีช อัลชะอูด แห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ในโอกาสที่ทรงพระราชทานอัลกุรอานจํานวน 50,060 เล่มแก่ชาวไทยมุสลิม โดยอัลกุรอานที่ทรงพระราชทานให้จะมีขนาดต่างๆ และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ โดยได้มีพิธีส่งมอบไปแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ที่กรุงเทพฯ โดยมีรองหัวหน้าคณะผู้แทนของราชอาณาจักร ณ สถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเทพฯ ผู้แทนจากกระทรวงกิจการศาสนาอิสลามแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ตัวแทนจากภาคส่วนการเมืองและอิสลาม นักวิชาการและผู้สนับสนุนจากจังหวัดต่างๆ ของไทยเข้าร่วมพิธีด้วย กระทรวงกิจการศาสนาอิสลามแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตัวแทนของสํานักพิมพ์อัลกุรอาน คิง ฟาฮัด (King Fahd Complex for the Printing of the Holy Qur’an) จะจัดส่งสําเนาอัลกุรอานให้กับชาวมุสลิมทั่วโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ในการส่งมอบของขวัญก่อนเดือนรอมฎอนจะมาถึง การส่งมอบดังกล่าว ถือเป็นการต่อยอดจากที่ซาอุดีอาระเบียเคยส่งมายังประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นโอกาสสําคัญในการสานต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งนี้ อัลกุรอานได้ถูกแปลไปในกว่า 76 ภาษา และทางสํานักพิมพ์ ฯ ได้เพิ่มอัตราการผลิตขึ้นมากกว่า 100% คือ จาก 7 ล้านเล่มต่อปี เป็น 20 ล้านเล่มต่อปี โดยมีคุณภาพผลงานในระดับสูง โดยจนถึงสิ้นปี 2564 มีการผลิตแล้วมากกว่า 345 ล้านเล่ม และมากกว่า 320 ล้านเล่มในจํานวนนี้ ถูกแจกจ่ายเป็นของขวัญไปสู่ชาวมุสลิมทั่วโลก นายธนกร กล่าวว่า การส่งมอบดังกล่าวสะท้อนถึงการส่งเสริมความร่วมมือและสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ที่มีปฏิสัมพันธ์ถึงมิติด้านสังคม รวมถึงบทบาทของไทยที่ได้รับการยอมรับในชุมชนมุสลิมระหว่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริม และสนับสนุนสังคมพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เสรีภาพและปรองดอง รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ในสังคม นอกจากนั้น ล่าสุด วานนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2565) เที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Saudi Arabian Airlines จากเมืองเจดดาห์ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้ถึงประเทศไทยเป็นเที่ยวบินแรก เมื่อเวลา 18.05 น. โดยมีคณะนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบีย เดินทางมาไทย จํานวน 71 คน โดยมีการควบคุมให้ไปตามมาตรการการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเชื่อมั่นว่า เที่ยวบินปฐมฤกษ์นี้ถือเป็นหนึ่งปัจจัยความสําเร็จจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าการเปิดตารางเที่ยวบินตรง กรุงริยาด – กรุงเทพฯ – กรุงริยาด นี้จะช่วยส่งเสริมการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว และช่วยให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการเดินทาง สามารถเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ได้สะดวก ตลอดจนเป็นโอกาสต่อยอดขยายตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52053
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจำสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลง
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจําสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลง ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจําสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลงของการแพร่กระจายเฟคนิวส์เกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งในแง่จํานวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบ และความสนใจของประชาชน นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่ 17-23ก.ย. 64โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความที่เข้ามา11,546,629ข้อความโดยจากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ(Verify)จํานวน218ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ115เรื่องโดยมากสุดอยู่ในกลุ่มข่าวนโยบายรัฐ/ข่าวสารทางราชการถึง64เรื่องตามมาด้วยกลุ่มข่าวผลิตภัณฑ์สุขภาพ42เรื่องเศรษฐกิจ5เรื่องและภัยพิบัติ4เรื่อง ขณะที่เมื่อพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับประเด็นโควิด-19พบว่าภาพรวมของข่าวปลอมที่ต้องตรวจสอบในรอบสัปดาห์ล่าสุดนี้สัดส่วนที่เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิดเริ่มลดลงโดยมีจํานวน52เรื่องหรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจํานวนเรื่องที่ต้องทําการตรวจสอบ “จากการที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อVerifyข่าวที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบทั้งหมดล่าสุดมีข่าวที่ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว43เรื่องในจํานวนนี้พบว่าเป็นข่าวจริง16เรื่อง”นางสาวนพวรรณกล่าว สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด3อันดับแรกได้แก่อันดับ1เรื่องรถไฟญี่ปุ่นมือสองที่บริจาคให้ไทยวิ่งบนรางรถไฟไทยไม่ได้และไม่คุ้มค่าในการนํามาใช้อันดับ2เรื่องพายุ2ลูกจ่อถล่มประเทศไทยตั้งแต่วันที่20 - 26ก.ย.นี้อันดับที่3เรื่องด.ต.ปริวัตินามลาเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนเข็ม2ได้เพียง1สัปดาห์ นางสาวนพวรรณกล่าวว่าขอบคุณประชาชนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือแก้ปัญหาข่าวปลอมด้วยการแจ้งเบาะแสเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งนี้อยากเน้นย้ําว่าเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจำสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลง วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจําสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลง ดีอีเอส เผยสถานการณ์เฟคนิวส์โควิดเข้าสู่กระแสขาลง “นพวรรณ” โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง โชว์ผลมอนิเตอร์ข่าวปลอมประจําสัปดาห์ เห็นสัญญาณลดลงของการแพร่กระจายเฟคนิวส์เกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งในแง่จํานวนเรื่องที่ต้องตรวจสอบ และความสนใจของประชาชน นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่ 17-23ก.ย. 64โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความที่เข้ามา11,546,629ข้อความโดยจากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ(Verify)จํานวน218ข้อความรวมเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบ115เรื่องโดยมากสุดอยู่ในกลุ่มข่าวนโยบายรัฐ/ข่าวสารทางราชการถึง64เรื่องตามมาด้วยกลุ่มข่าวผลิตภัณฑ์สุขภาพ42เรื่องเศรษฐกิจ5เรื่องและภัยพิบัติ4เรื่อง ขณะที่เมื่อพิจารณาถึงความเชื่อมโยงกับประเด็นโควิด-19พบว่าภาพรวมของข่าวปลอมที่ต้องตรวจสอบในรอบสัปดาห์ล่าสุดนี้สัดส่วนที่เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิดเริ่มลดลงโดยมีจํานวน52เรื่องหรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจํานวนเรื่องที่ต้องทําการตรวจสอบ “จากการที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อVerifyข่าวที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบทั้งหมดล่าสุดมีข่าวที่ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว43เรื่องในจํานวนนี้พบว่าเป็นข่าวจริง16เรื่อง”นางสาวนพวรรณกล่าว สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด3อันดับแรกได้แก่อันดับ1เรื่องรถไฟญี่ปุ่นมือสองที่บริจาคให้ไทยวิ่งบนรางรถไฟไทยไม่ได้และไม่คุ้มค่าในการนํามาใช้อันดับ2เรื่องพายุ2ลูกจ่อถล่มประเทศไทยตั้งแต่วันที่20 - 26ก.ย.นี้อันดับที่3เรื่องด.ต.ปริวัตินามลาเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนเข็ม2ได้เพียง1สัปดาห์ นางสาวนพวรรณกล่าวว่าขอบคุณประชาชนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือแก้ปัญหาข่าวปลอมด้วยการแจ้งเบาะแสเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งนี้อยากเน้นย้ําว่าเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ปลุกอาชีพนวดสปาหินร้อนเน้นบริการแบบ Delivery
วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565 รมว.สุชาติ ปลุกอาชีพนวดสปาหินร้อนเน้นบริการแบบ Delivery รมว.สุชาติ เผยขณะนี้สถานการณ์การท่องเที่ยวกําลังจะกลับมาคึกคัก จึงสั่งให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานพัฒนาแรงงานด้านนวด สปาหินร้อน เน้นให้บริการแบบ Delivery ในจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพอิสระ อาชีพเสริม เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ปลุกอาชีพนวดสปาหินร้อนเน้นบริการแบบ Delivery วันพุธที่ 13 กรกฎาคม 2565 รมว.สุชาติ ปลุกอาชีพนวดสปาหินร้อนเน้นบริการแบบ Delivery รมว.สุชาติ เผยขณะนี้สถานการณ์การท่องเที่ยวกําลังจะกลับมาคึกคัก จึงสั่งให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานพัฒนาแรงงานด้านนวด สปาหินร้อน เน้นให้บริการแบบ Delivery ในจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพอิสระ อาชีพเสริม เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56863
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ำ เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ำ ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ํา เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ํา ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ํา เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ํา ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา พร้อมสั่งการให้พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิต “แตงโม” เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคมให้กระจ่าง วันนี้ (3 มี.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน ซึ่งในระยะหลังๆ มักมีกิจกรรมทางน้ําหลายอย่าง เช่น เรือสปีดโบ๊ท เจ็ทสกี รวมทั้งการรวมกลุ่มพบปะสังสรรค์ล่องเรือหรือการรับประทานร่วมกันบนเรือ ซึ่งต้องมีสติ เพิ่มความระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจะต้องตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์ช่วยชีวิตประจําเรือ อาทิ เสื้อชูชีพ เพื่อป้องกันมิให้การเกิดเหตุร้ายโดยไม่คาดคิด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจ พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิตของนางสาว นิดา พัชรวีระพงษ์ “แตงโม” ด้วยหลักฐานด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจทํางานอย่างเต็มที่ มีความโปร่งใส และจะตรวจสอบทุกประเด็นที่เป็นไปได้ เพื่อให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย นายกรัฐมนตรียังเตือนประชาชนให้ ติดตามข่าวอย่างมีสติ โดยทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ขอให้ใช้ถ้อยคําที่สุภาพไม่ใช้อารมณ์หรือความเห็นส่วนตัวในการวิจารณ์ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตและไม่ให้เสียหายต่อการดําเนินคดีเพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ --------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ำ เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ำ ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ํา เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ํา ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีห่วงกิจกรรมทางน้ํา เตือนประชาชนที่จะมีการรวมกลุ่ม พบปะ บนเรือ หรือริมฝั่งน้ํา ต้องมีสติและระมัดระวังตนเองตลอดเวลา พร้อมสั่งการให้พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิต “แตงโม” เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคมให้กระจ่าง วันนี้ (3 มี.ค.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน ซึ่งในระยะหลังๆ มักมีกิจกรรมทางน้ําหลายอย่าง เช่น เรือสปีดโบ๊ท เจ็ทสกี รวมทั้งการรวมกลุ่มพบปะสังสรรค์ล่องเรือหรือการรับประทานร่วมกันบนเรือ ซึ่งต้องมีสติ เพิ่มความระมัดระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจะต้องตรวจสอบว่ามีอุปกรณ์ช่วยชีวิตประจําเรือ อาทิ เสื้อชูชีพ เพื่อป้องกันมิให้การเกิดเหตุร้ายโดยไม่คาดคิด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจ พนักงานสอบสวน เร่งรัดคดีการเสียชีวิตของนางสาว นิดา พัชรวีระพงษ์ “แตงโม” ด้วยหลักฐานด้วยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจทํางานอย่างเต็มที่ มีความโปร่งใส และจะตรวจสอบทุกประเด็นที่เป็นไปได้ เพื่อให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย นายกรัฐมนตรียังเตือนประชาชนให้ ติดตามข่าวอย่างมีสติ โดยทุกคนสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ขอให้ใช้ถ้อยคําที่สุภาพไม่ใช้อารมณ์หรือความเห็นส่วนตัวในการวิจารณ์ เพื่อให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตและไม่ให้เสียหายต่อการดําเนินคดีเพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ --------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564 ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่สถานการณ์อุทกภัยที่คลี่คลายแล้ว การจับจ่ายภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่สถานการณ์อุทกภัยที่คลี่คลายแล้ว การจับจ่ายภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ทําให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสําปะหลังสุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ปาล์มน้ํามัน และโคเนื้อ มีแนวโน้มราคาปรับลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหารองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนธันวาคม 2564 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,736 - 7,944 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.44 - 3.14 เนื่องจากราคาข้าวขาวของประเทศไทยในตลาดโลกสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้เป็นอย่างดี ประกอบกับความต้องการของประเทศผู้นําเข้าในแถบทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และตะวันออกกลาง ยังมีความต้องการข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อไว้ใช้ในช่วงเทศกาลปลายปีข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 9,750 - 9,768 บาท/ตันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.91 - 4.10 เพราะประเทศฮ่องกงซึ่งเป็นผู้นําเข้าข้าวหอมมะลิรายใหญ่ของประเทศไทยเร่งนําเข้าข้าวหอมมะลิฤดูกาลใหม่เพื่อใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลตรุษจีนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาอยู่ที่ 8.76 - 8.85 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 1.60 เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคและส่งออกสินค้าปศุสัตว์ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับสัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้น 3.5 เซนต์ หรือร้อยละ 0.42 จะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความต้องการสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพิ่มขึ้น ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 52.61-54.53 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.93-5.66 เนื่องจากปริมาณฝนโดยรวมของทั้งประเทศไทยจะกลับมาใกล้เคียงค่าปกติ ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งผลิตยางพาราที่สําคัญมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 10 ส่งผลต่อการกรีดยางพารา ทําให้ยางพาราออกสู่ตลาดลดลงรวมถึงมีการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสหลังจากที่เคยระบาดเป็นพื้นที่วงกว้างในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียมันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.22 - 2.32 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.78 - 7.41 เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูกาลผลิตมันสําปะหลัง ปี 2564/65 ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มาก ขณะที่ลานมันสามารถกลับมาดําเนินการซื้อขายได้ตามปกติ หลังจากปัญหาอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับความต้องการใช้มันสําปะหลังของจีนยังสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคามันสําปะหลังเพิ่มขึ้นสุกร ราคาอยู่ที่ 72.82 - 73.38 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.36-1.13 เนื่องจากความต้องการบริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาว รวมไปถึงเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งทําให้ความต้องการเนื้อสุกรของร้านอาหารและธุรกิจการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นและกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 149.64 - 157.47 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.20 - 8.60 เนื่องจากความต้องการบริโภคที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ประกอบกับผลผลิตกุ้งบางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ําท่วม และต้นทุนค่าอาหารกุ้งที่สูงขึ้น จากบริษัทผู้ผลิตอาหารกุ้งจะปรับราคาอาหารกุ้งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3-5 จากราคาวัตถุดิบในการผลิต ส่งผลให้เกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงกุ้งลง ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 7,263 - 7,395 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.75 - 2.52 เนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปีออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมามากเกินความต้องการใช้ข้าวเหนียวเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนและแปรรูปภายในประเทศน้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์กราคาอยู่ที่ 19.20 - 19.87เซนต์/ปอนด์ (13.99- 14.49 บาท/กก.)ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.20 - 4.52เนื่องจากทิศทางราคาน้ํามันดิบที่คาดว่าจะปรับลดลง จากประเทศผู้ใช้น้ํามันหลักระบายน้ํามันออกจากคลังสํารองส่งผลให้ความต้องการเอทานอลปรับตัวลดลงตามไปด้วย จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการของประเทศบราซิลเพิ่มสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตน้ําตาล ส่งผลให้ปริมาณน้ําตาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหนุนที่อาจทําให้ราคาน้ําตาลปรับเพิ่มขึ้นได้จากความต้องการนําเข้าของหลายประเทศ เพราะปริมาณน้ําตาลของประเทศผู้บริโภคเริ่มลดลงและค่าระวางเรือที่มีการปรับลดลงทําให้ต้นทุนการนําเข้าน้ําตาลลดลงปาล์มน้ํามันราคาอยู่ที่7.88 - 8.38 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.90 - 9.63 เนื่องจากมาตรการภาครัฐขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงสกัดตรึงราคาน้ํามันปาล์มดิบเนื่องจากราคาน้ํามันปาล์มบรรจุขวดปรับตัวสูงขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหาร และผู้บริโภคในครัวเรือนที่ได้ผลกระทบหลักและโคเนื้อราคาอยู่ที่94.50 - 95.00 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.23 - 0.76 เนื่องจากรูปแบบการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปหลังจากโควิด-19 โดยลดการรับประทานอาหารนอกบ้าน ประกอบกับมาตรการนําเข้าโคเนื้อที่ยังคงเข้มงวดของประเทศจีน จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกโคเนื้อของไทยจึงเป็นปัจจัยกดดันราคาโคเนื้อให้ปรับลดลง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564 วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564 ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่สถานการณ์อุทกภัยที่คลี่คลายแล้ว การจับจ่ายภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. ชี้ความต้องการสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่สถานการณ์อุทกภัยที่คลี่คลายแล้ว การจับจ่ายภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ทําให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนธันวาคม 2564 ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพาราแผ่นดิบ มันสําปะหลังสุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ปาล์มน้ํามัน และโคเนื้อ มีแนวโน้มราคาปรับลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหารองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนธันวาคม 2564 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,736 - 7,944 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.44 - 3.14 เนื่องจากราคาข้าวขาวของประเทศไทยในตลาดโลกสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้เป็นอย่างดี ประกอบกับความต้องการของประเทศผู้นําเข้าในแถบทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และตะวันออกกลาง ยังมีความต้องการข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อไว้ใช้ในช่วงเทศกาลปลายปีข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 9,750 - 9,768 บาท/ตันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.91 - 4.10 เพราะประเทศฮ่องกงซึ่งเป็นผู้นําเข้าข้าวหอมมะลิรายใหญ่ของประเทศไทยเร่งนําเข้าข้าวหอมมะลิฤดูกาลใหม่เพื่อใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลตรุษจีนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาอยู่ที่ 8.76 - 8.85 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.60 - 1.60 เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคและส่งออกสินค้าปศุสัตว์ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับสัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้น 3.5 เซนต์ หรือร้อยละ 0.42 จะส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความต้องการสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพิ่มขึ้น ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 52.61-54.53 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.93-5.66 เนื่องจากปริมาณฝนโดยรวมของทั้งประเทศไทยจะกลับมาใกล้เคียงค่าปกติ ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งผลิตยางพาราที่สําคัญมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 10 ส่งผลต่อการกรีดยางพารา ทําให้ยางพาราออกสู่ตลาดลดลงรวมถึงมีการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสหลังจากที่เคยระบาดเป็นพื้นที่วงกว้างในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียมันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.22 - 2.32 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.78 - 7.41 เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูกาลผลิตมันสําปะหลัง ปี 2564/65 ผลผลิตยังออกสู่ตลาดไม่มาก ขณะที่ลานมันสามารถกลับมาดําเนินการซื้อขายได้ตามปกติ หลังจากปัญหาอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย ประกอบกับความต้องการใช้มันสําปะหลังของจีนยังสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคามันสําปะหลังเพิ่มขึ้นสุกร ราคาอยู่ที่ 72.82 - 73.38 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.36-1.13 เนื่องจากความต้องการบริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาว รวมไปถึงเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งทําให้ความต้องการเนื้อสุกรของร้านอาหารและธุรกิจการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นและกุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 149.64 - 157.47 บาท/กก.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.20 - 8.60 เนื่องจากความต้องการบริโภคที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ประกอบกับผลผลิตกุ้งบางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ําท่วม และต้นทุนค่าอาหารกุ้งที่สูงขึ้น จากบริษัทผู้ผลิตอาหารกุ้งจะปรับราคาอาหารกุ้งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3-5 จากราคาวัตถุดิบในการผลิต ส่งผลให้เกษตรกรลดปริมาณการเลี้ยงกุ้งลง ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 7,263 - 7,395 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.75 - 2.52 เนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปีออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมามากเกินความต้องการใช้ข้าวเหนียวเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนและแปรรูปภายในประเทศน้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์กราคาอยู่ที่ 19.20 - 19.87เซนต์/ปอนด์ (13.99- 14.49 บาท/กก.)ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.20 - 4.52เนื่องจากทิศทางราคาน้ํามันดิบที่คาดว่าจะปรับลดลง จากประเทศผู้ใช้น้ํามันหลักระบายน้ํามันออกจากคลังสํารองส่งผลให้ความต้องการเอทานอลปรับตัวลดลงตามไปด้วย จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการของประเทศบราซิลเพิ่มสัดส่วนการนําอ้อยไปผลิตน้ําตาล ส่งผลให้ปริมาณน้ําตาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยหนุนที่อาจทําให้ราคาน้ําตาลปรับเพิ่มขึ้นได้จากความต้องการนําเข้าของหลายประเทศ เพราะปริมาณน้ําตาลของประเทศผู้บริโภคเริ่มลดลงและค่าระวางเรือที่มีการปรับลดลงทําให้ต้นทุนการนําเข้าน้ําตาลลดลงปาล์มน้ํามันราคาอยู่ที่7.88 - 8.38 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 3.90 - 9.63 เนื่องจากมาตรการภาครัฐขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงสกัดตรึงราคาน้ํามันปาล์มดิบเนื่องจากราคาน้ํามันปาล์มบรรจุขวดปรับตัวสูงขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหาร และผู้บริโภคในครัวเรือนที่ได้ผลกระทบหลักและโคเนื้อราคาอยู่ที่94.50 - 95.00 บาท/กก.ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.23 - 0.76 เนื่องจากรูปแบบการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปหลังจากโควิด-19 โดยลดการรับประทานอาหารนอกบ้าน ประกอบกับมาตรการนําเข้าโคเนื้อที่ยังคงเข้มงวดของประเทศจีน จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกโคเนื้อของไทยจึงเป็นปัจจัยกดดันราคาโคเนื้อให้ปรับลดลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด “ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสลุยช่วยผู้ป่วยโควิดขอความร่วมมือกสทช.ยกเว้นค่าบริการเลขหมาย4หลักของ8เบอร์สายด่วนรวมถึงเลขหมายที่เกี่ยวข้องและค่าส่งเอสเอ็มเอสสําหรับบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องกักตัวที่บ้าน นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(19ก.ค. 64)ตนได้ส่งจดหมายขอความอนุเคราะห์ไปยังสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ในการพิจารณายกเว้นค่าบริการสําหรับการใช้บริการเลขหมายแบบสั้น4หลักซึ่งเป็นเบอร์โทรสายด่วนขอคําปรึกษาและประสานขอเตียงสําหรับประชาชนกรณีติดเชื้อโควิด-19ตลอดจนเลขหมายอื่นที่เกี่ยวข้องรวมทั้งค่าบริการข้อความสั้นสําหรับระบบบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อติดเชื้อโควิดที่ต้องกักตัวที่บ้าน ปัจจุบันมีการจัดสรรสายด่วนของหน่วยงานรัฐเพื่อรองรับการให้บริการข้อมูลตรวจสอบสิทธิประโยชน์ให้คําปรึกษาแนะนําและประสานงานกับเจ้าหน้าที่เช่นการขอรับคําปรึกษาในการปฏิบัติตนการหาเตียงหรือการเตรียมความพร้อมเมื่อพบว่าติดเชื้อการให้บริการได้แก่เลขหมาย1330, 1323, 1422, 1442, 1646, 1668, 1669และ1506เป็นต้น “ผมได้ระบุเหตุผลการขอความอนุเคราะห์กับกสทช.ไปแล้วว่าด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19ในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างมากขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนในการนี้เพื่อให้การดูแลป้องกันแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนจึงมีความฉุกเฉินและเร่งด่วนในการจัดให้มีช่องทางเลขหมายด่วนเพื่อให้บริการข้อมูลและประสานขอความช่วยเหลือตามข้างต้นโดยหวังว่ากสทช.จะเห็นถึงความเดือดร้อนและยินดีช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่วด่วนเพื่อผ่านพ้นภาวะความลําบากนี้”นายชัยวุฒิกล่าว ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายให้จัดทําระบบบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ที่ต้องกักตัวที่บ้าน(Home Isolation)โดยมอบหมายให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจํากัด(มหาชน)หรือNTเป็นผู้ดําเนินการในเรื่องSMS Gatewayสําหรับส่งOTPไปยังผู้ป่วยเพื่อใช้สําหรับการยืนยันตัวตนบนระบบออนไลน์และเพื่อให้แพทย์สามารถติดต่อกับผู้ป่วยได้โดยสะดวกและไม่ผิดคน “เนื่องจากกสทช.เป็นหน่วยงานกํากับดูแลบริษัทผู้ให้บริการมือถืออยู่แล้วเราจึงอยากขอความร่วมมือให้กสทช.ประสานขอความอนุเคราะห์ไปยังโอเปอเรเตอร์ทุกรายให้ประชาชนเข้าถึงเบอร์ติดต่อเหล่านี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชนและเป็นการร่วมมือร่วมใจกันช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19”นายชัยวุฒิกล่าว ***********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 “ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด “ชัยวุฒิ” ลุยช่วยผู้ป่วยโควิด ขอความร่วมมือ กสทช. ยกเว้นค่าบริการสายด่วนโควิด “ชัยวุฒิ”รมว.ดีอีเอสลุยช่วยผู้ป่วยโควิดขอความร่วมมือกสทช.ยกเว้นค่าบริการเลขหมาย4หลักของ8เบอร์สายด่วนรวมถึงเลขหมายที่เกี่ยวข้องและค่าส่งเอสเอ็มเอสสําหรับบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องกักตัวที่บ้าน นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)กล่าวว่าวันนี้(19ก.ค. 64)ตนได้ส่งจดหมายขอความอนุเคราะห์ไปยังสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ในการพิจารณายกเว้นค่าบริการสําหรับการใช้บริการเลขหมายแบบสั้น4หลักซึ่งเป็นเบอร์โทรสายด่วนขอคําปรึกษาและประสานขอเตียงสําหรับประชาชนกรณีติดเชื้อโควิด-19ตลอดจนเลขหมายอื่นที่เกี่ยวข้องรวมทั้งค่าบริการข้อความสั้นสําหรับระบบบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อติดเชื้อโควิดที่ต้องกักตัวที่บ้าน ปัจจุบันมีการจัดสรรสายด่วนของหน่วยงานรัฐเพื่อรองรับการให้บริการข้อมูลตรวจสอบสิทธิประโยชน์ให้คําปรึกษาแนะนําและประสานงานกับเจ้าหน้าที่เช่นการขอรับคําปรึกษาในการปฏิบัติตนการหาเตียงหรือการเตรียมความพร้อมเมื่อพบว่าติดเชื้อการให้บริการได้แก่เลขหมาย1330, 1323, 1422, 1442, 1646, 1668, 1669และ1506เป็นต้น “ผมได้ระบุเหตุผลการขอความอนุเคราะห์กับกสทช.ไปแล้วว่าด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19ในปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างมากขึ้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนในการนี้เพื่อให้การดูแลป้องกันแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือประชาชนจึงมีความฉุกเฉินและเร่งด่วนในการจัดให้มีช่องทางเลขหมายด่วนเพื่อให้บริการข้อมูลและประสานขอความช่วยเหลือตามข้างต้นโดยหวังว่ากสทช.จะเห็นถึงความเดือดร้อนและยินดีช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่วด่วนเพื่อผ่านพ้นภาวะความลําบากนี้”นายชัยวุฒิกล่าว ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายให้จัดทําระบบบริหารจัดการผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ที่ต้องกักตัวที่บ้าน(Home Isolation)โดยมอบหมายให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจํากัด(มหาชน)หรือNTเป็นผู้ดําเนินการในเรื่องSMS Gatewayสําหรับส่งOTPไปยังผู้ป่วยเพื่อใช้สําหรับการยืนยันตัวตนบนระบบออนไลน์และเพื่อให้แพทย์สามารถติดต่อกับผู้ป่วยได้โดยสะดวกและไม่ผิดคน “เนื่องจากกสทช.เป็นหน่วยงานกํากับดูแลบริษัทผู้ให้บริการมือถืออยู่แล้วเราจึงอยากขอความร่วมมือให้กสทช.ประสานขอความอนุเคราะห์ไปยังโอเปอเรเตอร์ทุกรายให้ประชาชนเข้าถึงเบอร์ติดต่อเหล่านี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชนและเป็นการร่วมมือร่วมใจกันช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19”นายชัยวุฒิกล่าว ***********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลวิ่งเข้า - ออกสถานีกลางบางซื่อ
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลวิ่งเข้า - ออกสถานีกลางบางซื่อ ยืนยันรถไฟมีวิธีปฏิบัติชัดเจนในการดูแลรักษาความสะอาดของการใช้ห้องสุขา พร้อมดูแลอย่างเรียบร้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาพที่ไม่สวยงาม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้โพสต์ลงในสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความเป็นห่วงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลที่ยังใช้ระบบส้วมเปิด หากมีผู้โดยสารใช้งานในช่วงเวลาที่ขบวนรถเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดภาพไม่สวยงามนั้น เรื่องนี้ รฟท. ขอชี้แจงว่ามีแผนดําเนินการและวิธีปฏิบัติในการดูแลรักษาความสะอาดของการใช้ห้องสุขา โดยขั้นตอนในการปรับปรุงประกอบด้วย 1. รฟท. มีตู้โดยสารที่เป็นระบบส้วมปิดให้บริการในปัจจุบัน จํานวน 134 คัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดข้อกังวลในประเด็นของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาพที่ไม่สวยงาม 2. สําหรับระบบส้วมเปิดนั้น การรถไฟฯ มีแผนงานซึ่งอยู่ระหว่างการดําเนินการปรับปรุงห้องสุขาของตู้โดยสารให้เป็นแบบปิด แบ่งออกเป็นตู้โดยสารปรับอากาศ จํานวน 88 คัน ตู้พัดลม 62 คัน รวมทั้งสิ้น 150 คัน ซึ่งจะดําเนินการปรับปรุงเรียบร้อยและสามารถทยอยออกให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565 นอกจากนี้ การรถไฟฯ มีแนวทางและขั้นตอนปฏิบัติดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องสุขา โดยได้ออกประกาศของดและขอความร่วมมือจากผู้โดยสารในเรื่องการใช้ห้องสุขา ตลอดจนออกระเบียบวิธีปฏิบัติสําหรับพนักงานขบวนรถไว้อย่างชัดเจน โดยในช่วงระยะก่อนที่จะเข้าบริเวณที่กําหนดก่อนเข้าสถานีกลางบางซื่อ การรถไฟฯ จะประกาศและขอความร่วมมือในการงดใช้ห้องน้ํา ทั้งนี้ ตามคําสั่งของ รฟท. ส่วนหนึ่งนั้น ได้กําหนดวิธีปฏิบัติขณะขบวนรถเข้าในเขตพื้นที่ของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งนอกจากกําหนดให้พนักงานขบวนรถคอยอํานวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารระหว่างการขึ้นและลงจากขบวนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังกําหนดให้พนักงานฯ แจ้งข้อปฏิบัติแก่ผู้โดยสารและข้อห้ามต่าง ๆ อาทิ - ห้ามเปิดประตูและใช้บริเวณบันไดขึ้นลงของขบวนรถเป็นที่โดยสาร - ห้ามทิ้งขยะมูลฝอย เศษอาหาร และสิ่งของต่างๆ - ห้ามยื่นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกไปนอกตัวรถ - ห้ามใช้ห้องน้ํา ห้องสุขา ขณะขบวนรถจอดอยู่ในพื้นที่ของทุกสถานี (ซึ่งเป็นกฎระเบียบของการรถไฟฯ ที่ใช้มาโดยตลอดกับทุกสถานีทั่วประเทศ) หรือขณะขบวนเข้าทําการสูบถ่ายสิ่งปฏิกูล เติมน้ํามันเชื้อเพลิง และเข้าเทียบที่โรงซ่อมรถโดยสารทางไกล รวมถึงบริเวณระยะที่กําหนดไว้ก่อนที่จะมีการเข้าสถานีกลางบางซื่อ อย่างไรก็ดีทางเจ้าหน้าที่จะมีการประกาศบนขบวนรถเมื่อใกล้ถึงจุดที่กําหนดไว้ ส่วนประเด็นในเรื่องการปล่อยควันภายในพื้นที่ชั้น 2 ของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นชานชาลารถไฟนั้น รฟท. ได้มีการออกแบบและติดตั้งเครื่องดูดควันไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพื่อช่วยให้การระบายควันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของควันแต่อย่างใด ทั้งนี้ รฟท. ขอขอบคุณทุกความห่วงใยและข้อเสนอแนะที่มีต่อการให้บริการ ซึ่งรฟท. ได้พยายามดูแลมาตรฐานและความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่างๆของสถานีกลางบางซื่อ โดยนอกเหนือจากการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน ยังได้ดําเนินการในหลาย ๆ เรื่องเพิ่มเติม ทั้งด้านการรักษาความสะอาด รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในอาคารและบริเวณโดยรอบมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สถานีกลางบางซื่อ กลายเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่ทันสมัยและเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สําคัญของประเทศและภูมิภาคอาเซียน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลวิ่งเข้า - ออกสถานีกลางบางซื่อ วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลวิ่งเข้า - ออกสถานีกลางบางซื่อ ยืนยันรถไฟมีวิธีปฏิบัติชัดเจนในการดูแลรักษาความสะอาดของการใช้ห้องสุขา พร้อมดูแลอย่างเรียบร้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาพที่ไม่สวยงาม การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้โพสต์ลงในสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความเป็นห่วงกรณีขบวนรถโดยสารทางไกลที่ยังใช้ระบบส้วมเปิด หากมีผู้โดยสารใช้งานในช่วงเวลาที่ขบวนรถเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดภาพไม่สวยงามนั้น เรื่องนี้ รฟท. ขอชี้แจงว่ามีแผนดําเนินการและวิธีปฏิบัติในการดูแลรักษาความสะอาดของการใช้ห้องสุขา โดยขั้นตอนในการปรับปรุงประกอบด้วย 1. รฟท. มีตู้โดยสารที่เป็นระบบส้วมปิดให้บริการในปัจจุบัน จํานวน 134 คัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดข้อกังวลในประเด็นของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือภาพที่ไม่สวยงาม 2. สําหรับระบบส้วมเปิดนั้น การรถไฟฯ มีแผนงานซึ่งอยู่ระหว่างการดําเนินการปรับปรุงห้องสุขาของตู้โดยสารให้เป็นแบบปิด แบ่งออกเป็นตู้โดยสารปรับอากาศ จํานวน 88 คัน ตู้พัดลม 62 คัน รวมทั้งสิ้น 150 คัน ซึ่งจะดําเนินการปรับปรุงเรียบร้อยและสามารถทยอยออกให้บริการแก่ผู้โดยสารได้ในช่วงเดือนมกราคม 2565 นอกจากนี้ การรถไฟฯ มีแนวทางและขั้นตอนปฏิบัติดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้ห้องสุขา โดยได้ออกประกาศของดและขอความร่วมมือจากผู้โดยสารในเรื่องการใช้ห้องสุขา ตลอดจนออกระเบียบวิธีปฏิบัติสําหรับพนักงานขบวนรถไว้อย่างชัดเจน โดยในช่วงระยะก่อนที่จะเข้าบริเวณที่กําหนดก่อนเข้าสถานีกลางบางซื่อ การรถไฟฯ จะประกาศและขอความร่วมมือในการงดใช้ห้องน้ํา ทั้งนี้ ตามคําสั่งของ รฟท. ส่วนหนึ่งนั้น ได้กําหนดวิธีปฏิบัติขณะขบวนรถเข้าในเขตพื้นที่ของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งนอกจากกําหนดให้พนักงานขบวนรถคอยอํานวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารระหว่างการขึ้นและลงจากขบวนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังกําหนดให้พนักงานฯ แจ้งข้อปฏิบัติแก่ผู้โดยสารและข้อห้ามต่าง ๆ อาทิ - ห้ามเปิดประตูและใช้บริเวณบันไดขึ้นลงของขบวนรถเป็นที่โดยสาร - ห้ามทิ้งขยะมูลฝอย เศษอาหาร และสิ่งของต่างๆ - ห้ามยื่นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกไปนอกตัวรถ - ห้ามใช้ห้องน้ํา ห้องสุขา ขณะขบวนรถจอดอยู่ในพื้นที่ของทุกสถานี (ซึ่งเป็นกฎระเบียบของการรถไฟฯ ที่ใช้มาโดยตลอดกับทุกสถานีทั่วประเทศ) หรือขณะขบวนเข้าทําการสูบถ่ายสิ่งปฏิกูล เติมน้ํามันเชื้อเพลิง และเข้าเทียบที่โรงซ่อมรถโดยสารทางไกล รวมถึงบริเวณระยะที่กําหนดไว้ก่อนที่จะมีการเข้าสถานีกลางบางซื่อ อย่างไรก็ดีทางเจ้าหน้าที่จะมีการประกาศบนขบวนรถเมื่อใกล้ถึงจุดที่กําหนดไว้ ส่วนประเด็นในเรื่องการปล่อยควันภายในพื้นที่ชั้น 2 ของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นชานชาลารถไฟนั้น รฟท. ได้มีการออกแบบและติดตั้งเครื่องดูดควันไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพื่อช่วยให้การระบายควันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของควันแต่อย่างใด ทั้งนี้ รฟท. ขอขอบคุณทุกความห่วงใยและข้อเสนอแนะที่มีต่อการให้บริการ ซึ่งรฟท. ได้พยายามดูแลมาตรฐานและความเป็นระเบียบเรียบร้อยต่างๆของสถานีกลางบางซื่อ โดยนอกเหนือจากการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน ยังได้ดําเนินการในหลาย ๆ เรื่องเพิ่มเติม ทั้งด้านการรักษาความสะอาด รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในอาคารและบริเวณโดยรอบมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สถานีกลางบางซื่อ กลายเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่ทันสมัยและเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สําคัญของประเทศและภูมิภาคอาเซียน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. วอนหยุดโพสต์ หยุดแชร์ข่าว “บขส. หยุดวิ่งรถ ทุกเส้นทางทั่วประเทศ”
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 บขส. วอนหยุดโพสต์ หยุดแชร์ข่าว “บขส. หยุดวิ่งรถ ทุกเส้นทางทั่วประเทศ” ... นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่สื่อออนไลน์บางแห่งยังมีการแชร์ข่าว “ประกาศ บขส. หยุดวิ่งรถทุกเส้นทางทั่วประเทศ เริ่มพรุ่งนี้” บขส. ขอความร่วมมือหยุดแชร์ข่าวดังกล่าว เนื่องจากสร้างความสับสนและอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของ บขส. ผ่านช่องทางของ บขส. โดยตรงอาทิ เว็บไซต์ www.transport.co.th Facebook Fanpage: บขส. หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี บขส. อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อดําเนินคดีกับผู้ที่นําชื่อ บขส. ไปใช้ในทางที่เสียหาย และใช้เรียกร้องความสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและสร้างความสับสนให้แก่ประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะในวงกว้าง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. วอนหยุดโพสต์ หยุดแชร์ข่าว “บขส. หยุดวิ่งรถ ทุกเส้นทางทั่วประเทศ” วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 บขส. วอนหยุดโพสต์ หยุดแชร์ข่าว “บขส. หยุดวิ่งรถ ทุกเส้นทางทั่วประเทศ” ... นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่สื่อออนไลน์บางแห่งยังมีการแชร์ข่าว “ประกาศ บขส. หยุดวิ่งรถทุกเส้นทางทั่วประเทศ เริ่มพรุ่งนี้” บขส. ขอความร่วมมือหยุดแชร์ข่าวดังกล่าว เนื่องจากสร้างความสับสนและอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารของ บขส. ผ่านช่องทางของ บขส. โดยตรงอาทิ เว็บไซต์ www.transport.co.th Facebook Fanpage: บขส. หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี บขส. อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อดําเนินคดีกับผู้ที่นําชื่อ บขส. ไปใช้ในทางที่เสียหาย และใช้เรียกร้องความสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและสร้างความสับสนให้แก่ประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะในวงกว้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50369
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กำชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กําชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กําชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์และวัคซีนเข็มกระตุ้น วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์หลังพบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีจํานวนบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด-19 ถึง 156 คน สูงที่สุดตั้งแต่มีการระบาดมา จึงขอให้บุคลาการทางการแพทย์ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ระมัดระวังป้องกันตนเองให้ดีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตระหนักตลอดเวลาว่า แพทย์และบุคลการด้านสาธารณสุข เป็นผู้ที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและดูแลรักษาประชาชน นอกจากนี้ ยังฝากเชิญชวนประชาชนเร่งเข้ารับบริการฉีดวัคซีนให้ครอบตามเกณฑ์ก่อนรีบเข้ารับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโควิดและสามารถลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้กําชับกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิดเนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบโดยเฉพาะการแพร่ระบาดในกลุ่มชุมชนและโรงเรียน ย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19ขั้นสูงสุด การเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนทุกวัย และการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมได้มากที่สุด จึงมีความสําคัญ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดลงได้ด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ําให้ติดตามกระแสข่าวการพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์ผสมระหว่างเดลตาและโอมิครอน หรือ ‘เดลตาครอน’ รายแรกของโลกที่อังกฤษ แม้ยังไม่ทราบความรุนแรงจะมากกว่าเดิมหรือไม่แต่ก็ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเชื่อมั่นระบบและมาตรการด้านสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดได้ สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยวันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2565) พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 17,349 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 17,104 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 245 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 432,976 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 11,561 ราย รวมหายป่วยสะสม 321,318 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษา 144,061 ราย และเสียชีวิต 22 ราย ขณะที่ล่าสุดการได้รับวัคซีนสะสมของประเทศไทย (28 ก.พ. 2564 - 16 ก.พ. 2565) รวม 120,771,687 โดส ใน 77 จังหวัด โดยแบ่งผู้ได้รับวัคซีน ดังนี้ จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 52,909,389 ราย จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 49,314,385 ราย จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 17,100,586 ราย แล จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 4 สะสม 1,387,327 ราย ---------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กำชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กําชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ กําชับดูแลระมัดระวังป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ สธ. เชิญชวน ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์และวัคซีนเข็มกระตุ้น วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์หลังพบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีจํานวนบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด-19 ถึง 156 คน สูงที่สุดตั้งแต่มีการระบาดมา จึงขอให้บุคลาการทางการแพทย์ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ระมัดระวังป้องกันตนเองให้ดีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตระหนักตลอดเวลาว่า แพทย์และบุคลการด้านสาธารณสุข เป็นผู้ที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทยและดูแลรักษาประชาชน นอกจากนี้ ยังฝากเชิญชวนประชาชนเร่งเข้ารับบริการฉีดวัคซีนให้ครอบตามเกณฑ์ก่อนรีบเข้ารับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโควิดและสามารถลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้กําชับกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิดเนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบโดยเฉพาะการแพร่ระบาดในกลุ่มชุมชนและโรงเรียน ย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19ขั้นสูงสุด การเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนทุกวัย และการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมได้มากที่สุด จึงมีความสําคัญ จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดลงได้ด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ําให้ติดตามกระแสข่าวการพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์ผสมระหว่างเดลตาและโอมิครอน หรือ ‘เดลตาครอน’ รายแรกของโลกที่อังกฤษ แม้ยังไม่ทราบความรุนแรงจะมากกว่าเดิมหรือไม่แต่ก็ต้องติดตามอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยเชื่อมั่นระบบและมาตรการด้านสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพและมีความเข้มแข็งสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดได้ สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยวันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2565) พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 17,349 ราย จําแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 17,104 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 245 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 432,976 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 11,561 ราย รวมหายป่วยสะสม 321,318 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษา 144,061 ราย และเสียชีวิต 22 ราย ขณะที่ล่าสุดการได้รับวัคซีนสะสมของประเทศไทย (28 ก.พ. 2564 - 16 ก.พ. 2565) รวม 120,771,687 โดส ใน 77 จังหวัด โดยแบ่งผู้ได้รับวัคซีน ดังนี้ จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 52,909,389 ราย จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 49,314,385 ราย จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 17,100,586 ราย แล จํานวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 4 สะสม 1,387,327 ราย ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลำปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง ยกระดับประเพณีงานบวชหลังช้างจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ และนานาชาติ วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง ยกระดับประเพณีงานบวชหลังช้างจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ และนานาชาติ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยการพัฒนาศักยภาพคนในทุกช่วงวัยและส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและนโยบายวธ.ในการส่งเสริมการเรียนรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์และการจัดการองค์ความรู้ทางวัฒนธรรม ดังนั้น เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคมที่ผ่านมา วธ. ได้ร่วมสืบสาน รักษา ต่อยอดภูมิปัญญาช้าง สัตว์ประจําชาติไทย และเชิญชวนให้เด็กและเยาวชน ประชาชน นักท่องเที่ยวไปศึกษาและเที่ยวชมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) จังหวัดลําปาง โดยวธ.ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง เพื่อช่วยโปรโมทส่งเสริมการท่องเที่ยววันอนุรักษ์ช้างไทย โดยทางสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง และภาคส่วนต่าง ๆ ไปร่วมกิจกรรมทําบุญตักบาตร เลี้ยงขันโตกช้างในวันอนุรักษ์ช้างไทยด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้กําลังใจและช่วยเหลือศูนย์อนุรักษ์ช้าง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วย นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ ทําหน้าที่หลักในการอนุรักษ์และบริบาลช้าง มีช้างในความดูแลจํานวนกว่า 100 เชือก และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ โปรแกรมการฝึกควาญช้าง สอนให้รู้จักทักษะเบื้องต้นในการขี่ช้าง เช่น เทคนิคการควบคุมช้าง และใช้ภาษาคําสั่งช้าง ซึ่งเป็นช้างที่มีความฉลาดและนิสัยดี และช้างเหล่านั้นเป็นช้างที่ทํางานเป็นช้างแสดงในการแสดงช้างของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ช้าง โปรแกรมชมวิถีชีวิตช้างโขลง นั่งรถชมธรรมชาติสองข้างทางเพื่อไปชมวิถีชีวิตจากช้างบ้านมาเป็นช้างโขลงบริเวณห้วยสุพรรณ ชมช้างโขลงที่เลี้ยงตามธรรมชาติ และดูความน่ารักของลูกช้างน้อย ชมช้างโขลงอาบน้ํา โดยภายศูนย์ฯ มีบริการห้องประชุม อบรม สัมมนา บริการที่พัก/ห้องพัก ด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ทุกช่องทางออนไลน์ และโทร 0-5482-9333 รมว.วธ. กล่าวอีกว่า ในส่วนของการอนุรักษ์ช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ วธ. โดย สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว วัดป่าอาเจียง ในการจัดกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน ศึกษาวิถีชีวิตคนกับช้าง สร้างรายได้ให้กับช้างตกงาน ในชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว ซึ่งเป็นชุมชน “บวร On Tour” และเป็นชุมชน “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ในระดับจังหวัดของจังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ ยังพื้นฟู และส่งเสริมให้ภูมิปัญญาคนเลี้ยงช้าง มีอาชีพ รายได้ โดยเข้าไปต่อยอดการทําผลิตภัณฑ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับช้าง เช่น ตะขอช้าง แหวนหางช้าง แหวนงาช้าง สร้างสรรค์เป็นสินค้า CCPOT ของชุมชน คือ ตะขอช้างมงคล รวมทั้งนําชุมชนมาร่วมกิจกรรมขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในกิจกรรมต่างที่สํานักงานวัฒนธรรมจัดขึ้น โดยในเร็ว ๆ นี้ จะบูรณาการร่วมกับ ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนในการจัดกิจกรรมประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง ที่เป็นประเพณีดั้งเดิมของชนชาติพันธุ์กูย/กวย จังหวัดสุรินทร์ และงานประเพณีแห่ช้างบวชนาคไทยพวน เป็นประเพณีของชาวไทยพวนบ้านหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เพื่อยกระดับประเพณีจากท้องถิ่นให้เป็นงานระดับจังหวัดสู่ระดับนานาชาติ ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว และเกิดรายได้ให้กับคนเลี้ยงช้างในพื้นที่ ช่วยให้คุณภาพชีวิตของช้างดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยังได้สนับสนุนโครงการการผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ และเทิดทูนคุณค่า ช้างไทย และชาวชาติพันธุ์กูย นําเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับช้าง ออกไปสู่สาธารณชน โดยจัดทําเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เรื่อง คชศาสตร์ชาวกูย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ การจัดทําสื่อ สังคมออนไลน์ (SOCIAL MEDIA) ในหัวข้อ ช้าง กูย และคนรักช้าง และจัดทํานิทรรศการภาพถ่าย ในชื่อ อลังการ ช้าง กูย และ คนรักช้าง อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลำปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง ยกระดับประเพณีงานบวชหลังช้างจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ และนานาชาติ วธ.ร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาช้างไทย ส่งเสริมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ลําปางเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม-ท่องเที่ยววิถีชีวิตช้าง คนเลี้ยงช้าง ยกระดับประเพณีงานบวชหลังช้างจากท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ และนานาชาติ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยการพัฒนาศักยภาพคนในทุกช่วงวัยและส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและนโยบายวธ.ในการส่งเสริมการเรียนรู้ การศึกษา การสร้างสรรค์และการจัดการองค์ความรู้ทางวัฒนธรรม ดังนั้น เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคมที่ผ่านมา วธ. ได้ร่วมสืบสาน รักษา ต่อยอดภูมิปัญญาช้าง สัตว์ประจําชาติไทย และเชิญชวนให้เด็กและเยาวชน ประชาชน นักท่องเที่ยวไปศึกษาและเที่ยวชมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) จังหวัดลําปาง โดยวธ.ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง เพื่อช่วยโปรโมทส่งเสริมการท่องเที่ยววันอนุรักษ์ช้างไทย โดยทางสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง และภาคส่วนต่าง ๆ ไปร่วมกิจกรรมทําบุญตักบาตร เลี้ยงขันโตกช้างในวันอนุรักษ์ช้างไทยด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้กําลังใจและช่วยเหลือศูนย์อนุรักษ์ช้าง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วย นายอิทธิพล กล่าวต่อไปว่า สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ ทําหน้าที่หลักในการอนุรักษ์และบริบาลช้าง มีช้างในความดูแลจํานวนกว่า 100 เชือก และยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ โปรแกรมการฝึกควาญช้าง สอนให้รู้จักทักษะเบื้องต้นในการขี่ช้าง เช่น เทคนิคการควบคุมช้าง และใช้ภาษาคําสั่งช้าง ซึ่งเป็นช้างที่มีความฉลาดและนิสัยดี และช้างเหล่านั้นเป็นช้างที่ทํางานเป็นช้างแสดงในการแสดงช้างของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ช้าง โปรแกรมชมวิถีชีวิตช้างโขลง นั่งรถชมธรรมชาติสองข้างทางเพื่อไปชมวิถีชีวิตจากช้างบ้านมาเป็นช้างโขลงบริเวณห้วยสุพรรณ ชมช้างโขลงที่เลี้ยงตามธรรมชาติ และดูความน่ารักของลูกช้างน้อย ชมช้างโขลงอาบน้ํา โดยภายศูนย์ฯ มีบริการห้องประชุม อบรม สัมมนา บริการที่พัก/ห้องพัก ด้วย ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ทุกช่องทางออนไลน์ และโทร 0-5482-9333 รมว.วธ. กล่าวอีกว่า ในส่วนของการอนุรักษ์ช้างไทยจังหวัดสุรินทร์ วธ. โดย สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว วัดป่าอาเจียง ในการจัดกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชน ศึกษาวิถีชีวิตคนกับช้าง สร้างรายได้ให้กับช้างตกงาน ในชุมชนคุณธรรมฯ บ้านหนองบัว ซึ่งเป็นชุมชน “บวร On Tour” และเป็นชุมชน “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ในระดับจังหวัดของจังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้ ยังพื้นฟู และส่งเสริมให้ภูมิปัญญาคนเลี้ยงช้าง มีอาชีพ รายได้ โดยเข้าไปต่อยอดการทําผลิตภัณฑ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับช้าง เช่น ตะขอช้าง แหวนหางช้าง แหวนงาช้าง สร้างสรรค์เป็นสินค้า CCPOT ของชุมชน คือ ตะขอช้างมงคล รวมทั้งนําชุมชนมาร่วมกิจกรรมขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในกิจกรรมต่างที่สํานักงานวัฒนธรรมจัดขึ้น โดยในเร็ว ๆ นี้ จะบูรณาการร่วมกับ ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนในการจัดกิจกรรมประเพณีบวชนาคบนหลังช้าง ที่เป็นประเพณีดั้งเดิมของชนชาติพันธุ์กูย/กวย จังหวัดสุรินทร์ และงานประเพณีแห่ช้างบวชนาคไทยพวน เป็นประเพณีของชาวไทยพวนบ้านหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เพื่อยกระดับประเพณีจากท้องถิ่นให้เป็นงานระดับจังหวัดสู่ระดับนานาชาติ ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว และเกิดรายได้ให้กับคนเลี้ยงช้างในพื้นที่ ช่วยให้คุณภาพชีวิตของช้างดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ยังได้สนับสนุนโครงการการผลิตสื่อเพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ และเทิดทูนคุณค่า ช้างไทย และชาวชาติพันธุ์กูย นําเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับช้าง ออกไปสู่สาธารณชน โดยจัดทําเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เรื่อง คชศาสตร์ชาวกูย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ การจัดทําสื่อ สังคมออนไลน์ (SOCIAL MEDIA) ในหัวข้อ ช้าง กูย และคนรักช้าง และจัดทํานิทรรศการภาพถ่าย ในชื่อ อลังการ ช้าง กูย และ คนรักช้าง อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ำชัด ดำเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565 กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําชัด ดําเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์ กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําชัด ดําเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์ นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลฯ รับข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความห่วงใยต่อเด็กและเยาวชน กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่าในขณะนี้มีการจําหน่ายสื่อลามกอนาจารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์มาโดยตลอด และได้ดําเนินมาตรการในการป้องกันด้วยการสร้างการตระหนักรู้ในการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นถึงอันตรายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและวิธีการในการรับมือแต่ละสถานการณ์ รวมทั้งจัดให้มีหน่วยงานรับแจ้งเบาะแสและให้คําปรึกษาเมื่อประชาชนพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนโลกออนไลน์ ควบคู่ไปกับเข้มงวดในการปราบปรามด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงสื่อบนโลกออนไลน์ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อตรวจพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในลักษณะอันลามกอนาจาร กระทรวงดิจิทัลฯ สามารถยื่นคําร้องต่อศาลฯ เพื่อให้มีคําสั่งระงับการเผยแพร่ หรือ ลบข้อมูลออกจากระบบฯ ได้ และผู้นําเข้าหรือส่งต่อยังต้องได้รับโทษตามกฎหมายด้วย ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ “ทุกคนสามารถร่วมกันดูแลสังคมได้ เมื่อพบเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เหมาะสม โดยเฉพาะสื่อลามก อนาจาร ยาเสพติด หรือ เนื้อหาที่มีความรุนแรง สามารถแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการจัดเตรียมไว้ได้ทันที เพื่อที่ผู้ให้บริการจะได้ลบเนื้อหานั้นออกจากระบบได้ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาเหล่านี้จะผิดต่อมาตรฐานการให้บริการของแพลตฟอร์มอยู่แล้ว” นางสาวนพวรรณ กล่าว สําหรับประชาชนเมื่อพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 1212 หรือ เฟซบุ๊กเพจ อาสา จับตา ออนไลน์ หรือ m.me/DESmonitor ได้ตลอด 24 ชั่วโมง **************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ำชัด ดำเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์ วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2565 กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําชัด ดําเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์ กระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําชัด ดําเนินการอย่างเข้มงวดกับเนื้อหาลามกบนโลกออนไลน์ นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลฯ รับข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความห่วงใยต่อเด็กและเยาวชน กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่าในขณะนี้มีการจําหน่ายสื่อลามกอนาจารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์มาโดยตลอด และได้ดําเนินมาตรการในการป้องกันด้วยการสร้างการตระหนักรู้ในการใช้สื่อออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นถึงอันตรายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและวิธีการในการรับมือแต่ละสถานการณ์ รวมทั้งจัดให้มีหน่วยงานรับแจ้งเบาะแสและให้คําปรึกษาเมื่อประชาชนพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนโลกออนไลน์ ควบคู่ไปกับเข้มงวดในการปราบปรามด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงสื่อบนโลกออนไลน์ ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อตรวจพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในลักษณะอันลามกอนาจาร กระทรวงดิจิทัลฯ สามารถยื่นคําร้องต่อศาลฯ เพื่อให้มีคําสั่งระงับการเผยแพร่ หรือ ลบข้อมูลออกจากระบบฯ ได้ และผู้นําเข้าหรือส่งต่อยังต้องได้รับโทษตามกฎหมายด้วย ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ “ทุกคนสามารถร่วมกันดูแลสังคมได้ เมื่อพบเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เหมาะสม โดยเฉพาะสื่อลามก อนาจาร ยาเสพติด หรือ เนื้อหาที่มีความรุนแรง สามารถแจ้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผ่านช่องทางที่ผู้ให้บริการจัดเตรียมไว้ได้ทันที เพื่อที่ผู้ให้บริการจะได้ลบเนื้อหานั้นออกจากระบบได้ เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาเหล่านี้จะผิดต่อมาตรฐานการให้บริการของแพลตฟอร์มอยู่แล้ว” นางสาวนพวรรณ กล่าว สําหรับประชาชนเมื่อพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 1212 หรือ เฟซบุ๊กเพจ อาสา จับตา ออนไลน์ หรือ m.me/DESmonitor ได้ตลอด 24 ชั่วโมง **************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส แถลงร่วมตํารวจไซเบอร์ จับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม The Sandy Brand พร้อมอายัดบัญชี ผู้เสียหายเบื้องต้น 71 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท เผยเร่งบูรณาการทํางานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ดําเนินคดีให้เร็วที่สุด และติดตามเงินคืนประชาชน วันนี้ (11 เม.ย. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมแถลงข่าวกับ พ.ต.อ.เอกนิรุจฒิ์ วันสิริภักดิ์ ผกก.2 บก.สอท.1 กองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เกี่ยวกับ “ผลการดําเนินคดีกับเพจสั่งซื้อสินค้าแบรนด์เนมออนไลน์แต่ไม่ได้รับสินค้า” โดยล่าสุดติดตามตัวและจับกุมเจ้าของร้านขายสินค้าภายใต้ชื่อไอจี และเพจ The Sandy Brand มาดําเนินคดีได้แล้ว ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” พร้อมตรวจยึดของกลางกว่า 60 รายการ และล่าสุดมีการอายัดบัญชีแล้ว นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เมื่อกลางเดือน ก.พ. 65 มีกลุ่มผู้เสียหายจํานวนหนึ่ง รวมตัวเดินทางมาร้องเรียนกรณีสั่งซื้อสินค้าแบรนด์เนมจากเพจ The Sandy Brand แล้วไม่ได้รับสินค้า ครอบคลุมตั้งแต่ราคาหลักหมื่นถึงหลักแสน พบมีผู้เสียหายอย่างน้อย 71 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท โดยพฤติกรรมกระทําความผิด มิจฉาชีพเปิดเพจร้านขายผ่อนกระเป๋าแบรนด์เนม มีการถ่ายรูปออฟฟิศสร้างความน่าเชื่อถือ มีตัวอย่างสินค้าทําการไลฟ์สด แต่เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้รับสินค้า เมื่อติดต่อทวงถาม จะบ่ายเบี่ยง อ้างว่าไม่สามารถส่งสินค้าได้ เนื่องจากระบบขนส่งเป็นอัมพาตจากเหตุโควิดระบาด สําหรับคดีนี้ผู้เสียหายมีการแจ้งความไว้ และเดินทางมาร้องเรียนที่ดีอีเอส เบื้องต้นกระทรวงฯ ได้ดําเนินการแจ้งไปยังเฟซบุ๊ก ขอควาร่วมมือให้ดําเนินการปิดกั้นยูอาร์แอลของร้านค้าออนไลน์รายนี้ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตามมาตรา 14 กรณีเป็นผู้ให้บริการ และหากยังไม่ได้รับความร่วมมือจะเร่งขอคําสั่งศาล ตามมาตรา 20 ที่ว่าด้วยการปิดกั้นเว็บไซต์ และที่เป็นความผิดกฎหมายอื่น /ลักษณะขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน “ผมได้สั่งการให้เร่งติดตามผู้กระทําเข้าสู่กระบวนการดําเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เสียหายให้ได้เงินคืนโดยเร็ว อีกทั้งป้องกันไม่ให้ประชาชนรายอื่นๆ เป็นเหยื่อกลโกงของผู้ค้าออนไลน์ในลักษณะนี้โดยเป็นไปตามนโยบายของท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความเป็นห่วงเรื่องนี้ มอบหมายให้ดีอีเอส ใช้อํานาจตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รีบปิดกั้น อายัดบัญชี และดําเนินคดีโดยเร็ว แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน อีกทั้งเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อธุรกิจออนไลน์” นายชัยวุฒิกล่าว รมว.ดีอีเอส กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้การแถลงข่าววันนี้ เป็นอุทาหรณ์ไปยังประชาชน ในการซื้อสินค้าราคาสูงทางออนไลน์ ต้องตรวจสอบผู้ค้าให้ดี ว่ามีความน่าเชื่อถือ และถ้าจะโอนเงินต้องมีหลักประกัน อย่าเชื่อแต่รูปภาพสินค้าบนหน้าร้านออนไลน์ เพราะอาจไม่มีสินค้าจริง หรือมีแล้วอาจไม่จัดส่งให้ โดยเมื่อเกิดความเสียหาย กระบวนการดําเนินคดีต้องใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐาน และกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อติดตามเอาเงินคืน ซึ่งปัจจุบันช่องทางการซื้อขายที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดมากกว่า 80% คือเฟซบุ๊ก สําหรับการจับกุมครั้งนี้ ดําเนินการตามหมายจับศาลอาญา ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ในมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทําความผิดโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้นั้นต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ” นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ โดยการทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และบช.สอท. เร่งบูรณาการทํางานแก้ไขปัญหาจากการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส ปัญหา หรือขอคําปรึกษา เข้ามาได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 OCC ผ่านช่องทาง ดังนี้ สายด่วนโทร. 1212 อีเมล์ [email protected] เว็บไซต์ 1212OCC.com เพจเฟซบุ๊ก : ข้อมูลข่าวสาร 1212 OCC และสํานักงานสถิติจังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งยังสามารถแจ้งได้ผ่านกล่องข้อความของเพจอาสาจับตาออนไลน์ที่ https://m.facebook.com/DESMonitor/ หรือโทรสายด่วนของ บช.สอท.1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม ดีอีเอส-ตร.ไซเบอร์ แถลงจับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส แถลงร่วมตํารวจไซเบอร์ จับกุมโกงออนไลน์ขายกระเป๋าแบรนด์เนม The Sandy Brand พร้อมอายัดบัญชี ผู้เสียหายเบื้องต้น 71 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท เผยเร่งบูรณาการทํางานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ดําเนินคดีให้เร็วที่สุด และติดตามเงินคืนประชาชน วันนี้ (11 เม.ย. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมแถลงข่าวกับ พ.ต.อ.เอกนิรุจฒิ์ วันสิริภักดิ์ ผกก.2 บก.สอท.1 กองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เกี่ยวกับ “ผลการดําเนินคดีกับเพจสั่งซื้อสินค้าแบรนด์เนมออนไลน์แต่ไม่ได้รับสินค้า” โดยล่าสุดติดตามตัวและจับกุมเจ้าของร้านขายสินค้าภายใต้ชื่อไอจี และเพจ The Sandy Brand มาดําเนินคดีได้แล้ว ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” พร้อมตรวจยึดของกลางกว่า 60 รายการ และล่าสุดมีการอายัดบัญชีแล้ว นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เมื่อกลางเดือน ก.พ. 65 มีกลุ่มผู้เสียหายจํานวนหนึ่ง รวมตัวเดินทางมาร้องเรียนกรณีสั่งซื้อสินค้าแบรนด์เนมจากเพจ The Sandy Brand แล้วไม่ได้รับสินค้า ครอบคลุมตั้งแต่ราคาหลักหมื่นถึงหลักแสน พบมีผู้เสียหายอย่างน้อย 71 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 13 ล้านบาท โดยพฤติกรรมกระทําความผิด มิจฉาชีพเปิดเพจร้านขายผ่อนกระเป๋าแบรนด์เนม มีการถ่ายรูปออฟฟิศสร้างความน่าเชื่อถือ มีตัวอย่างสินค้าทําการไลฟ์สด แต่เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้รับสินค้า เมื่อติดต่อทวงถาม จะบ่ายเบี่ยง อ้างว่าไม่สามารถส่งสินค้าได้ เนื่องจากระบบขนส่งเป็นอัมพาตจากเหตุโควิดระบาด สําหรับคดีนี้ผู้เสียหายมีการแจ้งความไว้ และเดินทางมาร้องเรียนที่ดีอีเอส เบื้องต้นกระทรวงฯ ได้ดําเนินการแจ้งไปยังเฟซบุ๊ก ขอควาร่วมมือให้ดําเนินการปิดกั้นยูอาร์แอลของร้านค้าออนไลน์รายนี้ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตามมาตรา 14 กรณีเป็นผู้ให้บริการ และหากยังไม่ได้รับความร่วมมือจะเร่งขอคําสั่งศาล ตามมาตรา 20 ที่ว่าด้วยการปิดกั้นเว็บไซต์ และที่เป็นความผิดกฎหมายอื่น /ลักษณะขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน “ผมได้สั่งการให้เร่งติดตามผู้กระทําเข้าสู่กระบวนการดําเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เสียหายให้ได้เงินคืนโดยเร็ว อีกทั้งป้องกันไม่ให้ประชาชนรายอื่นๆ เป็นเหยื่อกลโกงของผู้ค้าออนไลน์ในลักษณะนี้โดยเป็นไปตามนโยบายของท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความเป็นห่วงเรื่องนี้ มอบหมายให้ดีอีเอส ใช้อํานาจตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รีบปิดกั้น อายัดบัญชี และดําเนินคดีโดยเร็ว แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน อีกทั้งเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อธุรกิจออนไลน์” นายชัยวุฒิกล่าว รมว.ดีอีเอส กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้การแถลงข่าววันนี้ เป็นอุทาหรณ์ไปยังประชาชน ในการซื้อสินค้าราคาสูงทางออนไลน์ ต้องตรวจสอบผู้ค้าให้ดี ว่ามีความน่าเชื่อถือ และถ้าจะโอนเงินต้องมีหลักประกัน อย่าเชื่อแต่รูปภาพสินค้าบนหน้าร้านออนไลน์ เพราะอาจไม่มีสินค้าจริง หรือมีแล้วอาจไม่จัดส่งให้ โดยเมื่อเกิดความเสียหาย กระบวนการดําเนินคดีต้องใช้ระยะเวลารวบรวมหลักฐาน และกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อติดตามเอาเงินคืน ซึ่งปัจจุบันช่องทางการซื้อขายที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดมากกว่า 80% คือเฟซบุ๊ก สําหรับการจับกุมครั้งนี้ ดําเนินการตามหมายจับศาลอาญา ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ในมาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทําความผิดโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้นั้นต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ” นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ โดยการทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และบช.สอท. เร่งบูรณาการทํางานแก้ไขปัญหาจากการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ โดยประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส ปัญหา หรือขอคําปรึกษา เข้ามาได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 OCC ผ่านช่องทาง ดังนี้ สายด่วนโทร. 1212 อีเมล์ [email protected] เว็บไซต์ 1212OCC.com เพจเฟซบุ๊ก : ข้อมูลข่าวสาร 1212 OCC และสํานักงานสถิติจังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งยังสามารถแจ้งได้ผ่านกล่องข้อความของเพจอาสาจับตาออนไลน์ที่ https://m.facebook.com/DESMonitor/ หรือโทรสายด่วนของ บช.สอท.1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ***********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53524
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. ส่วนการเปิดประเทศต้องประเมินอีกครั้งใน 120 วันข้างหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 “อนุทิน” รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. ส่วนการเปิดประเทศต้องประเมินอีกครั้งใน 120 วันข้างหน้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. เล็งเจรจา เมืองทองธานีขอใช้สถานที่ทํา รพ.บุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน ยันระบบสาธารณสุขไม่ล่ม ยังมีทรัพยากรทั่วประเทศระดมมาช่วยเหลือพื้นที่ระบาดได้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. เล็งเจรจา เมืองทองธานีขอใช้สถานที่ทํา รพ.บุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน ยันระบบสาธารณสุขไม่ล่ม ยังมีทรัพยากรทั่วประเทศระดมมาช่วยเหลือพื้นที่ระบาดได้ ส่วนเปิดประเทศยังต้องมีการประเมินความพร้อมใน 120 วันข้างหน้า วันนี้ (24 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอจากอาจารย์แพทย์ถึงมาตรการล็อกดาวน์ กทม. เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 ซึ่งจะมีคณะกรรมการและ ศบค.พิจารณาในทุกมิติ เพื่อใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยวานนี้ (23 มิถุนายน 2564) ได้หารือกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า พร้อมสนับสนุนทุกเรื่องในการควบคุมโรค ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เช่นที่โรงพยาบาลบุษราคัมรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลือง ถือว่าช่วยแบ่งเบาพื้นที่ กทม.ได้อย่างมาก จะสิ้นสุดสัญญาการเช่าสถานที่ ได้รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อหาสถานที่ภาคส่วนราชการต่างๆ ที่มีความเหมาะสมในการทําเป็นโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ระบบต้องเหมาะสมด้วย เช่น สถานีกลางบางซื่อ แม้มีพื้นที่ใหญ่แต่ระบบแอร์เชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่สามารถตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามได้อย่างไรก็ตาม จะหารือกับประธานเมืองทองธานี เพื่อขอใช้สถานที่ทําโรงพยาบาลบุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้การระบาดส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และอีก 2-3 จังหวัดการบริหารจัดการใช้ระบบเขตสุขภาพเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือกัน ระดมทรัพยากรต่างๆ เข้ามาช่วยดูแลได้จึงไม่อยากให้มองแค่เฉพาะบางจุด เพราะอาจคิดว่ามีความหนาแน่นและไม่เพียงพอ เมื่อมองทั้งระบบสาธารณสุขยังบริหารจัดการได้ ยืนยันว่าระบบสาธารณสุขไม่มีวันล่มสลาย ถ้าจําเป็นจริงๆ ก็ระดมกําลังทั้งประเทศเข้ามาได้เหมือนโรงพยาบาลบุษราคัมที่ได้เปิดให้บริการในขณะนี้ ตอนนี้เราพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ก่อน เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้น โดยระหว่างนี้ต้องพยายามลดจํานวนผู้ติดเชื้อลง และขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมคลัสเตอร์ต่างๆ ด้วยมาตรการ Bubble and Seal ที่ต้องห้ามเข้าออกอย่างจริงจัง ควบคุมคนไม่ให้มีการเดินทาง และกระทรวงสาธารณสุขจะแยกผู้ป่วยเข้ารักษาตามอาการ “ส่วนเรื่องการเปิดประเทศเป็นเรื่องอีก 120 วันข้างหน้า ระหว่างนี้ต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เมื่อมีความพร้อมแล้ว จะมีการประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อนําเสนอทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว หากพิจารณาแล้วยังเปิดไม่ได้ก็คือเปิดไม่ได้ ไม่ใช่ยังไม่ทําอะไรแล้วบอกอย่าไปเปิด ต้องรอไปประเมินสถานการณ์อีกครั้ง” นายอนุทินกล่าว ********************************** 24 มิถุนายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. ส่วนการเปิดประเทศต้องประเมินอีกครั้งใน 120 วันข้างหน้า วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 “อนุทิน” รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. ส่วนการเปิดประเทศต้องประเมินอีกครั้งใน 120 วันข้างหน้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. เล็งเจรจา เมืองทองธานีขอใช้สถานที่ทํา รพ.บุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน ยันระบบสาธารณสุขไม่ล่ม ยังมีทรัพยากรทั่วประเทศระดมมาช่วยเหลือพื้นที่ระบาดได้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับฟังข้อเสนอล็อกดาวน์ กทม. เล็งเจรจา เมืองทองธานีขอใช้สถานที่ทํา รพ.บุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน ยันระบบสาธารณสุขไม่ล่ม ยังมีทรัพยากรทั่วประเทศระดมมาช่วยเหลือพื้นที่ระบาดได้ ส่วนเปิดประเทศยังต้องมีการประเมินความพร้อมใน 120 วันข้างหน้า วันนี้ (24 มิถุนายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอจากอาจารย์แพทย์ถึงมาตรการล็อกดาวน์ กทม. เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 ซึ่งจะมีคณะกรรมการและ ศบค.พิจารณาในทุกมิติ เพื่อใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยวานนี้ (23 มิถุนายน 2564) ได้หารือกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่า พร้อมสนับสนุนทุกเรื่องในการควบคุมโรค ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 เช่นที่โรงพยาบาลบุษราคัมรองรับผู้ป่วยอาการสีเหลือง ถือว่าช่วยแบ่งเบาพื้นที่ กทม.ได้อย่างมาก จะสิ้นสุดสัญญาการเช่าสถานที่ ได้รายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อหาสถานที่ภาคส่วนราชการต่างๆ ที่มีความเหมาะสมในการทําเป็นโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ระบบต้องเหมาะสมด้วย เช่น สถานีกลางบางซื่อ แม้มีพื้นที่ใหญ่แต่ระบบแอร์เชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่สามารถตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามได้อย่างไรก็ตาม จะหารือกับประธานเมืองทองธานี เพื่อขอใช้สถานที่ทําโรงพยาบาลบุษราคัมต่ออีก 2-3 เดือน นายอนุทินกล่าวต่อว่า ขณะนี้การระบาดส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และอีก 2-3 จังหวัดการบริหารจัดการใช้ระบบเขตสุขภาพเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือกัน ระดมทรัพยากรต่างๆ เข้ามาช่วยดูแลได้จึงไม่อยากให้มองแค่เฉพาะบางจุด เพราะอาจคิดว่ามีความหนาแน่นและไม่เพียงพอ เมื่อมองทั้งระบบสาธารณสุขยังบริหารจัดการได้ ยืนยันว่าระบบสาธารณสุขไม่มีวันล่มสลาย ถ้าจําเป็นจริงๆ ก็ระดมกําลังทั้งประเทศเข้ามาได้เหมือนโรงพยาบาลบุษราคัมที่ได้เปิดให้บริการในขณะนี้ ตอนนี้เราพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ก่อน เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้น โดยระหว่างนี้ต้องพยายามลดจํานวนผู้ติดเชื้อลง และขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมคลัสเตอร์ต่างๆ ด้วยมาตรการ Bubble and Seal ที่ต้องห้ามเข้าออกอย่างจริงจัง ควบคุมคนไม่ให้มีการเดินทาง และกระทรวงสาธารณสุขจะแยกผู้ป่วยเข้ารักษาตามอาการ “ส่วนเรื่องการเปิดประเทศเป็นเรื่องอีก 120 วันข้างหน้า ระหว่างนี้ต้องเตรียมความพร้อมทุกอย่าง เมื่อมีความพร้อมแล้ว จะมีการประชุมหารือกันอีกครั้ง เพื่อนําเสนอทั้งด้านสาธารณสุข ความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว หากพิจารณาแล้วยังเปิดไม่ได้ก็คือเปิดไม่ได้ ไม่ใช่ยังไม่ทําอะไรแล้วบอกอย่าไปเปิด ต้องรอไปประเมินสถานการณ์อีกครั้ง” นายอนุทินกล่าว ********************************** 24 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 2 ราย
วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 2 ราย 1) นายท่าปล่อยรถโดยสารปรับอากาศ สาย 8 เพศชาย อายุ 53 ปี 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 1 เพศชาย อายุ 56 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 2 ราย วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 2 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 4 ธันวาคม 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 2 ราย 1) นายท่าปล่อยรถโดยสารปรับอากาศ สาย 8 เพศชาย อายุ 53 ปี 2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 1 เพศชาย อายุ 56 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายจ้าง เฮ! ครม.เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี อยู่และทำงานได้อีก 2 ปี
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ​นายจ้าง เฮ! ครม.เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี อยู่และทํางานได้อีก 2 ปี ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี ในปี 65 ขอต่อใบอนุญาตทํางานก่อนใบเดิมสิ้นอายุ หากพ้นกําหนดให้เร่งขอใบอนุญาตใหม่ใน 6 เดือน เพื่ออยู่และทํางานได้อีก 2 ปี นับจากวันที่ใบอนุญาตเดิมสิ้นสุด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (วันที่ 15 มีนาคม 2565) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ซึ่งเข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ซึ่งวาระการจ้างงาน ครบ 4 ปี ในปี พ.ศ. 2565 ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้อีกไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตเดิมสิ้นสุด ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้คนต่างด้าวที่ประสงค์ทํางานต่อไปกลุ่มดังกล่าว มาดําเนินการยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานหรือยื่นคําขออนุญาตทํางาน ภายในระยะเวลาที่กําหนด “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ทั่วโลกที่ยังคงความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงจําเป็นต้องกําหนดมาตรการป้องกัน ควบคุม และยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ซึ่งเกี่ยวข้องถึงการเดินทางเข้าออกประเทศของคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตาม MOU ที่วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ในปี พ.ศ. 2565 แรงงานต่างด้าวถึง 106,580 คน ประกอบด้วยแรงงานสัญชาติกัมพูชา 26,840 คน ลาว 25,504 คน และเมียนมา 54,236 คน พบอุปสรรค ข้อขัดข้อง รวมทั้งไม่สามารถเดินทางกลับประเทศโดยสะดวก พร้อมกับที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรใกล้จะสิ้นสุดลง โดยที่นายจ้าง/ผู้ประกอบการ ยังมีความต้องการกําลังแรงงานในการฟื้นฟูกิจการ และเศรษฐกิจภายในประเทศ รับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 ที่กําลังคลี่คลาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายกระทรวงแรงงานกําหนดมาตรการยกเว้นและปรับแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้ต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับแรงงาน MOU ซึ่งวาระการจ้างงาน ครบ 4 ปี ที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้อีกไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตทํางานเดิมสิ้นสุด คือกลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 65 โดยแรงงานต่างด้าวต้องดําเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่การอนุญาตทํางานของคนต่างด้าวรายนั้น ๆ สิ้นสุด ณ สถานที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน โดยมีแนวทางการดําเนินการ ดังนี้ 1. คนต่างด้าวตรวจสุขภาพ ณ สถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาต ทํางาน พ.ศ. 2563 2. คนต่างด้าวยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานก่อนที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ และกรณีคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ที่ยังมิได้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานก่อนที่ใบอนุญาตทํางานเดิมสิ้นอายุ หากประสงค์จะทํางานต่อให้ยื่นคําขออนุญาตทํางานภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ โดยคนต่างด้าวจะสามารถทํางานได้ เมื่อได้รับใบอนุญาตทํางานแล้วเท่านั้น *นายทะเบียนจะอนุญาตทํางานได้ไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ 3. คนต่างด้าวขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป เพื่อทํางานเท่ากับระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทํางานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว แต่ไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง *กรณีที่หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ ให้คนต่างด้าวดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าว เพื่อใช้ในการขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป 4. จัดทําทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย “ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ หรือคนต่างด้าวต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ที่เป็นที่ตั้งของสถานประกอบการ หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนําวิธีการดําเนินการ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายจ้าง เฮ! ครม.เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี อยู่และทำงานได้อีก 2 ปี วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ​นายจ้าง เฮ! ครม.เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี อยู่และทํางานได้อีก 2 ปี ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวตาม MoU ที่วาระจ้างงานครบ 4 ปี ในปี 65 ขอต่อใบอนุญาตทํางานก่อนใบเดิมสิ้นอายุ หากพ้นกําหนดให้เร่งขอใบอนุญาตใหม่ใน 6 เดือน เพื่ออยู่และทํางานได้อีก 2 ปี นับจากวันที่ใบอนุญาตเดิมสิ้นสุด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (วันที่ 15 มีนาคม 2565) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ซึ่งเข้ามาทํางานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (MOU) ภายใต้บันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงาน (Agreement) ซึ่งวาระการจ้างงาน ครบ 4 ปี ในปี พ.ศ. 2565 ให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้อีกไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตเดิมสิ้นสุด ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้คนต่างด้าวที่ประสงค์ทํางานต่อไปกลุ่มดังกล่าว มาดําเนินการยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานหรือยื่นคําขออนุญาตทํางาน ภายในระยะเวลาที่กําหนด “จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ทั่วโลกที่ยังคงความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจึงจําเป็นต้องกําหนดมาตรการป้องกัน ควบคุม และยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ซึ่งเกี่ยวข้องถึงการเดินทางเข้าออกประเทศของคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตาม MOU ที่วาระการจ้างงานครบ 4 ปี ในปี พ.ศ. 2565 แรงงานต่างด้าวถึง 106,580 คน ประกอบด้วยแรงงานสัญชาติกัมพูชา 26,840 คน ลาว 25,504 คน และเมียนมา 54,236 คน พบอุปสรรค ข้อขัดข้อง รวมทั้งไม่สามารถเดินทางกลับประเทศโดยสะดวก พร้อมกับที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรใกล้จะสิ้นสุดลง โดยที่นายจ้าง/ผู้ประกอบการ ยังมีความต้องการกําลังแรงงานในการฟื้นฟูกิจการ และเศรษฐกิจภายในประเทศ รับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 ที่กําลังคลี่คลาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายกระทรวงแรงงานกําหนดมาตรการยกเว้นและปรับแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้ต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับแรงงาน MOU ซึ่งวาระการจ้างงาน ครบ 4 ปี ที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้อีกไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่การอนุญาตทํางานเดิมสิ้นสุด คือกลุ่มแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทํางานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานจะครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 65 โดยแรงงานต่างด้าวต้องดําเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับจากวันที่การอนุญาตทํางานของคนต่างด้าวรายนั้น ๆ สิ้นสุด ณ สถานที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน โดยมีแนวทางการดําเนินการ ดังนี้ 1. คนต่างด้าวตรวจสุขภาพ ณ สถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล โดยคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทํางานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในกฎกระทรวงกําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาต ทํางาน พ.ศ. 2563 2. คนต่างด้าวยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานก่อนที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ และกรณีคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ที่ยังมิได้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตทํางานก่อนที่ใบอนุญาตทํางานเดิมสิ้นอายุ หากประสงค์จะทํางานต่อให้ยื่นคําขออนุญาตทํางานภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ โดยคนต่างด้าวจะสามารถทํางานได้ เมื่อได้รับใบอนุญาตทํางานแล้วเท่านั้น *นายทะเบียนจะอนุญาตทํางานได้ไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่ใบอนุญาตทํางานสิ้นอายุ 3. คนต่างด้าวขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป เพื่อทํางานเท่ากับระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ทํางานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว แต่ไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง *กรณีที่หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ ให้คนต่างด้าวดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกสารดังกล่าว เพื่อใช้ในการขอรับการตรวจอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป 4. จัดทําทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย “ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ หรือคนต่างด้าวต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ที่เป็นที่ตั้งของสถานประกอบการ หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนําวิธีการดําเนินการ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ผู้แทนจากสํานักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้องร่วมในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยแก่ผู้พัฒนาเมืองที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด ในการนี้ รองนายกฯ ได้มอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยแก่ผู้พัฒนาเมืองที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) จํานวน 15 เมือง พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการเมือง สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีที่ต้องการให้เกิดการกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ลดความเหลื่อมล้ําในทุกมิติ ด้าน ดีป้า พร้อมจับมือเจ้าของพื้นที่เดินหน้าขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งในรูปแบบเมืองเดิมน่าอยู่ และเมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศต่อเนื่อง ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ รองนายกฯ เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทย หนุนดีอีเอส ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เน้นรูปแบบเมืองน่าอยู่ เมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและบริหารโครงการเมืองอัจฉริยะ พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ผู้แทนจากสํานักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้องร่วมในพิธีมอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยแก่ผู้พัฒนาเมืองที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีฯ ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด ในการนี้ รองนายกฯ ได้มอบตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะประเทศไทยแก่ผู้พัฒนาเมืองที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นพื้นที่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) จํานวน 15 เมือง พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการเมือง สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีที่ต้องการให้เกิดการกระจายศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ลดความเหลื่อมล้ําในทุกมิติ ด้าน ดีป้า พร้อมจับมือเจ้าของพื้นที่เดินหน้าขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งในรูปแบบเมืองเดิมน่าอยู่ และเมืองใหม่ทันสมัย ทั่วประเทศต่อเนื่อง ************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ำให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 นายกฯ แสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ําให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ํารอย นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ําให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ํารอย วันที่ 6 ส.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบกรณี Mrs. Nicole Sauvain-Weisskopf (นางนิโคล โซเวน ไวสคอป) สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) เสียชีวิตบริเวณธารน้ําตกโตนอ่าวยน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา และขอแสดงความเสียใจไปถึงครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งจากส่วนกลางและในพี้นที่ เร่งสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว พร้อมทั้งสั่งให้รายงานกลับมาให้ทราบด้วย ทั้งนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์แสดงความเสียใจกับเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย ไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งกระทรวงการต่างเทศจะประสานกับสถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เพื่อรายงานความก้าวหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง “นายกรัฐมนตรีกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทําความผิดให้ได้โดยเร็ว พร้อมเน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการเพิ่มความเข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวตามโครงการฯ ให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยเร็ว พร้อมขอให้คนไทยช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดรายได้ให้กับประเทศไทยต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ำให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 นายกฯ แสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ําให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ํารอย นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตที่ จ. ภูเก็ต กําชับเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบสวนข้อเท็จจริง ย้ําให้เข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ํารอย วันที่ 6 ส.ค.64 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบกรณี Mrs. Nicole Sauvain-Weisskopf (นางนิโคล โซเวน ไวสคอป) สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ นักท่องเที่ยวในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) เสียชีวิตบริเวณธารน้ําตกโตนอ่าวยน ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา และขอแสดงความเสียใจไปถึงครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งจากส่วนกลางและในพี้นที่ เร่งสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว พร้อมทั้งสั่งให้รายงานกลับมาให้ทราบด้วย ทั้งนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์แสดงความเสียใจกับเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย ไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งกระทรวงการต่างเทศจะประสานกับสถานเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เพื่อรายงานความก้าวหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง “นายกรัฐมนตรีกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการสืบสวนและจับกุมผู้กระทําความผิดให้ได้โดยเร็ว พร้อมเน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการเพิ่มความเข้มงวดดูแลนักท่องเที่ยวตามโครงการฯ ให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อยกระดับมาตรการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยเร็ว พร้อมขอให้คนไทยช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดรายได้ให้กับประเทศไทยต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. ย้ำ! ให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 ที่ผ่านการอนุญาตแล้วเท่านั้น ป้องกันผลบวกลวงได้
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 อย. ย้ํา! ให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 ที่ผ่านการอนุญาตแล้วเท่านั้น ป้องกันผลบวกลวงได้ .... สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ชี้แจง กรณีครูและนักเรียน จ.มุกดาหาร ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK แล้วปรากฏผลบวกลวงจํานวนมากนั้น . พบว่า เป็นชุดตรวจยี่ห้อ Dvot SARS-CoV-2 Antigen test Kit ซึ่งทางโรงเรียนได้รับบริจาคมา โดยชุดตรวจดังกล่าว เป็นชุดตรวจที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. และจากกรณีที่เกิดขึ้น ขอให้ทุกภาคส่วนต้องระมัดระวังในการนําชุดตรวจ ATK ไปตรวจคัดกรองการติดเชื้อโควิด-19 ให้บุคลากรในหน่วยงานของตนเอง . หากประชาชน/หน่วยงานประสงค์จะซื้อชุดตรวจ ควรตรวจสอบยี่ห้อที่ได้รับอนุญาตเสียก่อน โดยตรวจสอบได้ที่ คลิกhttps://www.fda.moph.go.th/sites/Medical/ . กรณีที่มีเชื้อจํานวนไม่มาก หรืออยู่ในช่วงการติดเชื้อระยะแรก "ผลที่ได้อาจเป็นลบ" ดังนั้น หากมีประวัติที่มีความเสี่ยงสูง หรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อให้ตรวจซ้ําอีกครั้งในช่วง 3 - 5 วัน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. ย้ำ! ให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 ที่ผ่านการอนุญาตแล้วเท่านั้น ป้องกันผลบวกลวงได้ วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 อย. ย้ํา! ให้ใช้ชุดตรวจโควิด-19 ที่ผ่านการอนุญาตแล้วเท่านั้น ป้องกันผลบวกลวงได้ .... สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ชี้แจง กรณีครูและนักเรียน จ.มุกดาหาร ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK แล้วปรากฏผลบวกลวงจํานวนมากนั้น . พบว่า เป็นชุดตรวจยี่ห้อ Dvot SARS-CoV-2 Antigen test Kit ซึ่งทางโรงเรียนได้รับบริจาคมา โดยชุดตรวจดังกล่าว เป็นชุดตรวจที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. และจากกรณีที่เกิดขึ้น ขอให้ทุกภาคส่วนต้องระมัดระวังในการนําชุดตรวจ ATK ไปตรวจคัดกรองการติดเชื้อโควิด-19 ให้บุคลากรในหน่วยงานของตนเอง . หากประชาชน/หน่วยงานประสงค์จะซื้อชุดตรวจ ควรตรวจสอบยี่ห้อที่ได้รับอนุญาตเสียก่อน โดยตรวจสอบได้ที่ คลิกhttps://www.fda.moph.go.th/sites/Medical/ . กรณีที่มีเชื้อจํานวนไม่มาก หรืออยู่ในช่วงการติดเชื้อระยะแรก "ผลที่ได้อาจเป็นลบ" ดังนั้น หากมีประวัติที่มีความเสี่ยงสูง หรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อให้ตรวจซ้ําอีกครั้งในช่วง 3 - 5 วัน #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลย้ํา สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษกรัฐบาลย้ํา สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ เผยแพร่ “ข้อมูลเท็จ” สหประชาชาติให้ประเทศไทยแก้ไข ม.112 ว่าไม่เป็นความจริง โดยต่อกรณีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวแล้ว ดังนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ไทยได้นําเสนอรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยต่อสหประชาชาติ ภายใต้กระบวนการทบทวนรายงานสิทธิมนุษยชนตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เป็นการดําเนินการตามปกติ ทั้งนี้ สหประชาชาติไม่ได้เป็นองค์การที่จะมาบังคับ หรือมาขีดเส้นตายกําหนดเวลาให้ประเทศสมาชิกต้องตอบรับข้อเสนอแนะหรือต้องไปแก้กฎหมาย โดยจากการรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review เป็นที่น่าชื่นชมที่ไทยได้รับคําชมในพัฒนาการหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ํา และการดูแลกลุ่มเปราะบาง นายธนกรฯ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และไม่ส่งต่อข้อมูลดังกล่าว โดยขอให้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร รับข้อมูลจากหน่วยงานโดยตรง ส่วนผู้ผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือน หรือเฟคนิวส์ เสี่ยงจะถูกดําเนินคดี ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีโทษทั้งจําและปรับ จึงขอเตือนผู้ไม่ประสงค์ดีทุกคนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ากระทําการอันจะทําให้เกิดความสับสนในสังคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลย้ำ สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลย้ํา สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษกรัฐบาลย้ํา สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนประชาชนอย่าเชื่อข้อมูลเท็จ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ เผยแพร่ “ข้อมูลเท็จ” สหประชาชาติให้ประเทศไทยแก้ไข ม.112 ว่าไม่เป็นความจริง โดยต่อกรณีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวแล้ว ดังนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ไทยได้นําเสนอรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยต่อสหประชาชาติ ภายใต้กระบวนการทบทวนรายงานสิทธิมนุษยชนตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เป็นการดําเนินการตามปกติ ทั้งนี้ สหประชาชาติไม่ได้เป็นองค์การที่จะมาบังคับ หรือมาขีดเส้นตายกําหนดเวลาให้ประเทศสมาชิกต้องตอบรับข้อเสนอแนะหรือต้องไปแก้กฎหมาย โดยจากการรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review เป็นที่น่าชื่นชมที่ไทยได้รับคําชมในพัฒนาการหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ํา และการดูแลกลุ่มเปราะบาง นายธนกรฯ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และไม่ส่งต่อข้อมูลดังกล่าว โดยขอให้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร รับข้อมูลจากหน่วยงานโดยตรง ส่วนผู้ผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือน หรือเฟคนิวส์ เสี่ยงจะถูกดําเนินคดี ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีโทษทั้งจําและปรับ จึงขอเตือนผู้ไม่ประสงค์ดีทุกคนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ากระทําการอันจะทําให้เกิดความสับสนในสังคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นํานายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวฐาปนีย์เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านตลาดในประเทศ นายชํานาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เข้าพบเพื่อรับนโยบาย “การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว” โดยมี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่จะร่วมมือกันดําเนินการอย่างเต็มที่ในการที่จะเตรียมความพร้อมเปิดประเทศตามเป้าหมายที่กําหนด ในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ โดยต้องมีการกําหนดเงื่อนไขอย่างรอบคอบชัดเจนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อตกลงระหว่างประเทศต้นทางและประเทศไทย ควบคู่กับการดําเนินมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สําหรับผู้เดินทางมาท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เกิดความมั่นใจในการดูแลด้านความปลอดภัยสาธารณสุข ทั้งนี้ ยังขอให้พูดคุยกับสถานประกอบการต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจตรงกันถึงความจําเป็นต่อการดําเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ เพื่อทุกภาคส่วนร่วมมือไปด้วยกันและปฏิบัติตามมาตรการ ให้สามารถดําเนินการตามแนวทางที่กําหนดไว้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยควบคู่กับการดูแลด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชนและผู้ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในรูปแบบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินไทย ศิลปินพื้นบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยเหลือกลุ่มศิลปินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงสิ้นปี โดยย้ําให้ใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ในจังหวัดนําร่องพื้นที่ท่องเที่ยว จากนั้น นายกรัฐมนตรี ยังให้ ม.ร.ว. หญิงวไลวัฒนา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการมูลนิธิชีวิตพัฒนา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกลําดวน ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการดําเนินโครงการสาธารณประโยชน์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ พร้อมแนะให้มีการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนซื้อผลิตภัณฑ์ “ดอกลําดวน เวลาเป็นของมีค่า” เพื่อให้มูลนิธินํารายได้ดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการต่าง ๆ และเพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมเชิญชวนให้คณะรัฐมนตรีร่วมให้การสนับสนุนมูลนิธิอีกด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ นายกรัฐมนตรี ขอภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือเดินหน้าเปิดรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. นี้ แนะเชิญชวนศิลปินไทย ร่วมจัดกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วงเทศกาลปีใหม่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (19 ตุลาคม 2564) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นํานายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวฐาปนีย์เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ด้านตลาดในประเทศ นายชํานาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เข้าพบเพื่อรับนโยบาย “การเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว” โดยมี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่จะร่วมมือกันดําเนินการอย่างเต็มที่ในการที่จะเตรียมความพร้อมเปิดประเทศตามเป้าหมายที่กําหนด ในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ โดยต้องมีการกําหนดเงื่อนไขอย่างรอบคอบชัดเจนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นไปตามเงื่อนไข ข้อตกลงระหว่างประเทศต้นทางและประเทศไทย ควบคู่กับการดําเนินมาตรการด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สําหรับผู้เดินทางมาท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่เกิดความมั่นใจในการดูแลด้านความปลอดภัยสาธารณสุข ทั้งนี้ ยังขอให้พูดคุยกับสถานประกอบการต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจตรงกันถึงความจําเป็นต่อการดําเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ เพื่อทุกภาคส่วนร่วมมือไปด้วยกันและปฏิบัติตามมาตรการ ให้สามารถดําเนินการตามแนวทางที่กําหนดไว้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยควบคู่กับการดูแลด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชนและผู้ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงการจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ในรูปแบบร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดคอนเสิร์ตโดยศิลปินไทย ศิลปินพื้นบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ และกรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยเหลือกลุ่มศิลปินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงสิ้นปี โดยย้ําให้ใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ในจังหวัดนําร่องพื้นที่ท่องเที่ยว จากนั้น นายกรัฐมนตรี ยังให้ ม.ร.ว. หญิงวไลวัฒนา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการมูลนิธิชีวิตพัฒนา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เข้าพบเพื่อประชาสัมพันธ์การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ดอกลําดวน ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการดําเนินโครงการสาธารณประโยชน์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ พร้อมแนะให้มีการพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนซื้อผลิตภัณฑ์ “ดอกลําดวน เวลาเป็นของมีค่า” เพื่อให้มูลนิธินํารายได้ดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการต่าง ๆ และเพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมเชิญชวนให้คณะรัฐมนตรีร่วมให้การสนับสนุนมูลนิธิอีกด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง สั่ง เคลียร์ชัด ช่วยเหลือลูกจ้างบริลเลียนท์ ย้ำไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 รมว.เฮ้ง สั่ง เคลียร์ชัด ช่วยเหลือลูกจ้างบริลเลียนท์ ย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน รมว.เฮ้ง สั่ง กสร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด จ.สมุทรปราการ กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงถึงกรณีให้ความช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด ถูกเลิกจ้างจํานวน 1,388 คน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 เนื่องจากนายจ้างปิดกิจการและไม่ได้รับเงินชดเชย ซึ่งก่อนหน้านี้สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอลฯ ได้เข้ามาพบที่กระทรวงแรงงานเพื่อทวงถามความคืบหน้าในการดําเนินการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งกรณีดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจและเน้นย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือ โดยกระทรวงแรงงานมีคําสั่งให้บริษัทฯ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 243,537,318.67 บาท ซึ่งบริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง กระทรวงแรงงานจึงได้ดําเนินคดีอาญานายจ้าง ฐานฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ปัจจุบันศาลได้ออกหมายจับกรรมการผู้มีอํานาจแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 และการดําเนินการแพ่ง พนักงานตรวจแรงงานได้ยื่นฟ้องบริษัทฯ ให้ปฏิบัติจ่ายเงินตามคําสั่งข้างต้นต่อศาลแรงงาน โดยศาลแรงงานนัดพิจารณาวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ในส่วนของการดําเนินการช่วยเหลือลูกจ้างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ่ายเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แก่ลูกจ้าง จํานวน 1,231 คน เป็นเงินจํานวน 22,321,856 บาท และสํานักงานประกันสังคม จ่ายเงินประกันการว่างงานแก่ลูกจ้าง เป็นเงินจํานวน 65,540,768 บาท ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กรมจัดหางานจัดตําแหน่งงานเพื่อรองรับผู้ว่างงานในจังหวัดสมุทรปราการจํานวน 1,834 ตําแหน่ง นายวรรณรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 และวันที่ 20 กันยายน 2564 สหภาพแรงงานของบริษัท บริลเลียนท์ฯ ได้เรียกร้องให้กระทรวงแรงงาน ขอเงินช่วยเหลือจากงบกลางเพื่อนํามาจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในส่วนที่ขาดอยู่ จํานวน 242 ล้านบาท นั้น กระทรวงแรงงานได้ดําเนินการประสานสํานักงบประมาณ เพื่อขอคําปรึกษาและขอหารือเพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างนําเงินงบกลางมาจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งจากการประสานงานภายในสํานักงบประมาณแจ้งว่ากรณีนี้ไม่สามารถนําเงินจากงบประมาณกลางมาใช้ได้ อย่างไรก็ตามกระทรวงแรงงานจะได้เร่งรัดติดตามเพื่อให้ลูกจ้างได้รับเงินตามกฎหมายต่อไป.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง สั่ง เคลียร์ชัด ช่วยเหลือลูกจ้างบริลเลียนท์ ย้ำไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 รมว.เฮ้ง สั่ง เคลียร์ชัด ช่วยเหลือลูกจ้างบริลเลียนท์ ย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน รมว.เฮ้ง สั่ง กสร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด จ.สมุทรปราการ กรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชย ย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงถึงกรณีให้ความช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด ถูกเลิกจ้างจํานวน 1,388 คน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 เนื่องจากนายจ้างปิดกิจการและไม่ได้รับเงินชดเชย ซึ่งก่อนหน้านี้สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอลฯ ได้เข้ามาพบที่กระทรวงแรงงานเพื่อทวงถามความคืบหน้าในการดําเนินการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งกรณีดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจและเน้นย้ําไม่ทอดทิ้งลูกจ้างกลุ่มนี้แน่นอน ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือ โดยกระทรวงแรงงานมีคําสั่งให้บริษัทฯ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 243,537,318.67 บาท ซึ่งบริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง กระทรวงแรงงานจึงได้ดําเนินคดีอาญานายจ้าง ฐานฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ปัจจุบันศาลได้ออกหมายจับกรรมการผู้มีอํานาจแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564 และการดําเนินการแพ่ง พนักงานตรวจแรงงานได้ยื่นฟ้องบริษัทฯ ให้ปฏิบัติจ่ายเงินตามคําสั่งข้างต้นต่อศาลแรงงาน โดยศาลแรงงานนัดพิจารณาวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ในส่วนของการดําเนินการช่วยเหลือลูกจ้างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ่ายเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แก่ลูกจ้าง จํานวน 1,231 คน เป็นเงินจํานวน 22,321,856 บาท และสํานักงานประกันสังคม จ่ายเงินประกันการว่างงานแก่ลูกจ้าง เป็นเงินจํานวน 65,540,768 บาท ทั้งนี้กระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้กรมจัดหางานจัดตําแหน่งงานเพื่อรองรับผู้ว่างงานในจังหวัดสมุทรปราการจํานวน 1,834 ตําแหน่ง นายวรรณรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 และวันที่ 20 กันยายน 2564 สหภาพแรงงานของบริษัท บริลเลียนท์ฯ ได้เรียกร้องให้กระทรวงแรงงาน ขอเงินช่วยเหลือจากงบกลางเพื่อนํามาจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในส่วนที่ขาดอยู่ จํานวน 242 ล้านบาท นั้น กระทรวงแรงงานได้ดําเนินการประสานสํานักงบประมาณ เพื่อขอคําปรึกษาและขอหารือเพื่อให้การช่วยเหลือลูกจ้างนําเงินงบกลางมาจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งจากการประสานงานภายในสํานักงบประมาณแจ้งว่ากรณีนี้ไม่สามารถนําเงินจากงบประมาณกลางมาใช้ได้ อย่างไรก็ตามกระทรวงแรงงานจะได้เร่งรัดติดตามเพื่อให้ลูกจ้างได้รับเงินตามกฎหมายต่อไป.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน" เป็นมรดกโลก
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน" เป็นมรดกโลก .... ข่าวดีระดับโลกมาอีกแล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผย จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (UNESCO) สมัยสามัญครั้งที่ 44 ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน” เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้เกณฑ์ข้อที่ 10 ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ . พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานนั้น เป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน และเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าแม่น้ําภาชี รวมพื้นที่กว่า 2.5 ล้านไร่ . ถือเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 6 ของไทย และเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งที่ 3 ของไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ - ห้วยขาแข้ง และกลุ่มป่าดงพญาเย็น - เขาใหญ่ . แน่นอนว่า หลังจากนี้การอนุรักษ์ พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งผืนป่าทั่วประเทศจะเข้มข้นขึ้น เพื่อให้เกิดให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และความยั่งยืนต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน" เป็นมรดกโลก วันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน" เป็นมรดกโลก .... ข่าวดีระดับโลกมาอีกแล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผย จากการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก (UNESCO) สมัยสามัญครั้งที่ 44 ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "กลุ่มป่าแก่งกระจาน” เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้เกณฑ์ข้อที่ 10 ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ . พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานนั้น เป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน และเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าแม่น้ําภาชี รวมพื้นที่กว่า 2.5 ล้านไร่ . ถือเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 6 ของไทย และเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งที่ 3 ของไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ - ห้วยขาแข้ง และกลุ่มป่าดงพญาเย็น - เขาใหญ่ . แน่นอนว่า หลังจากนี้การอนุรักษ์ พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งผืนป่าทั่วประเทศจะเข้มข้นขึ้น เพื่อให้เกิดให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และความยั่งยืนต่อไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหม ปันสุขสู่ชุมชน"
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 "ปลัดกระทรวงกลาโหม ปันสุขสู่ชุมชน" จัดกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 135 ปี ณ บริเวณพื้นที่ปากคลองตลาด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหม ปันสุขสู่ชุมชน" วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 "ปลัดกระทรวงกลาโหม ปันสุขสู่ชุมชน" จัดกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 135 ปี ณ บริเวณพื้นที่ปากคลองตลาด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้นค่าผ่านทางอำนวยความสะดวกประชาชน
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ยกเว้นค่าผ่านทางอํานวยความสะดวกประชาชน วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลอํานวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนโดยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 เส้นทาง รวม 60 ด่าน ได้แก่ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา 10 ด่าน ตั้งแต่เวลา 00.01 น. – 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2565 นอกจากนี้ ยังให้บริการทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 6 ช่วงสีคิ้ว-ขามทะเลสอ ระยะทาง 64 กม. ฟรี สําหรับขาออก ในวันที่ 28-29 ก.ค. และขาเข้า ในวันที่ 30-31 ก.ค.65 รวมถึงเปิดให้บริการจอดรถฟรี บริเวณลานจอดรถระยะยาวโซน C ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อลดปัญหาการจราจรและบรรเทาค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางพิเศษสอบถามข้อมูลการเดินทาง และขอความช่วยเหลือได้ ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ โทร 1543 ตลอด 24 ชม. “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกเว้นค่าผ่านทางอำนวยความสะดวกประชาชน วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 ยกเว้นค่าผ่านทางอํานวยความสะดวกประชาชน วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลอํานวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนโดยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ 3 เส้นทาง รวม 60 ด่าน ได้แก่ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร 19 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา 10 ด่าน ตั้งแต่เวลา 00.01 น. – 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.2565 นอกจากนี้ ยังให้บริการทางหลวงระหว่างเมืองหมายเลข 6 ช่วงสีคิ้ว-ขามทะเลสอ ระยะทาง 64 กม. ฟรี สําหรับขาออก ในวันที่ 28-29 ก.ค. และขาเข้า ในวันที่ 30-31 ก.ค.65 รวมถึงเปิดให้บริการจอดรถฟรี บริเวณลานจอดรถระยะยาวโซน C ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อลดปัญหาการจราจรและบรรเทาค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน ทั้งนี้ ผู้ใช้ทางพิเศษสอบถามข้อมูลการเดินทาง และขอความช่วยเหลือได้ ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ โทร 1543 ตลอด 24 ชม. “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บัญชี "สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)" โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธี อีกทั้งได้มอบถุงยังชีพของสํานักนายกรัฐมนตรี จํานวน 6,796 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 6,796,000 บาท ให้นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้แทนกระทรวง พม. เพื่อนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่กรุงเทพมหานครต่อไป ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นางพัชรี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ได้ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มมากขึ้นในวงกว้างทั่วประเทศ รัฐบาลจึงมีความห่วงใยประชาชนจํานวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนและความยากลําบาก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง คนเร่ร่อน ไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กระทรวง พม. ต้องให้ความช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการดําเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยใช้เงินบริจาคจากบัญชี "สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)" จัดหาถุงยังชีพ จํานวน 6,796 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 6,796,000 บาท เพื่อนําไปส่งต่อความช่วยเหลือให้ครอบครัวกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียงที่กําลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลําบากในพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดพื้นที่ควบคุมเข้มงวดและสูงสุด นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า สําหรับถุงยังชีพ ประกอบด้วย เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นและยารักษาโรค ได้แก่ 1) ข้าวสารขาวคุณภาพดี ไม่น้อยกว่า 5 กิโลกรัม จํานวน 1 ถุง 2) ปลากระป๋องชนิดฝาดึง ขนาดไม่น้อยกว่า 155 กรัม จํานวน 7 กระป๋อง 3) ผักกาดกระป๋องชนิดฝาดึง ขนาดไม่น้อยกว่า 140 กรัม จํานวน 3 กระป๋อง 4) อาหารกระป๋องประเภทเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่ปลาซาดีนหรือปลาแมคคอเรลในซอสมะเขือเทศ ขนาดไม่น้อยกว่า 155 กรัม จํานวน 6 กระป๋อง 5) ข้าวสวยสําเร็จรูปบรรจุกระป๋อง ขนาดไม่น้อยกว่า 150 กรัม จํานวน 4 กระป๋อง 6) หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จํานวน 50 แผ่น 7) แอลกอฮอล์เจล ขนาดไม่น้อยกว่า 400 กรัม จํานวน 1 ขวด และ 8) ฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลหรือเม็ด จํานวน 1 ชุด สําหรับ 5 วัน นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางกําลังประสบปัญหาทางสังคมและความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. นายกรัฐมนตรีมอบถุงยังชีพให้ พม. นําไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง เดือดร้อนจากโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บัญชี "สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)" โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธี อีกทั้งได้มอบถุงยังชีพของสํานักนายกรัฐมนตรี จํานวน 6,796 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 6,796,000 บาท ให้นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้แทนกระทรวง พม. เพื่อนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่กรุงเทพมหานครต่อไป ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นางพัชรี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ได้ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มมากขึ้นในวงกว้างทั่วประเทศ รัฐบาลจึงมีความห่วงใยประชาชนจํานวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนและความยากลําบาก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง คนเร่ร่อน ไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กระทรวง พม. ต้องให้ความช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการบริหารจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินเพื่อสนับสนุนการดําเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยใช้เงินบริจาคจากบัญชี "สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)" จัดหาถุงยังชีพ จํานวน 6,796 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 6,796,000 บาท เพื่อนําไปส่งต่อความช่วยเหลือให้ครอบครัวกลุ่มเปราะบางและผู้ป่วยติดเตียงที่กําลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลําบากในพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดพื้นที่ควบคุมเข้มงวดและสูงสุด นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า สําหรับถุงยังชีพ ประกอบด้วย เครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็นและยารักษาโรค ได้แก่ 1) ข้าวสารขาวคุณภาพดี ไม่น้อยกว่า 5 กิโลกรัม จํานวน 1 ถุง 2) ปลากระป๋องชนิดฝาดึง ขนาดไม่น้อยกว่า 155 กรัม จํานวน 7 กระป๋อง 3) ผักกาดกระป๋องชนิดฝาดึง ขนาดไม่น้อยกว่า 140 กรัม จํานวน 3 กระป๋อง 4) อาหารกระป๋องประเภทเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่ปลาซาดีนหรือปลาแมคคอเรลในซอสมะเขือเทศ ขนาดไม่น้อยกว่า 155 กรัม จํานวน 6 กระป๋อง 5) ข้าวสวยสําเร็จรูปบรรจุกระป๋อง ขนาดไม่น้อยกว่า 150 กรัม จํานวน 4 กระป๋อง 6) หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จํานวน 50 แผ่น 7) แอลกอฮอล์เจล ขนาดไม่น้อยกว่า 400 กรัม จํานวน 1 ขวด และ 8) ฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูลหรือเม็ด จํานวน 1 ชุด สําหรับ 5 วัน นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากประชาชนกลุ่มเปราะบางกําลังประสบปัญหาทางสังคมและความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อเรียกร้องชนเผ่าพื้นเมือง จากกรณีกลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อเรียกร้องชนเผ่าพื้นเมือง จากกรณีกลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุความสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มป่าแก่งกระจาน เข้าหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการมรดกโลก ทําให้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งใหม่ ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการดําเนินการในเรื่องที่ดินทํากินมาอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการดําเนินงานของสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่รับผิดชอบ ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ขอชี้แจง ดังนี้ พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่สําคัญ ประกอบด้วยพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ 4 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ําภาชี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และแนวเชื่อมต่อป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนในข้อที่ 10 คือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ และมีคุณค่าโดดเด่นระดับโลก พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นแหล่งต้นน้ําที่สําคัญของแม่น้ําเพชรบุรี แม่น้ําปราณบุรี และแม่น้ําภาชี จัดเป็นป่าผืนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีเนื้อที่ประมาณ 2.5 ล้านไร่ (4,089 ตารางกิโลเมตร) มีความยาวตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของพื้นที่ มากกว่า 200 กิโลเมตร โดยพบชนิดพันธุ์สัตว์ 720 ชนิด ตามบัญชี IUCN Red List เมื่อจําแนกเป็นสัตว์ที่มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered Species, CR) จํานวน 4 ชนิด ได้แก่ จระเข้น้ําจืดสายพันธุ์ Siamese crocodile ลิ่นชวา เต่าเหลือง และเต่าหก นอกจากนั้น ยังมีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered Species, EN) 8 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable Species, VU) ๒๓ ชนิดและ ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Near Threatened Species, NT) 25 ชนิด ในประเด็นการจัดที่ดินทํากินนั้น สืบเนื่องจากปี พ.ศ. 2539 ได้มีการอพยพราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย - เมียนมา บริเวณบ้านใจแผ่นดิน ลงมารวมกันตรงข้ามกับหมู่บ้านโป่งลึก และจัดตั้งเป็นหมู่บ้านบางกลอยขึ้น โดยมีแม่น้ําเพชรบุรีกั้นระหว่างหมู่บ้านโป่งลึก และหมู่บ้านบางกลอย ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนซึ่งยังปักปันไม่แล้วเสร็จ โดยมีชาวบ้านทั้งหมด 57 ครอบครัว ประมาณ 230 คน โดยกรมป่าไม้ในขณะนั้นได้ดําเนินการก่อสร้างบ้าน ห้องน้ํา และถังเก็บน้ําให้กับทุกครัวเรือน และจัดที่ทํากินให้ครอบครัวละ 7 ไร่ พื้นที่ปลูกบ้านประมาณ 3 งาน จํานวน 57 แปลง ทั้งนี้ จากข้อมูลการสํารวจสํามะโนประชากร ในหมู่บ้านบางกลอยเมื่อเดือนมกราคม 2564 พบว่ามีจํานวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 113 ครอบครัว จํานวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 673 คน ปัจจุบันมีการสํารวจ การถือครองที่ดินของบ้านบางกลอย ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามมาตรา 64 ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยจะนําผลการสํารวจและจัดทําแผนที่ไปดําเนินการจัดที่ดินทํากินตาม พระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ในด้านการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2558 – 2563 นั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ประชุมชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้แทนราษฎรจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานและโดยรอบ ทั้งหมดรวม 55 หมู่บ้าน ซึ่งรวมทั้งหมู่บ้านชาวไทยและกะเหรี่ยงในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและขอรับการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลก มีการดําเนินการทั้งในระดับกลุ่มป่า ระดับพื้นที่อนุรักษ์ หมู่บ้าน และกลุ่มบ้าน ในการประชุมชี้แจงแต่ละครั้ง มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วม รวมทั้งผู้แทนจากสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ ( IUCN) ประเทศไทยด้วย สําหรับหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์นั้น มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้ที่สื่อสารได้ ทําหน้าที่ล่ามแปลภาษา ซึ่งได้รับฟังและรวบรวมข้อเรียกร้องของราษฎร นํามากําหนดมาตรการและแนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับตัวบทกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ ผลการรับฟังความเห็นเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในด้านการบริหารจัดการพื้นที่ มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาพื้นที่ (Protected Area Advisory Committee, PAC) ในแต่ละพื้นที่ของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนกะเหรี่ยงในการบริหารจัดการพื้นที่ โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์จากบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย 2 คน ร่วมเป็นกรรมการ และนอกจากนั้นยังมีการจ้างงานชาวกะเหรี่ยงเพื่อทํางานในอุทยานแห่งชาติด้วย ท้ายนี้ ในด้านการดูแลคุณภาพชีวิตนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีหน่วยงานของรัฐจํานวนไม่น้อยกว่า 22 หน่วยงาน เข้าไปดําเนินการโครงการต่าง ๆ กว่า 88 โครงการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพ และเสริมสร้างสุขอนามัย ให้กับชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมการเกษตร การส่งเสริมอาชีพโครงการส่งเสริมศิลปาชีพและมูลนิธิปิดทองหลังพระ ระบบประปาหมู่บ้าน ระบบน้ําบาดาล พลังงานไฟ ฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สุขศาลาประจําหมู่บ้าน และการส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชน เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อเรียกร้องชนเผ่าพื้นเมือง จากกรณีกลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงข้อเรียกร้องชนเผ่าพื้นเมือง จากกรณีกลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุความสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มป่าแก่งกระจาน เข้าหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการมรดกโลก ทําให้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งใหม่ ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการดําเนินการในเรื่องที่ดินทํากินมาอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการดําเนินงานของสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่รับผิดชอบ ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ขอชี้แจง ดังนี้ พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่สําคัญ ประกอบด้วยพื้นที่ ป่าอนุรักษ์ 4 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ําภาชี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และแนวเชื่อมต่อป่าสงวนแห่งชาติกุยบุรี พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนในข้อที่ 10 คือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ และมีคุณค่าโดดเด่นระดับโลก พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นแหล่งต้นน้ําที่สําคัญของแม่น้ําเพชรบุรี แม่น้ําปราณบุรี และแม่น้ําภาชี จัดเป็นป่าผืนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีเนื้อที่ประมาณ 2.5 ล้านไร่ (4,089 ตารางกิโลเมตร) มีความยาวตั้งแต่เหนือสุดถึงใต้สุดของพื้นที่ มากกว่า 200 กิโลเมตร โดยพบชนิดพันธุ์สัตว์ 720 ชนิด ตามบัญชี IUCN Red List เมื่อจําแนกเป็นสัตว์ที่มีสถานภาพเสี่ยงสูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered Species, CR) จํานวน 4 ชนิด ได้แก่ จระเข้น้ําจืดสายพันธุ์ Siamese crocodile ลิ่นชวา เต่าเหลือง และเต่าหก นอกจากนั้น ยังมีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered Species, EN) 8 ชนิด มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable Species, VU) ๒๓ ชนิดและ ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (Near Threatened Species, NT) 25 ชนิด ในประเด็นการจัดที่ดินทํากินนั้น สืบเนื่องจากปี พ.ศ. 2539 ได้มีการอพยพราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่กระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย - เมียนมา บริเวณบ้านใจแผ่นดิน ลงมารวมกันตรงข้ามกับหมู่บ้านโป่งลึก และจัดตั้งเป็นหมู่บ้านบางกลอยขึ้น โดยมีแม่น้ําเพชรบุรีกั้นระหว่างหมู่บ้านโป่งลึก และหมู่บ้านบางกลอย ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนซึ่งยังปักปันไม่แล้วเสร็จ โดยมีชาวบ้านทั้งหมด 57 ครอบครัว ประมาณ 230 คน โดยกรมป่าไม้ในขณะนั้นได้ดําเนินการก่อสร้างบ้าน ห้องน้ํา และถังเก็บน้ําให้กับทุกครัวเรือน และจัดที่ทํากินให้ครอบครัวละ 7 ไร่ พื้นที่ปลูกบ้านประมาณ 3 งาน จํานวน 57 แปลง ทั้งนี้ จากข้อมูลการสํารวจสํามะโนประชากร ในหมู่บ้านบางกลอยเมื่อเดือนมกราคม 2564 พบว่ามีจํานวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 113 ครอบครัว จํานวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 673 คน ปัจจุบันมีการสํารวจ การถือครองที่ดินของบ้านบางกลอย ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามมาตรา 64 ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยจะนําผลการสํารวจและจัดทําแผนที่ไปดําเนินการจัดที่ดินทํากินตาม พระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ในด้านการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการนําเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2558 – 2563 นั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ประชุมชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้แทนราษฎรจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานและโดยรอบ ทั้งหมดรวม 55 หมู่บ้าน ซึ่งรวมทั้งหมู่บ้านชาวไทยและกะเหรี่ยงในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและขอรับการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนมรดกโลก มีการดําเนินการทั้งในระดับกลุ่มป่า ระดับพื้นที่อนุรักษ์ หมู่บ้าน และกลุ่มบ้าน ในการประชุมชี้แจงแต่ละครั้ง มีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วม รวมทั้งผู้แทนจากสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ ( IUCN) ประเทศไทยด้วย สําหรับหมู่บ้านที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์นั้น มีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และผู้ที่สื่อสารได้ ทําหน้าที่ล่ามแปลภาษา ซึ่งได้รับฟังและรวบรวมข้อเรียกร้องของราษฎร นํามากําหนดมาตรการและแนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับตัวบทกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ ผลการรับฟังความเห็นเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในด้านการบริหารจัดการพื้นที่ มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาพื้นที่ (Protected Area Advisory Committee, PAC) ในแต่ละพื้นที่ของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนกะเหรี่ยงในการบริหารจัดการพื้นที่ โดยปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์จากบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย 2 คน ร่วมเป็นกรรมการ และนอกจากนั้นยังมีการจ้างงานชาวกะเหรี่ยงเพื่อทํางานในอุทยานแห่งชาติด้วย ท้ายนี้ ในด้านการดูแลคุณภาพชีวิตนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีหน่วยงานของรัฐจํานวนไม่น้อยกว่า 22 หน่วยงาน เข้าไปดําเนินการโครงการต่าง ๆ กว่า 88 โครงการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพ และเสริมสร้างสุขอนามัย ให้กับชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งเสริมการเกษตร การส่งเสริมอาชีพโครงการส่งเสริมศิลปาชีพและมูลนิธิปิดทองหลังพระ ระบบประปาหมู่บ้าน ระบบน้ําบาดาล พลังงานไฟ ฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สุขศาลาประจําหมู่บ้าน และการส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุมชน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการคัดเลือกพื้นที่ศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน โรงงานมักกะสันแห่งใหม่
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565 รฟท. เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการคัดเลือกพื้นที่ศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 6 โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (Market Sounding) ครั้งที่ 3 ในโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ จัดทําแผนการรื้อย้ายและจัดทําเอกสารประกวดราคา โดยมีนายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนรฟท. เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมด้วยพนักงาน ลูกจ้างของรฟท. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่โครงการฯ รวมถึงผู้สนใจเข้าร่วมงาน นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์รฟท. เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ดําเนินการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสัน ให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์และศูนย์กลางการคมนาคมขนาดใหญ่ของประเทศ พร้อมกับมอบหมายให้รฟท. จัดหาพื้นที่ก่อสร้างโรงงานมักกะสันแห่งใหม่ เพื่อสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนแห่งใหม่ ทดแทนพื้นที่เดิม รฟท. จึงได้ดําเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา กิจการค้าร่วม KUSIP ซึ่งประกอบด้วย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง บริษัท ยูทิลิตี้ ดีไซน์ คอนซัลแตนท์ จํากัด บริษัท ซี คอนซัลท์ เอ็นจิเนียริ่ง จํากัด บริษัท อินฟรา กรุ๊ป จํากัด และ บริษัท โปรคอนเซ็ป เอ็นจิเนียริ่ง จํากัด ขึ้นมาทําหน้าที่ศึกษา โครงการศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ พร้อมจัดทําแผนการรื้อย้ายและจัดทําเอกสารประกวดราคา เพื่อประเมินความเหมาะสมในขั้นตอนการคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ สําหรับพัฒนางานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนของ โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ในอนาคต พร้อมกับได้มีการเปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของโครงการฯ ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างถูกต้อง ตลอดจนรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการสรุปผลการศึกษา คัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสม และมีศักยภาพสําหรับพัฒนาโครงการ ตามแผนพัฒนาระบบการขนส่งทางราง และแนวทางการลงทุนในอนาคต โดยเบื้องต้น รฟท. ได้ศึกษาสถานที่ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ จํานวน 3 แห่ง ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นขั้นต้นในการคัดเลือกพื้นที่ไปแล้ว ประกอบด้วย พื้นที่โรงงานมักกะสันเดิมแต่มีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสม พื้นที่บริเวณสถานีสุพรรณบุรี อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ที่มีพื้นที่ประมาณ 240 ไร่ ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 และพื้นที่บริเวณสถานีชุมทางเขาชีจรรย์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 454 ไร่ ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายเอกรัชกล่าวต่อว่า กระบวนการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ถือเป็นกระบวนที่ รฟท.ให้ความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นหัวใจที่จะก่อให้เกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างชุมชน กับผู้ดําเนินโครงการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าด้วยกัน นําไปสู่การพิจารณาปรับปรุงลักษณะโครงการให้เกิดประโยชน์ สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนสูงสุด รวมถึงสามารถป้องกัน ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนในอนาคตได้ด้วย ท้ายนี้ รฟท. คาดหวังว่า การเปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (Market Sounding) ครั้งที่ 3 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสําคัญที่ช่วยให้การดําเนินศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ฯ ประสบความสําเร็จ สามารถรองรับการซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบํารุง ประหยัดต้นทุนการผลิตบุคลากร สอดคล้องกับแผนการจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รวมถึงเป็นส่วนสําคัญในแผนการเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มรายได้ให้แก่รฟท. ได้ในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการคัดเลือกพื้นที่ศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565 รฟท. เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการคัดเลือกพื้นที่ศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ณ ห้อง Ballroom 1 ชั้น 6 โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (Market Sounding) ครั้งที่ 3 ในโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ จัดทําแผนการรื้อย้ายและจัดทําเอกสารประกวดราคา โดยมีนายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนรฟท. เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมด้วยพนักงาน ลูกจ้างของรฟท. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่โครงการฯ รวมถึงผู้สนใจเข้าร่วมงาน นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์รฟท. เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ดําเนินการพัฒนาพื้นที่ย่านมักกะสัน ให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์และศูนย์กลางการคมนาคมขนาดใหญ่ของประเทศ พร้อมกับมอบหมายให้รฟท. จัดหาพื้นที่ก่อสร้างโรงงานมักกะสันแห่งใหม่ เพื่อสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนแห่งใหม่ ทดแทนพื้นที่เดิม รฟท. จึงได้ดําเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา กิจการค้าร่วม KUSIP ซึ่งประกอบด้วย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง บริษัท ยูทิลิตี้ ดีไซน์ คอนซัลแตนท์ จํากัด บริษัท ซี คอนซัลท์ เอ็นจิเนียริ่ง จํากัด บริษัท อินฟรา กรุ๊ป จํากัด และ บริษัท โปรคอนเซ็ป เอ็นจิเนียริ่ง จํากัด ขึ้นมาทําหน้าที่ศึกษา โครงการศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ พร้อมจัดทําแผนการรื้อย้ายและจัดทําเอกสารประกวดราคา เพื่อประเมินความเหมาะสมในขั้นตอนการคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ สําหรับพัฒนางานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนของ โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ในอนาคต พร้อมกับได้มีการเปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารของโครงการฯ ให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างถูกต้อง ตลอดจนรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการสรุปผลการศึกษา คัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสม และมีศักยภาพสําหรับพัฒนาโครงการ ตามแผนพัฒนาระบบการขนส่งทางราง และแนวทางการลงทุนในอนาคต โดยเบื้องต้น รฟท. ได้ศึกษาสถานที่ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ จํานวน 3 แห่ง ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นขั้นต้นในการคัดเลือกพื้นที่ไปแล้ว ประกอบด้วย พื้นที่โรงงานมักกะสันเดิมแต่มีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสม พื้นที่บริเวณสถานีสุพรรณบุรี อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ที่มีพื้นที่ประมาณ 240 ไร่ ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 และพื้นที่บริเวณสถานีชุมทางเขาชีจรรย์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีพื้นที่ประมาณ 454 ไร่ ซึ่งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 นายเอกรัชกล่าวต่อว่า กระบวนการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ถือเป็นกระบวนที่ รฟท.ให้ความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นหัวใจที่จะก่อให้เกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างชุมชน กับผู้ดําเนินโครงการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าด้วยกัน นําไปสู่การพิจารณาปรับปรุงลักษณะโครงการให้เกิดประโยชน์ สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนสูงสุด รวมถึงสามารถป้องกัน ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนในอนาคตได้ด้วย ท้ายนี้ รฟท. คาดหวังว่า การเปิดเวทีสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากประชาชน (Market Sounding) ครั้งที่ 3 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสําคัญที่ช่วยให้การดําเนินศึกษาความเหมาะสมงานซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อน ออกแบบรายละเอียด โรงงานมักกะสันแห่งใหม่ฯ ประสบความสําเร็จ สามารถรองรับการซ่อมบํารุงรถจักรและล้อเลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ปลอดภัย เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบํารุง ประหยัดต้นทุนการผลิตบุคลากร สอดคล้องกับแผนการจัดหารถจักรและล้อเลื่อน รวมถึงเป็นส่วนสําคัญในแผนการเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มรายได้ให้แก่รฟท. ได้ในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2565 ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้ ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้ วันที่ 8 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอกระทรวงมหาดไทย เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา โดยกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมและสํานักงานคณะกรรมการเลือก (กกต.) ตั้งได้จัดทําแผนการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 นี้ ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 / 2565 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา โดยกระทรวงมหาดไทยได้รายงานการดําเนินการด้านข้อมูลจํานวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว วันที่ 18 มกราคม 2565 แล้วรวมทั้งได้มีการเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทําข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2565 ของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยากําหนดรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้ในข้อบัญญัติ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม สําหรับกรณีการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้พร้อมแล้วรวมทั้งสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 เสร็จสิ้นแล้ว ในส่วนของสํานักงาน กกต. ได้ออกระเบียบและประกาศ กกต. และจัดทําแผนงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ประกาศกําหนดวันเลือกตั้งภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรี โดยกําหนดวันเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งครบวาระการดํารงตําแหน่งแล้ว แต่โดยที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพและเมืองพัทยา ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติและคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมในการเลือกตั้งและสํานักงาน กกต. ได้จัดทําแผนงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพและเมืองพัทยาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 นี้ -----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้ วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2565 ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้ ครม. เห็นชอบข้อเสนอให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่า/สภา กทม.และเมืองพัทยาแล้ว กกต. คาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม นี้ วันที่ 8 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอกระทรวงมหาดไทย เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา โดยกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมและสํานักงานคณะกรรมการเลือก (กกต.) ตั้งได้จัดทําแผนการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 นี้ ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 / 2565 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา โดยกระทรวงมหาดไทยได้รายงานการดําเนินการด้านข้อมูลจํานวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว วันที่ 18 มกราคม 2565 แล้วรวมทั้งได้มีการเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทําข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2565 ของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยากําหนดรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้ในข้อบัญญัติ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม สําหรับกรณีการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไว้พร้อมแล้วรวมทั้งสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 เสร็จสิ้นแล้ว ในส่วนของสํานักงาน กกต. ได้ออกระเบียบและประกาศ กกต. และจัดทําแผนงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ประกาศกําหนดวันเลือกตั้งภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรี โดยกําหนดวันเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา ซึ่งครบวาระการดํารงตําแหน่งแล้ว แต่โดยที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพและเมืองพัทยา ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติและคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมในการเลือกตั้งและสํานักงาน กกต. ได้จัดทําแผนงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพและเมืองพัทยาแล้ว ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2565 นี้ -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal”
วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดสัมมนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ (COP26 Adaptation and Resilience Online Events) “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ผ่านระบบ Zoom meeting ว่า ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสําคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยได้กําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2007 จัดทําแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2015 – 2050 เป็นแผน 35 ปี และในปีนี้ รัฐบาลไทยกําหนดโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Bio – Circular – Green Economy Model (BCG Economy Model) เป็นวาระแห่งชาติ “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นเจ้าภาพการสัมมนาออนไลน์ในวันนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทําแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภาคเกษตร มากว่า 12 ปี ตั้งแต่ปี 2009 มีการดําเนินโครงการความร่วมมือพหุภาคีกับ UNDP, UNEP, FAO และ ADB และ ได้ร่วมมือทวิภาคีกับสหราชอาณาจักร โดยมุ่งเน้นที่การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs” ดร.ทองเปลว กล่าว ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน ทางสหราชอาณาจักรจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติครั้งที่ 26 หรือการประชุม COP26 โดยมีผู้นํากว่า 196 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยเข้าร่วม เพื่อหารือแนวทางที่แต่ละประเทศจะใช้ดําเนินการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสัมมนาในวันนี้ จึงเป็นโอกาสที่จะได้รับฟังการดําเนินการของประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตร การนําเสนอ (Showcase) งานวิจัยด้านการจัดการทรัพยากรดิน ด้านปศุสัตว์และข้าว รวมทั้งการผลิตที่ชาญฉลาดที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture) และเป็นเวทีที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะในการปรับตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับภาคการเกษตรต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2564 ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เปิดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดสัมมนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ (COP26 Adaptation and Resilience Online Events) “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience: local leadership for a global goal” ผ่านระบบ Zoom meeting ว่า ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสําคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยได้กําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2007 จัดทําแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2015 – 2050 เป็นแผน 35 ปี และในปีนี้ รัฐบาลไทยกําหนดโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Bio – Circular – Green Economy Model (BCG Economy Model) เป็นวาระแห่งชาติ “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นเจ้าภาพการสัมมนาออนไลน์ในวันนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทําแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภาคเกษตร มากว่า 12 ปี ตั้งแต่ปี 2009 มีการดําเนินโครงการความร่วมมือพหุภาคีกับ UNDP, UNEP, FAO และ ADB และ ได้ร่วมมือทวิภาคีกับสหราชอาณาจักร โดยมุ่งเน้นที่การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs” ดร.ทองเปลว กล่าว ทั้งนี้ ในเดือนพฤศจิกายน ทางสหราชอาณาจักรจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติครั้งที่ 26 หรือการประชุม COP26 โดยมีผู้นํากว่า 196 ประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยเข้าร่วม เพื่อหารือแนวทางที่แต่ละประเทศจะใช้ดําเนินการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสัมมนาในวันนี้ จึงเป็นโอกาสที่จะได้รับฟังการดําเนินการของประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตร การนําเสนอ (Showcase) งานวิจัยด้านการจัดการทรัพยากรดิน ด้านปศุสัตว์และข้าว รวมทั้งการผลิตที่ชาญฉลาดที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture) และเป็นเวทีที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะในการปรับตัว และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับภาคการเกษตรต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย วันนี้(20ส.ค.64)เวลา10.00น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดินทางไปตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ากรุงเทพฯและโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจอําเภอบางพลีจังหวังสมุทรปราการซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชนในสถานการณ์การแพร่ะระบาดโควิด- 19ในปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จํานวนมากได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพระดมทรัพยากรดูแลประชาชนขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่เดิมและเพิ่มการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่หน่วยทหารให้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19เพราะทุกส่วนราชการมีหน้าที่ต้องช่วยกันดูแลประชาชนโดยมีนายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอกชัยชาญช้างมงคลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและนายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจอําเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการโดยนายวันชัยคงเกษมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการและนพ.อธิวัฒน์น้อยประสิทธิ์ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ/ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจรายงานการดําเนินงานโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจว่าโครงการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจก่อตั้งขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยระดับสีเขียวและสีเหลืองอ่อนแบ่งเป็นผู้ป่วยหญิง225เตียงผู้ป่วยชาย225เตียงรวม450เตียงปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจแล้วประมาณ400คน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเดินทางมาวันนี้เพื่อให้กําลังใจกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19แล้วช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลภาครัฐเช่นกันถือเป็นความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคมนอกจากการดูแลผู้ป่วยโควิด-19ในโรงพยาบาลสนามแล้วรัฐบาลและศบค.ยังได้ให้มีระบบการดูแลที่บ้านและในชุมชนHIและCIด้วยพร้อมๆพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้สามารถรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19ของไทยก็มีความก้าวหน้าอย่างมากคาดว่าภายในปีหน้าจะเกิดผลเป็นรูปธรรมไทยจะให้มีวัคซีนเป็นของตนเองใช้ในประเทศไทยนายกรัฐมนตรียังฝากความห่วงใยถึงทุกคนว่าแม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองและลงทะเบียนผู้ป่วยฯและรับชมการสาธิตการทํางานของหุ่นยนต์ปิ่นโตและแอพพลิเคชั่นไข่ต้มฮอสพิทอลซึ่งใช้สําหรับในการส่งสิ่งของยาอาหารและเวชภัณภ์ให้ผู้ป่วยพร้อมตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจผ่านCommand Centerโดยสอบถามอาการและให้กําลังใจผู้ป่วยผ่านระบบTelehealthโดยผู้ป่วยแจ้งว่าตนเองได้เข้าสู่ระบบการรักษาเมื่อวานและอาการดีขึ้นแล้วและขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่มาให้กําลังใจ ______ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 นายกฯ ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19 รพ.พระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ และรพ.สนามแสงแห่งใจ จ.สมุทรปราการ ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย วันนี้(20ส.ค.64)เวลา10.00น.พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดินทางไปตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยโควิด-19ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ากรุงเทพฯและโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจอําเภอบางพลีจังหวังสมุทรปราการซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชนในสถานการณ์การแพร่ะระบาดโควิด- 19ในปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จํานวนมากได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพระดมทรัพยากรดูแลประชาชนขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่เดิมและเพิ่มการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่หน่วยทหารให้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19เพราะทุกส่วนราชการมีหน้าที่ต้องช่วยกันดูแลประชาชนโดยมีนายอนุทินชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพลเอกชัยชาญช้างมงคลรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและนายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจอําเภอบางพลีจังหวัดสมุทรปราการโดยนายวันชัยคงเกษมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการและนพ.อธิวัฒน์น้อยประสิทธิ์ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ/ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจรายงานการดําเนินงานโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจว่าโครงการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจก่อตั้งขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยระดับสีเขียวและสีเหลืองอ่อนแบ่งเป็นผู้ป่วยหญิง225เตียงผู้ป่วยชาย225เตียงรวม450เตียงปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจแล้วประมาณ400คน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเดินทางมาวันนี้เพื่อให้กําลังใจกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19แล้วช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลภาครัฐเช่นกันถือเป็นความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคมนอกจากการดูแลผู้ป่วยโควิด-19ในโรงพยาบาลสนามแล้วรัฐบาลและศบค.ยังได้ให้มีระบบการดูแลที่บ้านและในชุมชนHIและCIด้วยพร้อมๆพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้สามารถรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19ของไทยก็มีความก้าวหน้าอย่างมากคาดว่าภายในปีหน้าจะเกิดผลเป็นรูปธรรมไทยจะให้มีวัคซีนเป็นของตนเองใช้ในประเทศไทยนายกรัฐมนตรียังฝากความห่วงใยถึงทุกคนว่าแม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองและลงทะเบียนผู้ป่วยฯและรับชมการสาธิตการทํางานของหุ่นยนต์ปิ่นโตและแอพพลิเคชั่นไข่ต้มฮอสพิทอลซึ่งใช้สําหรับในการส่งสิ่งของยาอาหารและเวชภัณภ์ให้ผู้ป่วยพร้อมตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจผ่านCommand Centerโดยสอบถามอาการและให้กําลังใจผู้ป่วยผ่านระบบTelehealthโดยผู้ป่วยแจ้งว่าตนเองได้เข้าสู่ระบบการรักษาเมื่อวานและอาการดีขึ้นแล้วและขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีที่มาให้กําลังใจ ______ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44943
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จำลอง (Mock Session) สำหรับการนำเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาต
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session) สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาต กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session) สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบฯ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ - ๑๘.๐๐ น.ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นประธานการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session)สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ด้วยวาจา(International Convention on the Eliminationof All Forms of Racial Discrimination: CERD)จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในรูปแบบผสมผสาน (Hybrid)ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐-๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯและผ่านทาง Application Microsoft Teamโดยมี นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อํานวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศพร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นฝ่ายเลขานุการ สําหรับการซักซ้อมสถานการณ์จําลองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมคณะผู้แทนไทยฯในการนําเสนอรายงานประเทศฯ ด้วยวาจา ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติประจําอนุสัญญาฯโดยเป็นการฝึกโต้ตอบประเด็นคําถามตามที่ได้รับจากคณะกรรมการสหประชาชาติฯทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยฯ มีกําหนดนําเสนอรายงานประเทศฯ ด้วยวาจาต่อคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ในวันที่ ๒๒ - ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ณ สํานักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จำลอง (Mock Session) สำหรับการนำเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาต วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session) สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาต กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session) สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบฯ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ - ๑๘.๐๐ น.ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นประธานการซักซ้อมสถานการณ์จําลอง (Mock Session)สําหรับการนําเสนอรายงานประเทศตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ด้วยวาจา(International Convention on the Eliminationof All Forms of Racial Discrimination: CERD)จัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในรูปแบบผสมผสาน (Hybrid)ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑๐-๐๑ อาคารกระทรวงยุติธรรมถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯและผ่านทาง Application Microsoft Teamโดยมี นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อํานวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศพร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นฝ่ายเลขานุการ สําหรับการซักซ้อมสถานการณ์จําลองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมคณะผู้แทนไทยฯในการนําเสนอรายงานประเทศฯ ด้วยวาจา ต่อคณะกรรมการสหประชาชาติประจําอนุสัญญาฯโดยเป็นการฝึกโต้ตอบประเด็นคําถามตามที่ได้รับจากคณะกรรมการสหประชาชาติฯทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยฯ มีกําหนดนําเสนอรายงานประเทศฯ ด้วยวาจาต่อคณะกรรมการสหประชาชาติฯ ในวันที่ ๒๒ - ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ณ สํานักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กรมการขนส่งทางบก จัดสัมมนา “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ยกระดับคุณภาพบริการขนส่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 กรมการขนส่งทางบก จัดสัมมนา “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ยกระดับคุณภาพบริการขนส่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ... นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาในรูปแบบ New Normal ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Streaming หัวข้อ “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ภายใต้โครงการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์สําหรับการยกระดับภาพลักษณ์ ระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Q Mark) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าทางถนน ซึ่งเป็นการดําเนินงานร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ประกอบการขนส่ง หน่วยตรวจประเมินอิสระ ผู้ตรวจประเมิน สํานักงานขนส่งจังหวัด และบุคคลทั่วไป ให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนา นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ขบ. ได้สร้างระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือมาตรฐาน Q Mark ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวในประเทศไทยที่จัดทําขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพสําหรับรถบรรทุก ขณะนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจํานวน 411 ราย ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Q Mark จะสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างมีระบบ ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในการขนส่ง หมั่นดูแลรักษายานพาหนะอย่างสม่ําเสมอ อีกทั้งยังให้ความสําคัญกับพนักงานขับรถที่มีทักษะและความพร้อมในการขนส่งอย่างปลอดภัยส่งผลให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง ซึ่งจากการดําเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้วได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ว่าจ้าง ส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกของประเทศไทยให้มีศักยภาพในการเติบโต และแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น การสัมมนาในวันนี้มีการนําเสนอสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์สําหรับการยกระดับภาพลักษณ์ระบบมาตรฐาน Q Mark ซึ่งจะนําไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนส่งเข้าสู่ระบบมาตรฐาน Q Mark ให้มากยิ่งขึ้น ขบ. จึงมุ่งสื่อสารไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้มาตรฐาน Q Mark รวมถึงการสร้างพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจนนํามาสู่ความร่วมมือเพื่อพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางถนนกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดเสวนาหัวข้อ “การสร้างแบรนด์และการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์สําหรับการขนส่งทางถนนในยุคโควิด-19” เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกพร้อมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และช่วยสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคุณภาพมาตรฐานอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กรมการขนส่งทางบก จัดสัมมนา “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ยกระดับคุณภาพบริการขนส่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 กรมการขนส่งทางบก จัดสัมมนา “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ยกระดับคุณภาพบริการขนส่ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ... นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการสัมมนาในรูปแบบ New Normal ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Streaming หัวข้อ “ตอบโจทย์ ตรงใจ ขนส่งปลอดภัย กับมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก Q Mark” ภายใต้โครงการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์สําหรับการยกระดับภาพลักษณ์ ระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Q Mark) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 เพื่อสนับสนุนความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าทางถนน ซึ่งเป็นการดําเนินงานร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ประกอบการขนส่ง หน่วยตรวจประเมินอิสระ ผู้ตรวจประเมิน สํานักงานขนส่งจังหวัด และบุคคลทั่วไป ให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนา นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ขบ. ได้สร้างระบบมาตรฐานคุณภาพบริการขนส่งด้วยรถบรรทุก หรือมาตรฐาน Q Mark ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวในประเทศไทยที่จัดทําขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นการรับรองคุณภาพสําหรับรถบรรทุก ขณะนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจํานวน 411 ราย ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Q Mark จะสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการอย่างมีระบบ ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในการขนส่ง หมั่นดูแลรักษายานพาหนะอย่างสม่ําเสมอ อีกทั้งยังให้ความสําคัญกับพนักงานขับรถที่มีทักษะและความพร้อมในการขนส่งอย่างปลอดภัยส่งผลให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง ซึ่งจากการดําเนินงานที่ผ่านมาพบว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแล้วได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ว่าจ้าง ส่งผลให้เกิดภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกของประเทศไทยให้มีศักยภาพในการเติบโต และแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น การสัมมนาในวันนี้มีการนําเสนอสรุปผลการศึกษาโครงการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์สําหรับการยกระดับภาพลักษณ์ระบบมาตรฐาน Q Mark ซึ่งจะนําไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนส่งเข้าสู่ระบบมาตรฐาน Q Mark ให้มากยิ่งขึ้น ขบ. จึงมุ่งสื่อสารไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้มาตรฐาน Q Mark รวมถึงการสร้างพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจนนํามาสู่ความร่วมมือเพื่อพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางถนนกับสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดเสวนาหัวข้อ “การสร้างแบรนด์และการยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์สําหรับการขนส่งทางถนนในยุคโควิด-19” เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกพร้อมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และช่วยสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคุณภาพมาตรฐานอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม ขอสดุดีความกล้าหาญและความเสียสละ "อส.ทพ.จิโรจน์ จิตวิสุทธิ์" สังกัด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่42
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 กระทรวงกลาโหม ขอสดุดีความกล้าหาญและความเสียสละ "อส.ทพ.จิโรจน์ จิตวิสุทธิ์" สังกัด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่42 #กลาโหม135ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงกลาโหม ขอสดุดีความกล้าหาญและความเสียสละ "อส.ทพ.จิโรจน์ จิตวิสุทธิ์" สังกัด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่42 วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2565 กระทรวงกลาโหม ขอสดุดีความกล้าหาญและความเสียสละ "อส.ทพ.จิโรจน์ จิตวิสุทธิ์" สังกัด หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่42 #กลาโหม135ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน
วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน ปชช. รับสิทธิเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ส่วนขยาย เริ่มใช้สิทธิที่พัก 8 ก.ค.นี้ วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยประจําปี 2565 ตั้งแต่เดือนมกราคม – 28 มิถุนายน 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้วกว่า 1,978,023 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสมรวม 1.14 แสนล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวเที่ยว 5อันดับแรกที่เดินทางผ่านด่านทางอากาศ ได้แก่ อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วน 5 อันดับแรกที่เดินทางผ่านด่านทางบก ได้แก่ มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน ทั้งนี้หลังจากยกเลิก Thailand Pass เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ด่านชายแดนกลับมาคึกคักมากที่สุดในรอบ 2 ปี เช่น ด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นด่านชายแดนไทย-มาเลเซียมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องเฉพาะวันแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ราว 5,000 คน และตลอดทั้งเดือนนี้คาดว่าจะมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 1 แสนคน ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประมาณการนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาสามเดือนต่อจากนี้ กรกฎาคม-กันยายน 2565 ไว้ที่ 2,700,000 คน และสามเดือนสุดท้ายของปี 2565 ไว้ที่ 4,500,000 คน ซึ่งประมาณการยอดรวมนักท่องเที่ยวปี 2565 จํานวน 9,325,500 คน และได้ประมาณการรายได้จากนักท่องเที่ยว (ตลอดปี 2565) ไว้ที่ 1.27 ล้านล้านบาท โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ส่วนขยาย มีกระแสตอบรับดี ประชาชนให้ความสนใจทยอยลงทะเบียนรับสิทธิเพื่อใช้บริการส่วนลดโดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมที่มีวันหยุดยาวติดต่อกัน ทั้งนี้ เริ่มจองโรงแรมและที่พักได้แล้วถึงวันที่ 23 ตุลาคม 2565 และเริ่มเข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2565 ในส่วนตั๋วเครื่องบินจะเปิดให้ลงทะเบียน โดยเป็นตั๋วที่จองและออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม – 5 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งในส่วนของสถานประกอบการโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานบริการท่องเที่ยว มีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการทุกราย ให้คงกําหนดราคาที่พักในราคาปกติและเป็นธรรม อย่าฉวยโอกาสที่มีโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลในการปรับขึ้นราคาผู้ประกอบการ เพื่อร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศต่อไป “นายกรัฐมนตรี กําชับให้ทุกหน่วยงาน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะส่วนท้องถิ่น ใช้อํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยของนักเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั่วประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และขอให้ร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ยินดีภาพรวมท่องเที่ยวปีนี้ ม.ค.-มิ.ย. ต่างชาติเข้าไทยเกือบ 2 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสม 1.14 แสนล้านบาท ขณะที่ท่องเที่ยวในประเทศไม่แพ้กัน ปชช. รับสิทธิเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ส่วนขยาย เริ่มใช้สิทธิที่พัก 8 ก.ค.นี้ วันที่ 2 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยประจําปี 2565 ตั้งแต่เดือนมกราคม – 28 มิถุนายน 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้วกว่า 1,978,023 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวสะสมรวม 1.14 แสนล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวเที่ยว 5อันดับแรกที่เดินทางผ่านด่านทางอากาศ ได้แก่ อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วน 5 อันดับแรกที่เดินทางผ่านด่านทางบก ได้แก่ มาเลเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน ทั้งนี้หลังจากยกเลิก Thailand Pass เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ด่านชายแดนกลับมาคึกคักมากที่สุดในรอบ 2 ปี เช่น ด่านพรมแดนสะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นด่านชายแดนไทย-มาเลเซียมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องเฉพาะวันแรกมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ราว 5,000 คน และตลอดทั้งเดือนนี้คาดว่าจะมีตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 1 แสนคน ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประมาณการนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาสามเดือนต่อจากนี้ กรกฎาคม-กันยายน 2565 ไว้ที่ 2,700,000 คน และสามเดือนสุดท้ายของปี 2565 ไว้ที่ 4,500,000 คน ซึ่งประมาณการยอดรวมนักท่องเที่ยวปี 2565 จํานวน 9,325,500 คน และได้ประมาณการรายได้จากนักท่องเที่ยว (ตลอดปี 2565) ไว้ที่ 1.27 ล้านล้านบาท โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของการท่องเที่ยวในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ส่วนขยาย มีกระแสตอบรับดี ประชาชนให้ความสนใจทยอยลงทะเบียนรับสิทธิเพื่อใช้บริการส่วนลดโดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมที่มีวันหยุดยาวติดต่อกัน ทั้งนี้ เริ่มจองโรงแรมและที่พักได้แล้วถึงวันที่ 23 ตุลาคม 2565 และเริ่มเข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม 2565 ในส่วนตั๋วเครื่องบินจะเปิดให้ลงทะเบียน โดยเป็นตั๋วที่จองและออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม – 5 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งในส่วนของสถานประกอบการโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานบริการท่องเที่ยว มีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการทุกราย ให้คงกําหนดราคาที่พักในราคาปกติและเป็นธรรม อย่าฉวยโอกาสที่มีโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลในการปรับขึ้นราคาผู้ประกอบการ เพื่อร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศต่อไป “นายกรัฐมนตรี กําชับให้ทุกหน่วยงาน ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะส่วนท้องถิ่น ใช้อํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยของนักเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลายทั่วประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และขอให้ร่วมกันเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในประเทศ” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism
วันพุธที่ 13 เมษายน 2565 โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทําผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทําผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism วันนี้ (13 เมษายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีกับทีมรักบี้ไทยทั้ง 2 ทีม ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมในการแข่งขันรักบี้ 7 คน ชิงแชมป์เอเชีย ในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 (แข่งขันในปี 2022) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ณ สนามสุระกุล จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 9 – 10 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา สร้างรอยยิ้มและความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ โดยทีมรักบี้หญิงไทยคว้าแชมป์เอเชียมาครองได้สําเร็จ เอาชนะทีมคู่แข่งจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบชิงชนะเลิศ ทําคะแนนนําคู่แข่งขันในครึ่งแรกออกไป 17 – 0 จุด และยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งหลัง ทําให้สามารถเอาชนะทีมคู่แข่งไปได้ 22 – 5 จุด คว้าแชมป์มาครองได้สําเร็จตามเป้าหมาย โดยเสียเพียง 1 ทรัยตลอดการแข่งขันทั้งรายการ ด้านทีมรักบี้ชายไทยก็ได้รางวัลติดมือ คว้าแชมป์อันดับ 3 มาครอง โดยเอาชนะไต้หวันไป 21 – 5 จุด นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ ชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งต้องใช้วินัย ความมุ่งมั่น ความพยายามในการฝึกซ้อมอย่างหนัก และความสามัคคี จึงประสบผลสําเร็จอย่างที่ตั้งใจ พร้อมทั้งส่งกําลังใจให้ทีมนักกีฬาทุกคน โดยขอให้มุ่งมั่นฝึกซ้อมและเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทุ่มเททํางานอย่างหนักอยู่เบื้องหลังความสําเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นความสําเร็จที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ สร้างชื่อเสียงและย้ําศักยภาพด้านกีฬาของประเทศไทยในวงการกีฬาระดับนานาชาติ นอกจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ 7 คน ชิงแชมป์เอเชียในครั้งนี้แล้ว ประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่ของสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชีย ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนนี้อยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เป็นการจัดการแข่งขันที่ถือว่าประสบความสําเร็จ ได้รับคําชื่นชมจากสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชียในเรื่องการจัดการที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นการดําเนินการตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ของรัฐบาล ที่ผลักดันและสนับสนุนให้ปรับตัวและจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬาวิถีใหม่ ที่ให้ความสําคัญทั้งเรื่องความปลอดภัยด้านสาธารณสุข รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนภายใต้แนวคิด BCG “นายกฯ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมดังกล่าว ซึ่งประสบความสําเร็จด้วยดี และเป็นการแสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทย เป็นต้นแบบในการจัดการแข่งขันกีฬาอื่นๆ และเป็นโอกาสต่อยอดศักยภาพของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกในอนาคต” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism วันพุธที่ 13 เมษายน 2565 โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทําผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ชื่นชมทีมรักบี้ไทย ทําผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบาย Sport Tourism วันนี้ (13 เมษายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความยินดีกับทีมรักบี้ไทยทั้ง 2 ทีม ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมในการแข่งขันรักบี้ 7 คน ชิงแชมป์เอเชีย ในรายการ Asia Rugby Sevens Trophy 2021 (แข่งขันในปี 2022) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ณ สนามสุระกุล จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 9 – 10 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา สร้างรอยยิ้มและความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ โดยทีมรักบี้หญิงไทยคว้าแชมป์เอเชียมาครองได้สําเร็จ เอาชนะทีมคู่แข่งจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในรอบชิงชนะเลิศ ทําคะแนนนําคู่แข่งขันในครึ่งแรกออกไป 17 – 0 จุด และยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งหลัง ทําให้สามารถเอาชนะทีมคู่แข่งไปได้ 22 – 5 จุด คว้าแชมป์มาครองได้สําเร็จตามเป้าหมาย โดยเสียเพียง 1 ทรัยตลอดการแข่งขันทั้งรายการ ด้านทีมรักบี้ชายไทยก็ได้รางวัลติดมือ คว้าแชมป์อันดับ 3 มาครอง โดยเอาชนะไต้หวันไป 21 – 5 จุด นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ ชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งต้องใช้วินัย ความมุ่งมั่น ความพยายามในการฝึกซ้อมอย่างหนัก และความสามัคคี จึงประสบผลสําเร็จอย่างที่ตั้งใจ พร้อมทั้งส่งกําลังใจให้ทีมนักกีฬาทุกคน โดยขอให้มุ่งมั่นฝึกซ้อมและเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทุ่มเททํางานอย่างหนักอยู่เบื้องหลังความสําเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นความสําเร็จที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ สร้างชื่อเสียงและย้ําศักยภาพด้านกีฬาของประเทศไทยในวงการกีฬาระดับนานาชาติ นอกจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ 7 คน ชิงแชมป์เอเชียในครั้งนี้แล้ว ประเทศไทยยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่ของสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชีย ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนนี้อยู่ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เป็นการจัดการแข่งขันที่ถือว่าประสบความสําเร็จ ได้รับคําชื่นชมจากสหพันธ์รักบี้แห่งเอเชียในเรื่องการจัดการที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นการดําเนินการตามนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ของรัฐบาล ที่ผลักดันและสนับสนุนให้ปรับตัวและจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬาวิถีใหม่ ที่ให้ความสําคัญทั้งเรื่องความปลอดภัยด้านสาธารณสุข รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนภายใต้แนวคิด BCG “นายกฯ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันและการประชุมดังกล่าว ซึ่งประสบความสําเร็จด้วยดี และเป็นการแสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทย เป็นต้นแบบในการจัดการแข่งขันกีฬาอื่นๆ และเป็นโอกาสต่อยอดศักยภาพของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกในอนาคต” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND จังหวัดเชียงใหม่ : วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เวลา 14.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND โดยมีนายธีระยุทธ วาณิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องลีลาวดี ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ . นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal โดยเฉพาะการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ หรือการใส่ใจด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และด้านสุขอนามัย ที่ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของโลกสากลที่กดดันให้กรอบการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นได้ทั่วไป สิ่งสําคัญของการดําเนินธุรกิจในยุค Next Normal ก็คือ การปรับตัว เพราะเมื่อโลกเปลี่ยนธุรกิจก็ต้องปรับ ซึ่งนโยบายด้านอุตสาหกรรมของรัฐบาล ภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้กําหนดวิสัยทัศน์ไว้ได้ช่วยชี้นําให้อุตสาหกรรมไทย เดินมาอย่างถูกทิศถูกทาง และเป็นเกราะป้องกันผลกระทบของภัยคุกคามที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ตั้งแต่ในเรื่องของนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์ รองรับและบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนที่ได้กดดันให้เกิดกระแสการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ๆ รวมทั้งไทย ซึ่งในจุดนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับบริษัทต่างชาติ ผ่านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายการลงทุนและการพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสอดรับกับพัฒนาการของโลกแห่งอนาคต เช่น นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่อุตสาหกรรม EV นโยบายยกระดับ “เกษตรกรรม” ไปสู่ “เกษตรอุตสาหกรรม” เป็นตัวชูโรงในการนําแนวคิดทางวิศวกรรมและหลักการสมัยใหม่ในภาคอุตสาหกรรมร่วมกับเทคโนโลยีเพื่อการจัดการแบบอัจฉริยะหรือ Smart Farming สู่ภาคเกษตรของไทย และยังเป็นตัวเร่งการขับเคลื่อนการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสู่การประยุกต์ใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมและสถานประกอบการแปรรูปการเกษตร ทําให้เห็นถึงการสร้างเศรษฐกิจภูมิภาคด้วยโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยการเกษตร หรือ Agricultural driven Economy รวมทั้งนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย ไปสู่ “อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นทิศทางที่สามารถตอบโจทย์ของสถานการณ์วิกฤตการขาดแคลนอาหารที่กําลังเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งการปูพื้นการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ในระดับดีจนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ . ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ดําเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในทุกภูมิภาค เพื่อรองรับแรงงานกลับสู่ท้องถิ่น ผ่านกลไกการพัฒนาชุมชนดีพร้อมและเกษตรอุตสาหกรรม โดยในส่วนของการพัฒนาชุมชนดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการมาตรการ “7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม” ประกอบด้วย แผนชุมชนดีพร้อม คนชุมชนดีพร้อม แบรนด์ชุมชนดีพร้อม ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น และนําไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ําและความไม่เสมอภาค . ดังนั้น ทิศทางการก้าวสู่อนาคตของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยต่อจากนี้ไป จะต้องเป็น “การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะต้องตอบโจทย์ 3 มิติ ทั้งในเรื่องของ Economic Success, Social Responsibility a Environmental Conservation เมื่อประกอบกับเจตนารมณ์ของรัฐบาล ที่จะลดช่องว่างและเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาคให้สามารถเติบโตไปด้วยกัน กรอบการกําาหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทยในยุคต่อไป จึงจะเป็นการชี้นําและกําหนดนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรมไทยให้สามารถ “เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” โดยมุ่งความสําเร็จในทั้ง 4 มิติ ควบคู่กัน คือ มิติที่ 1 ด้าน Economic Success มิติที่ 2 ด้าน Social Responsibility มิติที่ 3 ด้าน Environmental Conservation ควบคู่ไปกับ มิติที่ 4 ด้านการกระจายความเจริญด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และคนฐานราก ผ่านกลไกการพัฒนาชุมนดีพร้อม และการสร้างภาค เกษตรอุตสาหกรรม ของประเทศไทยให้เข้มแข็ง . นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ผมเชื่อมั่นว่าการนําพาภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทยไปสู่ความสําเร็จใน 4 มิติดังกล่าวสามารถสําเร็จเป็นรูปธรรมได้ไม่ยาก หากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงสถาบันการเงินต่างๆ สานพลังและร่วมกันเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน เราจะพัฒนาและขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal ให้มีความเข้มแข็งในทั้ง 4 มิตินี้ไปด้วยกัน เราจะมีการสานพลังระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินผ่านทางการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ที่กําลังจะเกิดขึ้น ณ FTI EXPO 2022 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสานพลังในเรื่องอื่นๆ ระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะมีต่อไป เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าสืบไป”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal รัฐมนตรีสุริยะฯ บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND จังหวัดเชียงใหม่ : วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เวลา 14.45 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal" ในงาน FTI Expo 2022: SHAPING FUTURE INDUSTRIES for STRONGER THAILAND โดยมีนายธีระยุทธ วาณิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องลีลาวดี ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ . นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การก้าวสู่อนาคตของภาคอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal โดยเฉพาะการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ หรือการใส่ใจด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และด้านสุขอนามัย ที่ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของโลกสากลที่กดดันให้กรอบการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นได้ทั่วไป สิ่งสําคัญของการดําเนินธุรกิจในยุค Next Normal ก็คือ การปรับตัว เพราะเมื่อโลกเปลี่ยนธุรกิจก็ต้องปรับ ซึ่งนโยบายด้านอุตสาหกรรมของรัฐบาล ภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้กําหนดวิสัยทัศน์ไว้ได้ช่วยชี้นําให้อุตสาหกรรมไทย เดินมาอย่างถูกทิศถูกทาง และเป็นเกราะป้องกันผลกระทบของภัยคุกคามที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ตั้งแต่ในเรื่องของนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์ รองรับและบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนที่ได้กดดันให้เกิดกระแสการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ๆ รวมทั้งไทย ซึ่งในจุดนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนรองรับบริษัทต่างชาติ ผ่านโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายการลงทุนและการพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ซึ่งจะมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพและสอดรับกับพัฒนาการของโลกแห่งอนาคต เช่น นโยบายยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่อุตสาหกรรม EV นโยบายยกระดับ “เกษตรกรรม” ไปสู่ “เกษตรอุตสาหกรรม” เป็นตัวชูโรงในการนําแนวคิดทางวิศวกรรมและหลักการสมัยใหม่ในภาคอุตสาหกรรมร่วมกับเทคโนโลยีเพื่อการจัดการแบบอัจฉริยะหรือ Smart Farming สู่ภาคเกษตรของไทย และยังเป็นตัวเร่งการขับเคลื่อนการพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสู่การประยุกต์ใช้ในพื้นที่เกษตรกรรมและสถานประกอบการแปรรูปการเกษตร ทําให้เห็นถึงการสร้างเศรษฐกิจภูมิภาคด้วยโมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยการเกษตร หรือ Agricultural driven Economy รวมทั้งนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย ไปสู่ “อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นทิศทางที่สามารถตอบโจทย์ของสถานการณ์วิกฤตการขาดแคลนอาหารที่กําลังเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์และเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งการปูพื้นการพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวทางดังกล่าว เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการและรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ในระดับดีจนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ . ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ดําเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในทุกภูมิภาค เพื่อรองรับแรงงานกลับสู่ท้องถิ่น ผ่านกลไกการพัฒนาชุมชนดีพร้อมและเกษตรอุตสาหกรรม โดยในส่วนของการพัฒนาชุมชนดีพร้อม กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการมาตรการ “7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม” ประกอบด้วย แผนชุมชนดีพร้อม คนชุมชนดีพร้อม แบรนด์ชุมชนดีพร้อม ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งจะช่วยให้เกิดการยกระดับมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนให้ดีขึ้น และนําไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ําและความไม่เสมอภาค . ดังนั้น ทิศทางการก้าวสู่อนาคตของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยต่อจากนี้ไป จะต้องเป็น “การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจะต้องตอบโจทย์ 3 มิติ ทั้งในเรื่องของ Economic Success, Social Responsibility a Environmental Conservation เมื่อประกอบกับเจตนารมณ์ของรัฐบาล ที่จะลดช่องว่างและเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาคให้สามารถเติบโตไปด้วยกัน กรอบการกําาหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทยในยุคต่อไป จึงจะเป็นการชี้นําและกําหนดนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรมไทยให้สามารถ “เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน” หรือ “Balanced and Sustainable Growth” โดยมุ่งความสําเร็จในทั้ง 4 มิติ ควบคู่กัน คือ มิติที่ 1 ด้าน Economic Success มิติที่ 2 ด้าน Social Responsibility มิติที่ 3 ด้าน Environmental Conservation ควบคู่ไปกับ มิติที่ 4 ด้านการกระจายความเจริญด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และคนฐานราก ผ่านกลไกการพัฒนาชุมนดีพร้อม และการสร้างภาค เกษตรอุตสาหกรรม ของประเทศไทยให้เข้มแข็ง . นายสุริยะ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ผมเชื่อมั่นว่าการนําพาภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทยไปสู่ความสําเร็จใน 4 มิติดังกล่าวสามารถสําเร็จเป็นรูปธรรมได้ไม่ยาก หากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงสถาบันการเงินต่างๆ สานพลังและร่วมกันเดินไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน เราจะพัฒนาและขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในยุค Next Normal ให้มีความเข้มแข็งในทั้ง 4 มิตินี้ไปด้วยกัน เราจะมีการสานพลังระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินผ่านทางการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ที่กําลังจะเกิดขึ้น ณ FTI EXPO 2022 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสานพลังในเรื่องอื่นๆ ระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะมีต่อไป เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าสืบไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565 โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น ​โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบ ไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น เย้ยถ้ายังอภิปรายแบบเดิม ยืนระยะให้ถึงยก 3 ให้ได้ก่อนค่อยคิดน็อกรัฐบาลยก 5 วันนี้ 16 เม.ย.. 65นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสงส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะใช้ผู้อภิปรายไม่มาก เน้นคุณภาพ ยก 5 ต้องน็อกเอาต์แล้วว่า ก่อนฝ่ายค้านจะโม้ว่าจะน็อกรัฐบาลในยก 5 นั้น ช่วยสรุปวัน ผู้อภิปราย และประเด็นให้ลงตัวกันเองในฝ่ายค้านก่อนจะดีกว่า ไม่ใช่โม้รายวันว่ามีข้อมูลเด็ดแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงมีแต่นํา้ท่วมทุ่ง ทั้งนี้ หากหาข้อมูลอภิปรายไม่ได้ก็ควรทําใจยอมรับความจริง ไม่ใช่สติแตก โหมโรงหลอกชาวบ้านไปวันๆ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ทําอะไรผิด พร้อมชี้แจงฝ่ายค้านต่อสภาฯ ในทุกประเด็น “ผมเห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะใช้จํานวนผู้อภิปรายไม่มาก ควรจะหันมาเน้นคุณภาพบ้าง เพราะหากข้อมูลหรือเนื้อหาการอภิปรายมีคุณภาพจริงๆ ก็ใช้ผู้อภิปรายแค่ 2-3 คนก็พอ ไม่ใช่อ้างว่าส่งไม้ต่อกันไปเรื่อยๆ งัดหลักฐานที่ว่าเด็ดออกมาโชว์ได้เลย หากพบว่ามีความผิดปกติจริง นายกฯ ไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้พูดอะไรแค่เอามัน ที่บอกว่ารอบนี้ยก 5 จะน็อกรัฐบาลนั้น ดีไม่ดีฝ่ายค้านเองที่จะยืนระยะไม่ถึงยก 3 ด้วยซ้ํา ถ้าหากการอภิปรายยังเป็นแบบเดิมๆ เพราะประชาชนคงรับไม่ได้ และจะไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านเสียเองในที่สุด” นายธนกร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565 โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น ​โฆษกรัฐบาลหนุน “เพื่อไทย” ใช้ขุนพลซักฟอกให้น้อย แนะเน้นคุณภาพเนื้อหา ท้าโชว์หลักฐานเด็ดม้วนเดียวจบ ไม่ใช่ส่งไม้ต่อยื้อเวลาไปเรื่อย มั่นใจชี้แจงได้ทุกประเด็น เย้ยถ้ายังอภิปรายแบบเดิม ยืนระยะให้ถึงยก 3 ให้ได้ก่อนค่อยคิดน็อกรัฐบาลยก 5 วันนี้ 16 เม.ย.. 65นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสงส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะใช้ผู้อภิปรายไม่มาก เน้นคุณภาพ ยก 5 ต้องน็อกเอาต์แล้วว่า ก่อนฝ่ายค้านจะโม้ว่าจะน็อกรัฐบาลในยก 5 นั้น ช่วยสรุปวัน ผู้อภิปราย และประเด็นให้ลงตัวกันเองในฝ่ายค้านก่อนจะดีกว่า ไม่ใช่โม้รายวันว่ามีข้อมูลเด็ดแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงมีแต่นํา้ท่วมทุ่ง ทั้งนี้ หากหาข้อมูลอภิปรายไม่ได้ก็ควรทําใจยอมรับความจริง ไม่ใช่สติแตก โหมโรงหลอกชาวบ้านไปวันๆ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ทําอะไรผิด พร้อมชี้แจงฝ่ายค้านต่อสภาฯ ในทุกประเด็น “ผมเห็นด้วยที่ฝ่ายค้านจะใช้จํานวนผู้อภิปรายไม่มาก ควรจะหันมาเน้นคุณภาพบ้าง เพราะหากข้อมูลหรือเนื้อหาการอภิปรายมีคุณภาพจริงๆ ก็ใช้ผู้อภิปรายแค่ 2-3 คนก็พอ ไม่ใช่อ้างว่าส่งไม้ต่อกันไปเรื่อยๆ งัดหลักฐานที่ว่าเด็ดออกมาโชว์ได้เลย หากพบว่ามีความผิดปกติจริง นายกฯ ไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้พูดอะไรแค่เอามัน ที่บอกว่ารอบนี้ยก 5 จะน็อกรัฐบาลนั้น ดีไม่ดีฝ่ายค้านเองที่จะยืนระยะไม่ถึงยก 3 ด้วยซ้ํา ถ้าหากการอภิปรายยังเป็นแบบเดิมๆ เพราะประชาชนคงรับไม่ได้ และจะไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านเสียเองในที่สุด” นายธนกร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เวลา 11.40 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ฉากทัศน์ใหม่อุตสาหกรรมไทยเพื่อความยั่งยืน” จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีการทํางานร่วมกัน สร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นการระดมองค์กรชั้นนําของประเทศ ภาครัฐและสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ครอบคุลม 11 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ภาคเหนือ รวมกว่า 400 ราย ร่วมจัดแสดงสินค้า การประชุมสัมมนา การเจรจาธุรกิจ พร้อมนําเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจและภาคประชาชน ให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้อย่างเข้มแข็ง ตั้งเป้ามียอดใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในงานไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก กําลังเผชิญกับความท้าทายที่สําคัญ ในการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ตลอดจนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กําลังถูกหยิบยกเป็นวาระสําคัญของหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยจึงจําเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว เพื่อปรับตัวให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ภายใต้บริบทของ โลกใหม่ใบเดิมนี้ โดยนายกรัฐมนตรีขอเปรียบเทียบประเทศไทย เสมือนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเดินต่อไปข้างหน้าบนเวทีโลกโดยกําหนดแนวทางในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถพลิกโฉมตัวเองไปสู่การเปลี่ยนแปลง ช่วงแรก คือ รีสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อรีสตาร์ทประเทศไทยให้ฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด (Restart) เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลกระทบของวิกฤติโควิด 19 นับตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยต้องหยุดชะงัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศ ประกอบกับภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของอุปสงค์ทั่วโลก และยังต้องเผชิญกับข้อจํากัดของปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลก ทําให้ผู้ประกอบการภาคการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบ และผลกระทบซ้ําเติมภายใต้ “วิกฤติซ้อนวิกฤต” จากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและราคาสินค้าที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลต่อเนื่องให้อัตราเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น โดยรัฐบาลมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในทุกภาคส่วน การ Restart Thailand ให้กลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลพยายามดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะประสบผลสําเร็จไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดําเนินมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวโดยเร็ว ดังจะเห็นได้จากความพยายามในการเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในปัจจุบัน รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการจํากัดการเดินทาง และเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าทั้งปี 2565 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจํานวนประมาณ 7-10 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมขับเคลื่อนมาตรการในระยะต่อไป เพื่อวางรากฐานให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพและให้มีความยั่งยืนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงช่วงของการเร่งเครื่องยนต์ Speed up ว่า จะต้องรีบดําเนินการภายใต้แนวทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนําในการยกระดับประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งด้านเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว และยานยนต์ เป็นต้น ควบคู่ไปกับการสร้างอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยา และเศรษฐกิจฐานดิจิทัล โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งการยกระดับศักยภาพของธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และ Startup ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการเตรียมความพร้อมทางด้านปัจจัยสนับสนุนที่สําคัญ นั่นคือการพัฒนาและปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศให้พร้อมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนของภาครัฐ การบริหารจัดการข้อมูลด้านองค์ความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมผลักดัน Soft Power ของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก โดยรัฐบาลได้เร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขาที่สาคัญ ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ที่มีอยู่เดิม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สําคัญ ที่จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังยุคโควิด 19 นอกเหนือจากการจะทําให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้แล้ว ยังมีสิ่งสําคัญที่จะต้องเตรียมพร้อมสําหรับการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เวทีโลกในอนาคต คือการกําหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศ ซึ่งการพัฒนาประเทศให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติ ยังคงมีข้อจํากัดภายในจํานวนมากที่ต้องก้าวข้าม อีกทั้งยังต้องเตรียมพร้อมประเทศให้สามารถรับมือและแสวงหาโอกาส จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับโลก โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อผลักดันให้การพัฒนาประเทศก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น “การจัดสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการจับมือพันธมิตรระหว่างองค์กรชั้นนําและได้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการทํางานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย หวังให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกําลัง จากความสามัคคีของคนไทยด้วยกัน ความมุ่งหมายของผมมีสิ่งเดียว ซึ่งเหมือนกับพี่น้องประชาชนทุกคน นั่นคือการได้เห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติมั่นคง แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า เราทําได้อย่างแน่นอน หากเราทุกคนจับมือแล้วก้าวไปพร้อมกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว .........................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีเปิดงาน FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับความก้าวหน้า สร้างความเข้มแข็งภาคอุตสาหกรรม วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) เวลา 11.40 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ฉากทัศน์ใหม่อุตสาหกรรมไทยเพื่อความยั่งยืน” จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีการทํางานร่วมกัน สร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นการระดมองค์กรชั้นนําของประเทศ ภาครัฐและสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ครอบคุลม 11 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ภาคเหนือ รวมกว่า 400 ราย ร่วมจัดแสดงสินค้า การประชุมสัมมนา การเจรจาธุรกิจ พร้อมนําเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจและภาคประชาชน ให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้อย่างเข้มแข็ง ตั้งเป้ามียอดใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในงานไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก กําลังเผชิญกับความท้าทายที่สําคัญ ในการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น ตลอดจนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กําลังถูกหยิบยกเป็นวาระสําคัญของหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยจึงจําเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว เพื่อปรับตัวให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ภายใต้บริบทของ โลกใหม่ใบเดิมนี้ โดยนายกรัฐมนตรีขอเปรียบเทียบประเทศไทย เสมือนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเดินต่อไปข้างหน้าบนเวทีโลกโดยกําหนดแนวทางในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถพลิกโฉมตัวเองไปสู่การเปลี่ยนแปลง ช่วงแรก คือ รีสตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อรีสตาร์ทประเทศไทยให้ฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด (Restart) เป็นที่ทราบกันดีว่า ผลกระทบของวิกฤติโควิด 19 นับตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยต้องหยุดชะงัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศ ประกอบกับภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของอุปสงค์ทั่วโลก และยังต้องเผชิญกับข้อจํากัดของปัญหาห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลก ทําให้ผู้ประกอบการภาคการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบ และผลกระทบซ้ําเติมภายใต้ “วิกฤติซ้อนวิกฤต” จากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและราคาสินค้าที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลต่อเนื่องให้อัตราเงินเฟ้อหรือค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น โดยรัฐบาลมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในทุกภาคส่วน การ Restart Thailand ให้กลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลพยายามดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะประสบผลสําเร็จไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแนวทางการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดําเนินมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวโดยเร็ว ดังจะเห็นได้จากความพยายามในการเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในปัจจุบัน รัฐบาลได้ยกเลิกมาตรการจํากัดการเดินทาง และเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าทั้งปี 2565 นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจํานวนประมาณ 7-10 ล้านคน รัฐบาลได้เตรียมขับเคลื่อนมาตรการในระยะต่อไป เพื่อวางรากฐานให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพและให้มีความยั่งยืนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปถึงช่วงของการเร่งเครื่องยนต์ Speed up ว่า จะต้องรีบดําเนินการภายใต้แนวทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวนําในการยกระดับประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่มีความเข้มแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งด้านเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยว และยานยนต์ เป็นต้น ควบคู่ไปกับการสร้างอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยา และเศรษฐกิจฐานดิจิทัล โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งการยกระดับศักยภาพของธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และ Startup ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการเตรียมความพร้อมทางด้านปัจจัยสนับสนุนที่สําคัญ นั่นคือการพัฒนาและปรับปรุงปัจจัยพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศให้พร้อมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนของภาครัฐ การบริหารจัดการข้อมูลด้านองค์ความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมผลักดัน Soft Power ของไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก โดยรัฐบาลได้เร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขาที่สาคัญ ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ที่มีอยู่เดิม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สําคัญ ที่จะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังยุคโควิด 19 นอกเหนือจากการจะทําให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้แล้ว ยังมีสิ่งสําคัญที่จะต้องเตรียมพร้อมสําหรับการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เวทีโลกในอนาคต คือการกําหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศ ซึ่งการพัฒนาประเทศให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติ ยังคงมีข้อจํากัดภายในจํานวนมากที่ต้องก้าวข้าม อีกทั้งยังต้องเตรียมพร้อมประเทศให้สามารถรับมือและแสวงหาโอกาส จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับโลก โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อผลักดันให้การพัฒนาประเทศก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น “การจัดสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการจับมือพันธมิตรระหว่างองค์กรชั้นนําและได้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการทํางานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย หวังให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกําลัง จากความสามัคคีของคนไทยด้วยกัน ความมุ่งหมายของผมมีสิ่งเดียว ซึ่งเหมือนกับพี่น้องประชาชนทุกคน นั่นคือการได้เห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี ประเทศชาติมั่นคง แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า เราทําได้อย่างแน่นอน หากเราทุกคนจับมือแล้วก้าวไปพร้อมกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว .........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชู "Medical Hub - นวดสปา" สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยสุขภาพ ในงานประชุม APEC ด้านสาธารณสุข
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 สธ.ชู "Medical Hub - นวดสปา" สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยสุขภาพ ในงานประชุม APEC ด้านสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นําเสนอการขับเคลื่อน Medical Hub ของไทยผ่านการจัดบูธนิทรรศการในงานประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคมนี้ โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย บริการสุขภาพชั้นเลิศ นวด สปา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นําเสนอการขับเคลื่อนMedical Hub ของไทยผ่านการจัดบูธนิทรรศการในงานประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคมนี้ โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย บริการสุขภาพชั้นเลิศ นวด สปา ผลิตภัณฑ์สุขภาพคุณภาพสูง ตอบโจทย์การสร้างสมดุลสุขภาพและเศรษฐกิจ ชูบทบาท อสม. กับการควบคุมป้องกันโควิด 19 ในชุมชน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการจัดการประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 12 และการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพของเอเปค ครั้งที่ 2/2565 หรือAPEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565 ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ หลังการระบาดของโรคโควิด 19 ประเทศไทยให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนสร้างสมดุลทุกด้าน ผ่านตามแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economic Model : BCG) ในส่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้จัดนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Thailand Global Healthcare Destination” นําเสนอถึงการขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Medical Hub) ของไทย ศักยภาพของอุตสาหกรรมการแพทย์เพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19 ได้แก่การให้บริการทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูง มีชื่อเสียงและดึงดูดชาวต่างชาติ(Magnets) และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางการแพทย์ ได้แก่ การดูแลรักษาสุขภาพบริการชั้นเลิศ (Wellness & Medical Retreat) เช่น การนวดรักษา การนวดกดจุด สปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนําเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อการดูแลสุขภาพ (High Products Hub) จากองค์การเภสัชกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และบริษัทขาวลออ เป็นต้นข้อเสนอแพ็กเกจตรวจสุขภาพพิเศษ จากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนําของประเทศบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขไทย(อสม.) ในการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้รับคําชื่นชมจาก WHOรวมถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialised Expo 2028 Phuketโดยมีสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (Thailand Convention and Exhibition Bureau) หรือ TCEB ร่วมจัดนิทรรศการด้วย นพ.ธเรศ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการจัดประชุม กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมสนับสนุนการวางจําหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์โอทอป 4 -5 ดาว (OTOP) ณ ลานพลาซ่า King Power รางน้ําและเปิดช่องทางการวางจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์สุขภาพออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์https://www.thailandmedicalhub.net/ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเอเปคสามารถซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการและขอคืนภาษีได้โดยได้รับความร่วมมือในการเตรียมระบบ Vat Refund/Tax Refund และการเปิดใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track Lane)จากการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรมสรรพากร กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าประชุมการประชุมระดับสูงว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจครั้งนี้ด้วย ********************************* 18 สิงหาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชู "Medical Hub - นวดสปา" สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยสุขภาพ ในงานประชุม APEC ด้านสาธารณสุข วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 สธ.ชู "Medical Hub - นวดสปา" สร้างเศรษฐกิจไทยด้วยสุขภาพ ในงานประชุม APEC ด้านสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นําเสนอการขับเคลื่อน Medical Hub ของไทยผ่านการจัดบูธนิทรรศการในงานประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคมนี้ โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย บริการสุขภาพชั้นเลิศ นวด สปา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นําเสนอการขับเคลื่อนMedical Hub ของไทยผ่านการจัดบูธนิทรรศการในงานประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคมนี้ โชว์ศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย บริการสุขภาพชั้นเลิศ นวด สปา ผลิตภัณฑ์สุขภาพคุณภาพสูง ตอบโจทย์การสร้างสมดุลสุขภาพและเศรษฐกิจ ชูบทบาท อสม. กับการควบคุมป้องกันโควิด 19 ในชุมชน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการจัดการประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 12 และการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพของเอเปค ครั้งที่ 2/2565 หรือAPEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565 ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ หลังการระบาดของโรคโควิด 19 ประเทศไทยให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนสร้างสมดุลทุกด้าน ผ่านตามแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ- เศรษฐกิจหมุนเวียน- เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economic Model : BCG) ในส่วนกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้จัดนิทรรศการภายใต้แนวคิด “Thailand Global Healthcare Destination” นําเสนอถึงการขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Medical Hub) ของไทย ศักยภาพของอุตสาหกรรมการแพทย์เพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19 ได้แก่การให้บริการทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูง มีชื่อเสียงและดึงดูดชาวต่างชาติ(Magnets) และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางการแพทย์ ได้แก่ การดูแลรักษาสุขภาพบริการชั้นเลิศ (Wellness & Medical Retreat) เช่น การนวดรักษา การนวดกดจุด สปา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนําเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเพื่อการดูแลสุขภาพ (High Products Hub) จากองค์การเภสัชกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และบริษัทขาวลออ เป็นต้นข้อเสนอแพ็กเกจตรวจสุขภาพพิเศษ จากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนําของประเทศบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขไทย(อสม.) ในการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้รับคําชื่นชมจาก WHOรวมถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialised Expo 2028 Phuketโดยมีสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (Thailand Convention and Exhibition Bureau) หรือ TCEB ร่วมจัดนิทรรศการด้วย นพ.ธเรศ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการจัดประชุม กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการส่งเสริมสนับสนุนการวางจําหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์โอทอป 4 -5 ดาว (OTOP) ณ ลานพลาซ่า King Power รางน้ําและเปิดช่องทางการวางจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์สุขภาพออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์https://www.thailandmedicalhub.net/ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมเอเปคสามารถซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการและขอคืนภาษีได้โดยได้รับความร่วมมือในการเตรียมระบบ Vat Refund/Tax Refund และการเปิดใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track Lane)จากการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรมสรรพากร กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าประชุมการประชุมระดับสูงว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจครั้งนี้ด้วย ********************************* 18 สิงหาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58152
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ร้านดารุมะ ซูชิ ถูกลอยแพ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบช่วยคุ้มครองสิทธิโดยด่วน
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ร้านดารุมะ ซูชิ ถูกลอยแพ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบช่วยคุ้มครองสิทธิโดยด่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้าง “ร้านดารุมะ ซูชิ” ที่ถูกลอยแพทั้ง 27 สาขา สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและหน่วยงานในสังกัด เร่งตรวจสอบช่วยเหลือคุ้มครองให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ร้านซูซิแห่งหนึ่งประกาศปิดร้านอย่างไม่มีกําหนด ทําให้พนักงานในร้านถูกลอยแพไม่ได้รับเงินเดือน ผมจึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ส่งพนักงานตรวจแรงงานเข้าตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทันที เบื้องต้นได้รับข้อมูลทราบว่า ร้านดังกล่าวชื่อ ร้านดารุมะ ซูชิ ได้จดทะเบียนในนามบริษัท ดารุมะ ซูชิ จํากัด มีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ประกอบกิจการ ร้านอาหารญี่ปุ่น ได้เปิดให้บริการอยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสิ้นจํานวน 27 สาขา ซึ่งในปัจจุบันร้านทุกสาขาได้ปิดให้บริการอย่างไม่มีกําหนดแล้ว โดยในวันที่ 20 มิถุนายน 2565 นี้ พนักงานตรวจแรงงาน สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานท้องที่ที่ร้านสาขาของร้านดารุมะ ซูชิตั้งอยู่ จะเข้าไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผมยังได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าช่วยเหลือลูกจ้างร้านซูซิดังกล่าวทุกสาขา โดยจะเข้าไปให้คําปรึกษาข้อกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกจ้างพึงได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายประกันสังคม พร้อมทั้งเตรียมตําแหน่งงานว่างรองรับกรณีลูกจ้างมีความประสงค์จะหางานใหม่ หรือหากลูกจ้างต้องการเปลี่ยนสายงานหรือเพิ่มทักษะด้านอาชีพก็สามารถเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานได้ทันที ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าว การที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างเข้าทํางานและไม่จ่ายค่าจ้างให้ เหตุเพราะนายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ ถือเป็นการเลิกจ้าง โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินอื่นตามที่ตกลงกับนายจ้าง ทั้งนี้ ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว สามารถเข้ามายื่นคําร้อง คร.7 และยื่นคําขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงานได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพื้นที่ที่ลูกจ้างปฏิบัติงานอยู่ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ร้านดารุมะ ซูชิ ถูกลอยแพ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบช่วยคุ้มครองสิทธิโดยด่วน วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 รมว.เฮ้ง ห่วงลูกจ้าง ร้านดารุมะ ซูชิ ถูกลอยแพ สั่ง กสร. เร่งตรวจสอบช่วยคุ้มครองสิทธิโดยด่วน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้าง “ร้านดารุมะ ซูชิ” ที่ถูกลอยแพทั้ง 27 สาขา สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและหน่วยงานในสังกัด เร่งตรวจสอบช่วยเหลือคุ้มครองให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยด่วน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ร้านซูซิแห่งหนึ่งประกาศปิดร้านอย่างไม่มีกําหนด ทําให้พนักงานในร้านถูกลอยแพไม่ได้รับเงินเดือน ผมจึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ส่งพนักงานตรวจแรงงานเข้าตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทันที เบื้องต้นได้รับข้อมูลทราบว่า ร้านดังกล่าวชื่อ ร้านดารุมะ ซูชิ ได้จดทะเบียนในนามบริษัท ดารุมะ ซูชิ จํากัด มีสํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ประกอบกิจการ ร้านอาหารญี่ปุ่น ได้เปิดให้บริการอยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสิ้นจํานวน 27 สาขา ซึ่งในปัจจุบันร้านทุกสาขาได้ปิดให้บริการอย่างไม่มีกําหนดแล้ว โดยในวันที่ 20 มิถุนายน 2565 นี้ พนักงานตรวจแรงงาน สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานท้องที่ที่ร้านสาขาของร้านดารุมะ ซูชิตั้งอยู่ จะเข้าไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นายสุชาติกล่าวต่อว่า ผมยังได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าช่วยเหลือลูกจ้างร้านซูซิดังกล่าวทุกสาขา โดยจะเข้าไปให้คําปรึกษาข้อกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกจ้างพึงได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายประกันสังคม พร้อมทั้งเตรียมตําแหน่งงานว่างรองรับกรณีลูกจ้างมีความประสงค์จะหางานใหม่ หรือหากลูกจ้างต้องการเปลี่ยนสายงานหรือเพิ่มทักษะด้านอาชีพก็สามารถเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานได้ทันที ด้านนายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าว การที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างเข้าทํางานและไม่จ่ายค่าจ้างให้ เหตุเพราะนายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ ถือเป็นการเลิกจ้าง โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินอื่นตามที่ตกลงกับนายจ้าง ทั้งนี้ ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว สามารถเข้ามายื่นคําร้อง คร.7 และยื่นคําขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงานได้ที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพื้นที่ที่ลูกจ้างปฏิบัติงานอยู่ หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 3 หรือ 1546 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษกแรงงาน”แจง สมัครผู้ประกันตน ม.40 ไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 “โฆษกแรงงาน”แจง สมัครผู้ประกันตน ม.40 ไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “โฆษกแรงงาน”แจงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลสมัครผู้ประกันตน ม.40 ยืนยันไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ สําหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่จะได้รับเงินเยียวยาเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการสมัครมาตรา 40 มีทั้งหมด 3 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 70 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 3 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และค่าทําศพ ทางเลือกที่ 2 ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 4 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทําศพ และเพิ่มบําเหน็จชราภาพอีกหนึ่งกรณี และทางเลือกที่ 3 ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทําศพ บําเหน็จ ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) หรือสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และในขณะนี้สํานักงานประกันสังคมยังลดเงินสมทบได้ลดเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบเดิม เป็นระยะเวลา 6 เดือนตั้งวันที่ 1 ส.ค. 64 -31 ม.ค. 65 ให้แก่ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 เดิมจ่าย 70 บาท เหลือ 42 บาทต่อเดือน ทางเลือกที่ 2 เดิมจ่าย 100 บาท เหลือ 60 บาทต่อเดือน และทางเลือกที่ 3 เดิมจ่าย 300 บาท เหลือ 180 บาท นางเธียรรัตน์ ยังกล่าวยืนยันว่า การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสํานักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้มีหลักประกันทางสังคมจากรัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคมจึงได้สั่งการให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เร่งรัดให้สํานักงานประกันสังคมอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระได้สมัครมาตรา 40 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อมีเงินออมในระยะยาว สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและอุดหนุนเยียวยาจากมาตรการต่างๆ จากภาครัฐได้ในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษกแรงงาน”แจง สมัครผู้ประกันตน ม.40 ไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 “โฆษกแรงงาน”แจง สมัครผู้ประกันตน ม.40 ไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “โฆษกแรงงาน”แจงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลสมัครผู้ประกันตน ม.40 ยืนยันไม่กระทบสิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ สําหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่จะได้รับเงินเยียวยาเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการสมัครมาตรา 40 มีทั้งหมด 3 ทางเลือก ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 70 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 3 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และค่าทําศพ ทางเลือกที่ 2 ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 4 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทําศพ และเพิ่มบําเหน็จชราภาพอีกหนึ่งกรณี และทางเลือกที่ 3 ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทําศพ บําเหน็จ ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) หรือสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และในขณะนี้สํานักงานประกันสังคมยังลดเงินสมทบได้ลดเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบเดิม เป็นระยะเวลา 6 เดือนตั้งวันที่ 1 ส.ค. 64 -31 ม.ค. 65 ให้แก่ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 เดิมจ่าย 70 บาท เหลือ 42 บาทต่อเดือน ทางเลือกที่ 2 เดิมจ่าย 100 บาท เหลือ 60 บาทต่อเดือน และทางเลือกที่ 3 เดิมจ่าย 300 บาท เหลือ 180 บาท นางเธียรรัตน์ ยังกล่าวยืนยันว่า การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสํานักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้มีหลักประกันทางสังคมจากรัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความห่วงใยแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคมจึงได้สั่งการให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เร่งรัดให้สํานักงานประกันสังคมอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระได้สมัครมาตรา 40 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อมีเงินออมในระยะยาว สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและอุดหนุนเยียวยาจากมาตรการต่างๆ จากภาครัฐได้ในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กําชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กําชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี วันที่ 17 ก.พ. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบรายงานของทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์การส่งออกในภาพรวม ทั้งในส่วนข้อมูลปี 2564 ที่มูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 17.1 และการประเมินการเติบโตในปี 2565 ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 – 4.0 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการส่งออกที่ขณะนี้กําลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอุตสาหกรรมของหลายประเทศกําลังฟื้นตัว ความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ซึ่งความต่อเนื่องของการส่งออกจะสร้างความความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ และส่งผลไปถึงการจ้างงานทั้งในอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอีที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิต น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากข้อมูลและการประมาณการของกระทรวงพาณิชย์แล้ว ปริมาณการการขนส่งสินค้าทางเรือในขณะนี้ก็แสดงให้เห็นสัญญาณบวกของการส่งออก โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท) ได้เปิดเผยถึงปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือ ณ ท่าเรือหลักของประเทศได้แก่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.-ธ.ค.2564) มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือทั้ง 2 แห่ง รวม 3,721 เที่ยว เพิ่มขึ้น 13.10% สินค้าผ่านท่า 14.60ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.02% และตู้สินค้าผ่านท่า 2.44 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 5.78% ซึ่ง กทท. ก็ได้ประเมินว่าการส่งออกสินค้าปีนี้จะขยายตัว 4% ปัญหาการขนาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ลดลงและปริมาณการขนส่งทางเรือดีขึ้นตามลําดับ “นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาถึงแนวนโยบายที่จะสนับสนุนให้แต่ละภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจฟื้นฟูจากผลกระทบของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การท่องเที่ยว การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งในส่วนการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีท่านกําชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลให้เกิดความต่อเนื่อง หากทุกส่วนฟื้นตัวได้จะส่งผลสําคัญต่อความเชื่อมั่น เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีงานทํา” น.ส.ไตรศุลี กล่าว ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กําชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี นายกรัฐมนตรีรับรายงานสถานการณ์ส่งออก กําชับหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันรักษาความต่อเนื่องการเติบโต สร้างความเชื่อมั่นการจ้างงานอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอี วันที่ 17 ก.พ. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับทราบรายงานของทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์การส่งออกในภาพรวม ทั้งในส่วนข้อมูลปี 2564 ที่มูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 17.1 และการประเมินการเติบโตในปี 2565 ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 – 4.0 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการส่งออกที่ขณะนี้กําลังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอุตสาหกรรมของหลายประเทศกําลังฟื้นตัว ความตกลง RCEP ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ซึ่งความต่อเนื่องของการส่งออกจะสร้างความความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ และส่งผลไปถึงการจ้างงานทั้งในอุตสาหกรรมหลักและเอสเอ็มอีที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่การผลิต น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากข้อมูลและการประมาณการของกระทรวงพาณิชย์แล้ว ปริมาณการการขนส่งสินค้าทางเรือในขณะนี้ก็แสดงให้เห็นสัญญาณบวกของการส่งออก โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท) ได้เปิดเผยถึงปริมาณการขนส่งสินค้าทางเรือ ณ ท่าเรือหลักของประเทศได้แก่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.-ธ.ค.2564) มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือทั้ง 2 แห่ง รวม 3,721 เที่ยว เพิ่มขึ้น 13.10% สินค้าผ่านท่า 14.60ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.02% และตู้สินค้าผ่านท่า 2.44 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 5.78% ซึ่ง กทท. ก็ได้ประเมินว่าการส่งออกสินค้าปีนี้จะขยายตัว 4% ปัญหาการขนาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ลดลงและปริมาณการขนส่งทางเรือดีขึ้นตามลําดับ “นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาถึงแนวนโยบายที่จะสนับสนุนให้แต่ละภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจฟื้นฟูจากผลกระทบของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การท่องเที่ยว การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งในส่วนการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีท่านกําชับให้หน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลให้เกิดความต่อเนื่อง หากทุกส่วนฟื้นตัวได้จะส่งผลสําคัญต่อความเชื่อมั่น เกิดการจ้างงาน ประชาชนมีงานทํา” น.ส.ไตรศุลี กล่าว ---------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจำพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้ กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 69/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษก ศบค.ยธ. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ.เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางสงขลา และเรือนจําจังหวัดสุพรรณบุรี ขณะที่ไม่พบการระบาดเพิ่มของเรือนจําต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ส่งผลให้เรือนจําสีแดงลดลงอยู่ที่ 37 แห่ง และเรือนจําสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 105 แห่ง ขณะที่วันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 631 ราย (พบในเรือนจําสีแดง 600 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 31 ราย) รักษาหายเพิ่ม 153 ราย ไม่มีรายงานผู้ต้องขังเสียชีวิตในวันนี้ ทําให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 4,971 ราย (กลุ่มสีเขียว 85.3% สีเหลือง 13.9% และสีแดง 0.8%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 470 ราย ปริมณฑล 372 ราย และต่างจังหวัด 4,129 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 54,699 ราย หรือ 89.2% ของผู้ติดเชื้อสะสม 61,343 ราย เสียชีวิตสะสม 130 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด นายวัลลภ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การระบาดของกรมราชทัณฑ์ในระยะนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยพบการเพิ่มขึ้นของเรือนจําแพร่ระบาดที่ค่อนข้างชะลอตัว ขณะที่จํานวนเรือนจําที่จะพ้นจากการระบาดยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยภายในเดือนนี้จะสิ้นสุดการระบาดได้อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง แม้จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นกลุ่มก้อน แต่เป็นการตรวจพบในเรือนจําสีแดงที่มีการระบาดใหม่ประมาณ 2-3 แห่ง และการตรวจพบผู้ติดเชื้อในห้องแยกกักโรค ซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอกที่ยังคงสามารถป้องกันเชื้อก่อนเข้าเรือนจําได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในการประชุมเช้าวันนี้ ยังคงกําชับทุกฝ่ายดําเนินการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามาตรการในการรักษาและให้ยาแก่ผู้ติดเชื้อมีการดําเนินการอย่างเป็นระบบแล้ว สิ่งที่ต้องเคร่งครัดเป็นพิเศษ คือมาตรการในการป้องกันเชื้อ ทั้งในเรือนจําที่ยังไม่เคยพบการระบาดและเรือนจําที่พ้นจากการระบาดแล้ว โดยผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ต้องมีความเข้าใจในหลักการระบาดของโรค เข้าใจระบบ และหมั่นพัฒนาองค์ความรู้อยู่เสมอ รวมทั้งการปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้สามารถดําเนินการป้องกันได้อย่างถูกต้องและตรงจุด อันจะช่วยให้สามารถป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพในท้ายที่สุด ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จํานวน 7 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 5 ราย และเยาวชน 2 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 48 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 8 แห่ง แยกเป็นติดเชื้อ 5 แห่ง และหมดสถานะสีขาว 3 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็น 299 ราย หรือคิดเป็น 7.48% จากทั้งหมด 4,000 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ที่ 3,795 ราย หรือคิดเป็น 86.74% จากทั้งหมด 4,375 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจำพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้ วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้ กระทรวงยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์แนวโน้มดีขึ้น พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง ขณะที่อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เตรียมสิ้นสุดการระบาดในเดือนกันยายนนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 69/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษก ศบค.ยธ. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ.เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ พบเรือนจําพ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางสงขลา และเรือนจําจังหวัดสุพรรณบุรี ขณะที่ไม่พบการระบาดเพิ่มของเรือนจําต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ส่งผลให้เรือนจําสีแดงลดลงอยู่ที่ 37 แห่ง และเรือนจําสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 105 แห่ง ขณะที่วันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 631 ราย (พบในเรือนจําสีแดง 600 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 31 ราย) รักษาหายเพิ่ม 153 ราย ไม่มีรายงานผู้ต้องขังเสียชีวิตในวันนี้ ทําให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 4,971 ราย (กลุ่มสีเขียว 85.3% สีเหลือง 13.9% และสีแดง 0.8%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 470 ราย ปริมณฑล 372 ราย และต่างจังหวัด 4,129 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 54,699 ราย หรือ 89.2% ของผู้ติดเชื้อสะสม 61,343 ราย เสียชีวิตสะสม 130 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด นายวัลลภ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การระบาดของกรมราชทัณฑ์ในระยะนี้ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยพบการเพิ่มขึ้นของเรือนจําแพร่ระบาดที่ค่อนข้างชะลอตัว ขณะที่จํานวนเรือนจําที่จะพ้นจากการระบาดยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยภายในเดือนนี้จะสิ้นสุดการระบาดได้อีกไม่น้อยกว่า 20 แห่ง แม้จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นกลุ่มก้อน แต่เป็นการตรวจพบในเรือนจําสีแดงที่มีการระบาดใหม่ประมาณ 2-3 แห่ง และการตรวจพบผู้ติดเชื้อในห้องแยกกักโรค ซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอกที่ยังคงสามารถป้องกันเชื้อก่อนเข้าเรือนจําได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในการประชุมเช้าวันนี้ ยังคงกําชับทุกฝ่ายดําเนินการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามาตรการในการรักษาและให้ยาแก่ผู้ติดเชื้อมีการดําเนินการอย่างเป็นระบบแล้ว สิ่งที่ต้องเคร่งครัดเป็นพิเศษ คือมาตรการในการป้องกันเชื้อ ทั้งในเรือนจําที่ยังไม่เคยพบการระบาดและเรือนจําที่พ้นจากการระบาดแล้ว โดยผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย ต้องมีความเข้าใจในหลักการระบาดของโรค เข้าใจระบบ และหมั่นพัฒนาองค์ความรู้อยู่เสมอ รวมทั้งการปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้สามารถดําเนินการป้องกันได้อย่างถูกต้องและตรงจุด อันจะช่วยให้สามารถป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพในท้ายที่สุด ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จํานวน 7 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 5 ราย และเยาวชน 2 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 48 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 8 แห่ง แยกเป็นติดเชื้อ 5 แห่ง และหมดสถานะสีขาว 3 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็น 299 ราย หรือคิดเป็น 7.48% จากทั้งหมด 4,000 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ที่ 3,795 ราย หรือคิดเป็น 86.74% จากทั้งหมด 4,375 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45673
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ำ คนมหาดไทยต้องทำงานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ํา คนมหาดไทยต้องทํางานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ํา คนมหาดไทยต้องทํางานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” สร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน อย่างยั่งยืน วันนี้ (25 พ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดําเนินงานตามภารกิจรัฐบาลและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 6/2565 โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 5 และ 18 นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 1 ที่ปรึกษาระดับกระทรวง พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับนายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร นายณัฐวัสส์ วิริยานภาภรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย หัวหน้าสํานักงานจังหวัด และผู้อํานวยการกลุ่มงานในสังกัดสํานักงานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ําในช่วงต้นว่า คนมหาดไทย ต้องมีชีวิตจิตใจที่รุกรบ ต้องทํางานเร็ว หนักเอาเบาสู้ ทุ่มเทอุทิศกาย ใจ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือประเทศชาติ บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้อยู่ในสายโลหิต ในทุกลมหายใจ และส่งต่ออุดมการณ์การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทุกเวลานาทีมีแต่ความคิดที่จะช่วยเหลือประชาชน ด้วยการถ่ายทอด อบรม กล่อมเกลา ทั้งข้าราชการเก่า ข้าราชการใหม่ ให้ได้ตระหนักและสํานึกในหน้าที่ของการเป็นข้าราชการเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะเกิดโรคระบาด หรือสถานการณ์ใด ๆ ข้าราชการยังมีเงินเดือน เงินประจําตําแหน่ง มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ราชการดูแล ซึ่งเราจะมีความสุขไม่ได้ เพราะพี่น้องประชาชนยังเดือดร้อนทุกข์ยากอยู่ จึงจําเป็นที่ทุกคนต้องช่วยกันระดมสติปัญญา ความสามารถ และความมีน้ําใจ ทํางานเป็นทีม สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีระบบการติดตามเรื่องต่าง ๆ เป็นดั่งเทียนไขที่ให้ความร้อนเผาผลาญตนเอง ด้วยความเสียสละ ประดุจดั่งสีพระศอของพระศิวะที่ได้กลืนน้ําอมฤตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติจนกลายเป็นปาน “สีดํา” ซึ่งเป็นสีประจํากระทรวงมหาดไทยของพวกเราทุกคน โดยต้องระลึกเสมอว่าความสําเร็จของการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขจะเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ตัวคนมหาดไทย ใจคนมหาดไทย ที่มีเป้าหมายให้บังเกิดการ Change for Good สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้พี่น้องประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนดําเนินงาน โดยกล่าวว่า ในขณะนี้เรื่องที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน นั่นคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แม้ว่าสถานการณ์จะมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง และประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมสถานการณ์โรคโควิด-19 สู่การเป็นโรคประจําถิ่น แต่ก็ยังพบว่าจํานวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม 608 คือ กลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจําตัวในกลุ่ม 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงให้ทุกจังหวัดน้อมนําพระราชดํารัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รณรงค์ให้คนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้ได้รับฉีดวัคซีนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก และไม่ประมาทในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร (COVID Free Setting) รวมทั้งมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล DMHTA ได้แก่ เว้นระยะห่างระหว่างกัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยน้ําสบู่หรือแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ตรวจวัดอุณหภูมิ และใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกําลังกายให้เป็นประจํา เพื่อห่างไกลจากโรคโควิด-19 และได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรมที่สําคัญ ได้แก่ 1) ทํานุบํารุงและดูแลรักษาสถานที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดที่เคยเป็นสถานที่อันเนื่องในพระราชพิธี รวมถึงเคยเป็นสถานที่เสด็จพระราชดําเนิน ให้มีความสวยงาม สมบูรณ์ สมพระเกียรติ เป็นแหล่งเรียนรู้ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจของพี่น้องประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ และพิจารณาจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การจัดเสวนาหรือบรรยายทางวิชาการโดยปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความภาคภูมิใจให้กับเด็ก เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้เกิดความหวงแหนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และรักษาไว้ให้อยู่คู่บ้านคู่เมือง 2) การรวบรวมและประมวลภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ที่เคยเสด็จพระราชดําเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจบริเวณพื้นที่จังหวัดในวาระต่าง ๆ ซึ่งทําให้เกิดคุณค่าทั้งทางตรง คือ เสริมสร้างความภาคภูมิใจของคนในจังหวัดและเป็นเกียรติประวัติของจังหวัด และคุณค่าทางอ้อม คือ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัด 3) การเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ให้เป็นไปตามแนวทางของสํานักนายกรัฐมนตรี และสมพระเกียรติ ทั้งการตกแต่งอาคารสถานที่ ประดับธงชาติและธงตราสัญลักษณ์พระนามาภิไธย ส.ท. การลงนามถวายพระพรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การจัดพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล พิธีถวายพระพรชัยมงคล กิจกรรมสาธารณกุศลต่าง ๆ เช่น กิจกรรมบริจาคโลหิต การทําจิตอาสาพัฒนาต่าง ๆ และการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและเกิดความเป็นสิริมงคลกับตัวเราและประเทศชาติ 4) โครงการปลูกต้นไม้ประจําจังหวัดและต้นไม้ในพุทธประวัติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ วัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) ต.สวนพริกไทย อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ด้วยการปลูกต้นไม้ประจําจังหวัดทั้ง 77 ต้น และต้นไม้ในพุทธประวัติ เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมกันตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สอดคล้องกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติบูชาที่ยั่งยืน เพราะต้นไม้ทุกต้นจะเกื้อกูลประโยชน์ทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของเด็ก เยาวชน และประชาชนในสังคม ในด้านการบริหารจัดการและด้านงบประมาณ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2565 ให้เป็นไปตามแนวทางของกรมบัญชีกลาง และจัดทําคําขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2566 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ราคามาตรฐานของสํานักงบประมาณควบคู่กับการพิจารณาด้านความพร้อม ความเหมาะสม ความคุ้มค่า ความตรงไปตรงมา และประโยชน์ที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง และได้เน้นย้ําถึงการขับเคลื่อนการทํางานของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยข้าราชการและบุคลากรที่อยู่ในสํานัก กอง ศูนย์ กลุ่ม สํานักงานจังหวัด เดียวกัน ต้องมีองค์ความรู้ในการทํางานเท่ากัน ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นข้อสั่งการ ข้อเสนอแนะ เนื้องาน ของบุคลากรแต่ละคน กลุ่ม ส่วน ทุกคนต้องมีความรู้เท่ากัน “ทํางานเป็นทีม” มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติราชการด้วยหัวใจคนมหาดไทย ที่มีความปรารถนา (Passion) ทุ่มเท มีน้ําใจที่จะช่วยเหลืองานของทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เพื่อบังเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ด้วยการช่วยกัน “ติชม เสนอแนะ ลงมือทํา เมื่อมีประชาชนติดต่อ หรือหน่วยงานติดต่อ ก็สามารถตอบได้” รวมทั้งถอดบทเรียนการทํางานเพื่อให้ได้คิด ทบทวน เรียนรู้ กระบวนการทํางานที่เป็นเลิศ (Best Practice) เพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยายผลไปยังส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในพื้นที่จังหวัด และต้องสื่อสารสังคมสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนผ่านช่องทางสื่อในพื้นที่ เช่น วิทยุกระจายเสียง หอกระจายข่าว เป็นต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลในการดําเนินโครงการที่เป็นการแก้ไขความทุกข์ยากลําบากของพี่น้องประชาชนที่สําคัญ ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาความยากจนผ่านไกลศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ซึ่งในขณะนี้ ท่านนายอําเภอในฐานะแม่ทัพได้ขับเคลื่อนนําขุนศึก คือ ข้าราชการและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ลงสํารวจ (Re X-Ray) ข้อมูลเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ยากจนและได้รับความเดือดร้อนทุกเรื่องผ่านแพลตฟอร์ม ThaiQM ไปแล้วจํานวน 12 ล้านครัวเรือนจาก 17 ล้านครัวเรือน ซึ่งสํานักงานจังหวัดต้องให้ข้อมูลกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการลงพื้นที่ติดตามการสํารวจข้อมูลและการแก้ไขปัญหาความยากจนเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนครัวเรือนเป้าหมาย และสนับสนุนบทบาทของนายอําเภอในการค้นหาเป้าหมายให้พบมากที่สุด เพื่อมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งน้อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการทํางานแก้ไขปัญหาตามภูมิสังคม ดําเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กําหนด คือ 30 ก.ย. 2565 สําหรับกรณีที่ดําเนินการแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วน 100% ให้นําฐานข้อมูลนี้ในการสานงานต่อให้สําเร็จ เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวมหาดไทยที่มุ่งมั่นตั้งใจบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนที่เดือดร้อน 2) การขับเคลื่อนจัดตั้งศูนย์บําบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด โดยสํานักงานจังหวัดต้องให้ข้อมูลกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดประกอบการพิจารณาว่าพื้นที่ใดจะสามารถเปิดเป็นศูนย์บําบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเพื่อดูแลรักษาผู้ติดยาเสพติดซึ่งเป็น “ผู้ป่วย” ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้ได้รับการรักษา “คืนคนดีกลับสู่สังคม” ซึ่งอย่างน้อยต้องมี 878 ศูนย์ หรืออําเภอละ 1 ศูนย์ โดยให้มีจิตอาสาที่ผ่านการฝึกอบรม เช่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจําตําบล กรรมการหมู่บ้าน พระสงฆ์ ครูเกษียณอายุ และข้าราชการในพื้นที่ ร่วมบริหารจัดการ และขอรับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และผู้มีความรู้ด้านบําบัดฟื้นฟู จากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด อําเภอ หรือปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ 3) วางระบบ “สายด่วนเลิกยาเสพติด” ศูนย์ดํารงธรรม 1567 ทั้งระบบบันทึกข้อมูล การส่งต่อข้อมูล การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากยาเสพติดทั้งเหตุฉุกเฉิน เช่น คลุ้มคลั่ง และทั่วไป เช่น การบําบัดรักษา และ 4) การขับเคลื่อนโครงการอําเภอนําร่อง “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” แบบบูรณาการ และสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นําการเปลี่ยนแปลง กระทรวงมหาดไทย โดยสํานักงานจังหวัดต้องสนับสนุนข้อมูลผู้ว่าราชการจังหวัดในการดําเนินการคัดเลือกอําเภอนําร่องจังหวัดละ 1 อําเภอ รวม 76 อําเภอ เพื่อสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นําการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการบูรณาการในระดับพื้นที่ เสริมงสมรรถนะการทํางานแบบบูรณาการและสร้างเครือข่ายกําลังคนคุณภาพระหว่างหน่วยงานในระดับพื้นที่ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรมผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่ ด้วยการเรียน สืบสาน น้อมนํา “ศาสตร์พระราชา” สู่การปฏิบัติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ำ คนมหาดไทยต้องทำงานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ํา คนมหาดไทยต้องทํางานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมติดตามขับเคลื่อนงานสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยและสํานักงานจังหวัดทั่วประเทศ เน้นย้ํา คนมหาดไทยต้องทํางานเป็นทีม ด้วยหัวใจรุกรบ อุทิศตนเพื่อ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” สร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน อย่างยั่งยืน วันนี้ (25 พ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดําเนินงานตามภารกิจรัฐบาลและสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 6/2565 โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 5 และ 18 นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขตตรวจราชการที่ 1 ที่ปรึกษาระดับกระทรวง พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับนายชลธี ยังตรง ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร นายณัฐวัสส์ วิริยานภาภรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย หัวหน้าสํานักงานจังหวัด และผู้อํานวยการกลุ่มงานในสังกัดสํานักงานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ําในช่วงต้นว่า คนมหาดไทย ต้องมีชีวิตจิตใจที่รุกรบ ต้องทํางานเร็ว หนักเอาเบาสู้ ทุ่มเทอุทิศกาย ใจ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือประเทศชาติ บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้อยู่ในสายโลหิต ในทุกลมหายใจ และส่งต่ออุดมการณ์การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทุกเวลานาทีมีแต่ความคิดที่จะช่วยเหลือประชาชน ด้วยการถ่ายทอด อบรม กล่อมเกลา ทั้งข้าราชการเก่า ข้าราชการใหม่ ให้ได้ตระหนักและสํานึกในหน้าที่ของการเป็นข้าราชการเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะเกิดโรคระบาด หรือสถานการณ์ใด ๆ ข้าราชการยังมีเงินเดือน เงินประจําตําแหน่ง มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ราชการดูแล ซึ่งเราจะมีความสุขไม่ได้ เพราะพี่น้องประชาชนยังเดือดร้อนทุกข์ยากอยู่ จึงจําเป็นที่ทุกคนต้องช่วยกันระดมสติปัญญา ความสามารถ และความมีน้ําใจ ทํางานเป็นทีม สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีระบบการติดตามเรื่องต่าง ๆ เป็นดั่งเทียนไขที่ให้ความร้อนเผาผลาญตนเอง ด้วยความเสียสละ ประดุจดั่งสีพระศอของพระศิวะที่ได้กลืนน้ําอมฤตเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติจนกลายเป็นปาน “สีดํา” ซึ่งเป็นสีประจํากระทรวงมหาดไทยของพวกเราทุกคน โดยต้องระลึกเสมอว่าความสําเร็จของการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขจะเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ตัวคนมหาดไทย ใจคนมหาดไทย ที่มีเป้าหมายให้บังเกิดการ Change for Good สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้พี่น้องประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน จากนั้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนดําเนินงาน โดยกล่าวว่า ในขณะนี้เรื่องที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน นั่นคือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แม้ว่าสถานการณ์จะมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง และประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมสถานการณ์โรคโควิด-19 สู่การเป็นโรคประจําถิ่น แต่ก็ยังพบว่าจํานวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม 608 คือ กลุ่มผู้สูงอายุมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจําตัวในกลุ่ม 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงให้ทุกจังหวัดน้อมนําพระราชดํารัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รณรงค์ให้คนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนให้ได้รับฉีดวัคซีนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก และไม่ประมาทในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสําหรับองค์กร (COVID Free Setting) รวมทั้งมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล DMHTA ได้แก่ เว้นระยะห่างระหว่างกัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยน้ําสบู่หรือแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ตรวจวัดอุณหภูมิ และใช้แอปพลิเคชั่นไทยชนะ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกําลังกายให้เป็นประจํา เพื่อห่างไกลจากโรคโควิด-19 และได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรมที่สําคัญ ได้แก่ 1) ทํานุบํารุงและดูแลรักษาสถานที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดที่เคยเป็นสถานที่อันเนื่องในพระราชพิธี รวมถึงเคยเป็นสถานที่เสด็จพระราชดําเนิน ให้มีความสวยงาม สมบูรณ์ สมพระเกียรติ เป็นแหล่งเรียนรู้ สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจของพี่น้องประชาชนในจังหวัดนั้น ๆ และพิจารณาจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การจัดเสวนาหรือบรรยายทางวิชาการโดยปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความภาคภูมิใจให้กับเด็ก เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้เกิดความหวงแหนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และรักษาไว้ให้อยู่คู่บ้านคู่เมือง 2) การรวบรวมและประมวลภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ที่เคยเสด็จพระราชดําเนินทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจบริเวณพื้นที่จังหวัดในวาระต่าง ๆ ซึ่งทําให้เกิดคุณค่าทั้งทางตรง คือ เสริมสร้างความภาคภูมิใจของคนในจังหวัดและเป็นเกียรติประวัติของจังหวัด และคุณค่าทางอ้อม คือ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัด 3) การเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ให้เป็นไปตามแนวทางของสํานักนายกรัฐมนตรี และสมพระเกียรติ ทั้งการตกแต่งอาคารสถานที่ ประดับธงชาติและธงตราสัญลักษณ์พระนามาภิไธย ส.ท. การลงนามถวายพระพรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การจัดพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล พิธีถวายพระพรชัยมงคล กิจกรรมสาธารณกุศลต่าง ๆ เช่น กิจกรรมบริจาคโลหิต การทําจิตอาสาพัฒนาต่าง ๆ และการจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและเกิดความเป็นสิริมงคลกับตัวเราและประเทศชาติ 4) โครงการปลูกต้นไม้ประจําจังหวัดและต้นไม้ในพุทธประวัติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2565 ณ วัดบางหลวงหัวป่า (วัดร้าง) ต.สวนพริกไทย อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี ด้วยการปลูกต้นไม้ประจําจังหวัดทั้ง 77 ต้น และต้นไม้ในพุทธประวัติ เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมกันตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สอดคล้องกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ซึ่งนับเป็นการปฏิบัติบูชาที่ยั่งยืน เพราะต้นไม้ทุกต้นจะเกื้อกูลประโยชน์ทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการศึกษาหาความรู้ของเด็ก เยาวชน และประชาชนในสังคม ในด้านการบริหารจัดการและด้านงบประมาณ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2565 ให้เป็นไปตามแนวทางของกรมบัญชีกลาง และจัดทําคําขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2566 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ราคามาตรฐานของสํานักงบประมาณควบคู่กับการพิจารณาด้านความพร้อม ความเหมาะสม ความคุ้มค่า ความตรงไปตรงมา และประโยชน์ที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง และได้เน้นย้ําถึงการขับเคลื่อนการทํางานของสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยข้าราชการและบุคลากรที่อยู่ในสํานัก กอง ศูนย์ กลุ่ม สํานักงานจังหวัด เดียวกัน ต้องมีองค์ความรู้ในการทํางานเท่ากัน ดังนั้น สิ่งใดที่เป็นข้อสั่งการ ข้อเสนอแนะ เนื้องาน ของบุคลากรแต่ละคน กลุ่ม ส่วน ทุกคนต้องมีความรู้เท่ากัน “ทํางานเป็นทีม” มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติราชการด้วยหัวใจคนมหาดไทย ที่มีความปรารถนา (Passion) ทุ่มเท มีน้ําใจที่จะช่วยเหลืองานของทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เพื่อบังเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ด้วยการช่วยกัน “ติชม เสนอแนะ ลงมือทํา เมื่อมีประชาชนติดต่อ หรือหน่วยงานติดต่อ ก็สามารถตอบได้” รวมทั้งถอดบทเรียนการทํางานเพื่อให้ได้คิด ทบทวน เรียนรู้ กระบวนการทํางานที่เป็นเลิศ (Best Practice) เพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขยายผลไปยังส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในพื้นที่จังหวัด และต้องสื่อสารสังคมสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนผ่านช่องทางสื่อในพื้นที่ เช่น วิทยุกระจายเสียง หอกระจายข่าว เป็นต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลในการดําเนินโครงการที่เป็นการแก้ไขความทุกข์ยากลําบากของพี่น้องประชาชนที่สําคัญ ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาความยากจนผ่านไกลศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ซึ่งในขณะนี้ ท่านนายอําเภอในฐานะแม่ทัพได้ขับเคลื่อนนําขุนศึก คือ ข้าราชการและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ลงสํารวจ (Re X-Ray) ข้อมูลเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ยากจนและได้รับความเดือดร้อนทุกเรื่องผ่านแพลตฟอร์ม ThaiQM ไปแล้วจํานวน 12 ล้านครัวเรือนจาก 17 ล้านครัวเรือน ซึ่งสํานักงานจังหวัดต้องให้ข้อมูลกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการลงพื้นที่ติดตามการสํารวจข้อมูลและการแก้ไขปัญหาความยากจนเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนครัวเรือนเป้าหมาย และสนับสนุนบทบาทของนายอําเภอในการค้นหาเป้าหมายให้พบมากที่สุด เพื่อมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องในการช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งน้อมนําพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการทํางานแก้ไขปัญหาตามภูมิสังคม ดําเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กําหนด คือ 30 ก.ย. 2565 สําหรับกรณีที่ดําเนินการแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วน 100% ให้นําฐานข้อมูลนี้ในการสานงานต่อให้สําเร็จ เพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวมหาดไทยที่มุ่งมั่นตั้งใจบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนที่เดือดร้อน 2) การขับเคลื่อนจัดตั้งศูนย์บําบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด โดยสํานักงานจังหวัดต้องให้ข้อมูลกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดประกอบการพิจารณาว่าพื้นที่ใดจะสามารถเปิดเป็นศูนย์บําบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเพื่อดูแลรักษาผู้ติดยาเสพติดซึ่งเป็น “ผู้ป่วย” ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้ได้รับการรักษา “คืนคนดีกลับสู่สังคม” ซึ่งอย่างน้อยต้องมี 878 ศูนย์ หรืออําเภอละ 1 ศูนย์ โดยให้มีจิตอาสาที่ผ่านการฝึกอบรม เช่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจําตําบล กรรมการหมู่บ้าน พระสงฆ์ ครูเกษียณอายุ และข้าราชการในพื้นที่ ร่วมบริหารจัดการ และขอรับการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และผู้มีความรู้ด้านบําบัดฟื้นฟู จากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด อําเภอ หรือปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ 3) วางระบบ “สายด่วนเลิกยาเสพติด” ศูนย์ดํารงธรรม 1567 ทั้งระบบบันทึกข้อมูล การส่งต่อข้อมูล การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากยาเสพติดทั้งเหตุฉุกเฉิน เช่น คลุ้มคลั่ง และทั่วไป เช่น การบําบัดรักษา และ 4) การขับเคลื่อนโครงการอําเภอนําร่อง “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” แบบบูรณาการ และสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นําการเปลี่ยนแปลง กระทรวงมหาดไทย โดยสํานักงานจังหวัดต้องสนับสนุนข้อมูลผู้ว่าราชการจังหวัดในการดําเนินการคัดเลือกอําเภอนําร่องจังหวัดละ 1 อําเภอ รวม 76 อําเภอ เพื่อสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นําการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการบูรณาการในระดับพื้นที่ เสริมงสมรรถนะการทํางานแบบบูรณาการและสร้างเครือข่ายกําลังคนคุณภาพระหว่างหน่วยงานในระดับพื้นที่ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรมผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่ ด้วยการเรียน สืบสาน น้อมนํา “ศาสตร์พระราชา” สู่การปฏิบัติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55008
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา”
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา”มุ่งให้บริการและแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรแก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา ซึ่งจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565โดยมีนายเข้มแข็งยุติธรรมดํารงอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายสุเทพ มณีโชติรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเกษตรกรเข้าร่วมณ ที่ว่าการอําเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ว่า โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ เป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร มีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรไปในคราวเดียวกัน โดยเกษตรกรจะได้รับบริการแบบครบวงจรในทุกๆ ด้าน ซึ่งเป็นการนําบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ และองค์ความรู้ด้านการเกษตร มาให้บริการแก่พี่น้องเกษตรกรถึงในพื้นที่ “เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมลงนามถวายพระพรชัยมงคล นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การให้บริการคลินิกเกษตรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ การจัดแสดงและจําหน่ายผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน Young Smart Farmer ของจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีเกษตรกรมาร่วมงานและเข้ารับบริการคลินิกเกษตร ประมาณ 400 คน” ปลัดเกษตรฯ กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขอพระราชานุญาตจัดทําโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ กราบบังคมทูลถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเนื่องในโอกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดํารงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมพรรษา 50 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2545 และทรงรับโครงการไว้ในพระราชานุเคราะห์ ทรงพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อไว้ในเครื่องหมายตราสัญลักษณ์โครงการ โดยเริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 ณ ตําบลบ้านหลวง อําเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี และได้ดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายที่มีปัญหา ให้ได้รับบริการทางการเกษตรได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง ทันเหตุการณ์ และสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร ซึ่งมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ หน่วยงานส่งเสริม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมพัฒนาฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถทําการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนในอาชีพ โดยเป็นการปฏิบัติงานในเชิงรุกเช่นการวิเคราะห์ดิน การวินิจฉัยโรคพืช โรคสัตว์ โรคสัตว์น้ํา รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้ความรู้ด้านการเกษตรเสริมเพิ่มเติมควบคู่กันไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา” ปลัดเกษตรฯ เชิดชู “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา”มุ่งให้บริการและแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรแก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา ซึ่งจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565โดยมีนายเข้มแข็งยุติธรรมดํารงอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายสุเทพ มณีโชติรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเกษตรกรเข้าร่วมณ ที่ว่าการอําเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ว่า โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ เป็นรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร มีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรไปในคราวเดียวกัน โดยเกษตรกรจะได้รับบริการแบบครบวงจรในทุกๆ ด้าน ซึ่งเป็นการนําบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ และองค์ความรู้ด้านการเกษตร มาให้บริการแก่พี่น้องเกษตรกรถึงในพื้นที่ “เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2565 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมลงนามถวายพระพรชัยมงคล นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การให้บริการคลินิกเกษตรของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ การจัดแสดงและจําหน่ายผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน Young Smart Farmer ของจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีเกษตรกรมาร่วมงานและเข้ารับบริการคลินิกเกษตร ประมาณ 400 คน” ปลัดเกษตรฯ กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขอพระราชานุญาตจัดทําโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ กราบบังคมทูลถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเนื่องในโอกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดํารงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมพรรษา 50 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2545 และทรงรับโครงการไว้ในพระราชานุเคราะห์ ทรงพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อไว้ในเครื่องหมายตราสัญลักษณ์โครงการ โดยเริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 ณ ตําบลบ้านหลวง อําเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี และได้ดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายที่มีปัญหา ให้ได้รับบริการทางการเกษตรได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง ทันเหตุการณ์ และสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร ซึ่งมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ หน่วยงานส่งเสริม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมพัฒนาฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถทําการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนในอาชีพ โดยเป็นการปฏิบัติงานในเชิงรุกเช่นการวิเคราะห์ดิน การวินิจฉัยโรคพืช โรคสัตว์ โรคสัตว์น้ํา รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้ความรู้ด้านการเกษตรเสริมเพิ่มเติมควบคู่กันไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565 ‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๕ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ซึ่งในการประชุมได้มีการรายงานผลการประเมินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนประจําปีการศึกษา ๒๕๖๓ และสรุปประเด็นข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่มีต่อประกาศคณะกรรมการ อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจําปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพื่อนําไปพิจารณาในการออกหลักเกณฑ์ ในปีการศึกษา ๒๕๖๕ และพิจารณาถึงแนวทางการป้องกันการทุจริตโครงการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคนา ๒๐๑๙ ซึ่งคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน รับผิดชอบดําเนินการพิจารณาข้อมูลต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565 ‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ‘รองปลัดฯ ระพีภัทร์’ ประชุมคกก.อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๕ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ซึ่งในการประชุมได้มีการรายงานผลการประเมินโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนประจําปีการศึกษา ๒๕๖๓ และสรุปประเด็นข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่มีต่อประกาศคณะกรรมการ อาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจําปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพื่อนําไปพิจารณาในการออกหลักเกณฑ์ ในปีการศึกษา ๒๕๖๕ และพิจารณาถึงแนวทางการป้องกันการทุจริตโครงการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคนา ๒๐๑๙ ซึ่งคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน รับผิดชอบดําเนินการพิจารณาข้อมูลต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม กำชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กำหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวม กําชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวม กําชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม วันนี้ 5 พ.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง ประเมินสถานการณ์ เตรียมความพร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ให้ดําเนินการปรับปรุงแหล่งน้ําให้สามารถรองรับน้ําฝนได้เต็มศักยภาพ พร้อมวางแผนบริหารจัดการน้ําให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรมากที่สุด นายธนกรฯ กล่าวว่า กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ รายงานสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา สรุปดังนี้ 1. กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ ได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ําหลาก และน้ําท่วมฉับพลัน ในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 5 พฤษภาคม 2565 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ภาคตะวันออก จํานวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด และภาคใต้ จํานวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช ภูเก็ต และกระบี่ 2. ผลการดําเนินงานตามมาตรการรองรับ ฤดูฝน ปี 2565 กรมเจ้าท่า ดําเนินการขุดลอกแม่น้ําคํา ตําบลจันจว้า อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 3,050 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของร่องน้ํา รองรับน้ําในฤดูน้ําหลาก การอุปโภค บริโภค และการเกษตร ลดปัญหาน้ําท่วมพื้นที่ ทางการเกษตร การกัดเซาะตลิ่ง โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ จากการขุดลอก จํานวน 339 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร จํานวน 17,800 ไร่ 3. สภาพอากาศ การคาดการณ์สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ 5 - 6 พ.ค. 2565 พบว่า ลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกําลังแรง ทําให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง สําหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้มีกําลังอ่อนลง ทําให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น กับมีอากาศร้อนและมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ําที่ปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่าง และทะเลอันดามันตอนบน มีแนวโน้มจะทวีกําลังแรงขึ้นเป็นพายุไซโคลน และจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนบนในช่วงวันที่ 6-9 พ.ค. 65 4. แหล่งน้ําทั่วประเทศ 4.1 แหล่งน้ําทั่วประเทศ มีปริมาณน้ํา 46,348 ล้าน ลบ.ม. (56%) แบ่งเป็น แหล่งน้ําขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ํา 40,561 ล้าน ลบ.ม. (57%) ขนาดกลาง 355 แห่ง ปริมาณน้ํา 3,327 ล้าน ลบ.ม. (61%) และขนาดเล็ก 139,894 แห่ง ปริมาณน้ํา 2,460 ล้าน ลบ.ม. (48%) สําหรับอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ที่อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อย ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนนฤบดินทรจินดา 4.2 พื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ปริมาณน้ํา 10,111 ล้าน ลบ.ม. (419) โดยเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อย และ 5. สถานการณ์น้ําในแม่น้ําต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อยถึงปกติ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น "นายกรัฐมนตรีความพอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวมที่ผ่านมา และขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถจัดสรรน้ําได้อย่างเพียงพอ เน้นย้ําให้ช่วยเหลือต่อเนื่องให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยแล้งน้อยที่สุด พร้อมกับขอให้ทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนแผนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม" โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม กำชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กำหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวม กําชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวม กําชับทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม วันนี้ 5 พ.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง ประเมินสถานการณ์ เตรียมความพร้อมแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ให้ดําเนินการปรับปรุงแหล่งน้ําให้สามารถรองรับน้ําฝนได้เต็มศักยภาพ พร้อมวางแผนบริหารจัดการน้ําให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรมากที่สุด นายธนกรฯ กล่าวว่า กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ รายงานสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา สรุปดังนี้ 1. กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ ได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ําหลาก และน้ําท่วมฉับพลัน ในช่วงระหว่างวันที่ 1 - 5 พฤษภาคม 2565 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ภาคตะวันออก จํานวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด และภาคใต้ จํานวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช ภูเก็ต และกระบี่ 2. ผลการดําเนินงานตามมาตรการรองรับ ฤดูฝน ปี 2565 กรมเจ้าท่า ดําเนินการขุดลอกแม่น้ําคํา ตําบลจันจว้า อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 3,050 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของร่องน้ํา รองรับน้ําในฤดูน้ําหลาก การอุปโภค บริโภค และการเกษตร ลดปัญหาน้ําท่วมพื้นที่ ทางการเกษตร การกัดเซาะตลิ่ง โดยมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ จากการขุดลอก จํานวน 339 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร จํานวน 17,800 ไร่ 3. สภาพอากาศ การคาดการณ์สภาพอากาศ ในช่วงวันที่ 5 - 6 พ.ค. 2565 พบว่า ลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกําลังแรง ทําให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง สําหรับบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้มีกําลังอ่อนลง ทําให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น กับมีอากาศร้อนและมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ําที่ปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนล่าง และทะเลอันดามันตอนบน มีแนวโน้มจะทวีกําลังแรงขึ้นเป็นพายุไซโคลน และจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนบนในช่วงวันที่ 6-9 พ.ค. 65 4. แหล่งน้ําทั่วประเทศ 4.1 แหล่งน้ําทั่วประเทศ มีปริมาณน้ํา 46,348 ล้าน ลบ.ม. (56%) แบ่งเป็น แหล่งน้ําขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ํา 40,561 ล้าน ลบ.ม. (57%) ขนาดกลาง 355 แห่ง ปริมาณน้ํา 3,327 ล้าน ลบ.ม. (61%) และขนาดเล็ก 139,894 แห่ง ปริมาณน้ํา 2,460 ล้าน ลบ.ม. (48%) สําหรับอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ที่อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อย ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนนฤบดินทรจินดา 4.2 พื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ปริมาณน้ํา 10,111 ล้าน ลบ.ม. (419) โดยเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อย และ 5. สถานการณ์น้ําในแม่น้ําต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์น้ําน้อยถึงปกติ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น "นายกรัฐมนตรีความพอใจการบริหารจัดการน้ําในภาพรวมที่ผ่านมา และขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถจัดสรรน้ําได้อย่างเพียงพอ เน้นย้ําให้ช่วยเหลือต่อเนื่องให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากภัยแล้งน้อยที่สุด พร้อมกับขอให้ทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนแผนรับมือฤดูฝน ตาม 13 มาตรการที่กําหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม" โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจำกระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์ฯ
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์ฯ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 (แรม 11 ค่ํา เดือน 8) เวลา 10.19 น. ที่พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” เพื่อนําไปประดิษฐาน ณ ศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ และพิธีเททองหล่อวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร โดยพระคณาจารย์ ประกอบด้วย พระมงคลวโรปการ (หลวงพ่อชํานาญ) วัดชินวราราม จ.ปทุมธานี พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม พระมงคลกิจโกศล (หลวงปู่ฤๅษีตาไฟ) วัดเทพหิรัญย์ จ.ชัยนาท พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม นั่งปรกอธิษฐานจิตร่วมในพิธี มี พระมหาเถระ พระเถระ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร พระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม วรมหาวิหาร เมตตาร่วมพิธี โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารฝ่ายข้าราชการการเมือง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คุณธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ กรรมการที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกในพระดําริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี โดยเมื่อเวลา 09.09 น. เป็นพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานสงฆ์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นําคณะผู้บริหารระดับสูงจุดธูปเทียนบูชาฤกษ์หน้าโต๊ะเครื่องบวงสรวง และจุดธูปปักที่เครื่องบวงสรวง พราหมณ์อ่านโองการบูชาฤกษ์อันเชิญเทวดา และประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้น ในเวลา 10.19 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีเททองหล่อพระเกศพระพุทธมุนีศรีประชานาถ และวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยทรงเจิมอักขระแผ่นทอง เงิน นาก แล้วหย่อนแผ่นทอง เงิน นาก ลงในช้อน เทลงในแบบ แล้วจับด้านสายสิญจน์ประกอบพิธีเททอง และประพรมน้ําพระพุทธมนต์เป็นสิริมงคล ผู้ร่วมพิธีกรวดน้ํา รับพร เป็นอันเสร็จพิธี ประกอบพิธีเททอง ทั้งนี้ ในช่วงก่อนประกอบพิธี ท้องฟ้า สภาพอากาศมีความแปรปรวน มืดครึ้ม แต่เมื่อถึงฤกษ์มงคลพิธี เกิดสิ่งอัศจรรย์ที่เมฆหมอกที่มืดครึ้มกลับสลายกลายเป็นแสงแดดแผดจ้า อันเป็นยามมงคลที่เหล่าเทวดาฟ้าดินต่างมาอํานวยอวยชัยอนุโมทนาบุญ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งจิตตั้งใจประกอบคุณงามความดีด้วยบริสุทธิ์ให้แก่ประเทศชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และในเวลา 10.30 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวการจัดสร้างวัตถุมงคล เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยกล่าวว่า นับเป็นพระเมตตาอย่างสูงที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมตตาประทานมงคลนามพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยว่า “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” ซึ่งมีความหมายที่ย้ําเตือนใจให้ชาวมหาดไทยและพุทธศาสนิกชนได้น้อมบูชาสาธุการว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่งอันนํามาซึ่งความเจริญของปวงประชา” โดยการสร้างพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้มีที่มา 3 ประการ อันได้แก่ 1) ในวาระอันเป็นมงคลที่กระทรวงมหาดไทยได้รับการสถาปนาครบ 130 ปี 2) นับตั้งแต่การสถาปนากระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2435 ยังไม่เคยมีการสร้างพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และ 3) พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยที่จัดสร้างในครั้งนี้ มีขนาดหน้าตัก 32 นิ้วซึ่งเท่ากับอาการ 32 ประการของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และจะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นมงคลแก่ศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ถนนเจริญนคร เขตคลองสาน ซึ่งตั้งอยู่ข้างวัดเศวตฉัตรวรวิหาร ทั้งนี้เมื่อศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่แล้วเสร็จ จะเป็นที่ตั้งของสํานักงานรัฐมนตรี สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรมการพัฒนาชุมชน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยสําหรับที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบันนั้น จะมีการปรับอาคารที่เป็นอาคารสมัยใหม่ที่มีความสูงที่บดบังทัศนียภาพของโบราณสถานที่เป็นที่ตั้งศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร อันเป็นวัดประจํารัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เปลี่ยนเป็นพื้นที่สวนหย่อม สร้างความร่มรื่น และซึมซับความสวยงามทางสถาปัตยกรรมสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ให้กับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และยังเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระบรมวงศานุวงศ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์อีกด้วย โดยพิธีที่จัดขึ้นในวันนี้ นับเป็นมิ่งมงคลที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาเป็นองค์ประธาน การเททองหล่อพระพุทธรูปประจํากระทรวง ในส่วนที่เป็นพระเกศ และทรงอธิษฐานจิตทองชนวน เงินชนวน สําหรับนําไปเป็นเชื้อมวลสารในการจัดทําเหรียญพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และราชสีห์อันเป็นสัญลักษณ์ประจํากระทรวงมหาดไทย และได้รับเมตตาจากพระเกจิอาจารย์ร่วมนั่งปรกอธิษฐาน “สําหรับพิธีพุทธาภิเษก จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 (วันที่ 9 เดือน 9) ณ บริเวณลาน กระทรวงมหาดไทย โดยได้รับเมตตาจากพระครูวิศิษฏ์พิทยาคม (วราห์ ปุญญวโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิทอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระคณาจารย์ นั่งปรกอธิษฐานจิตอีก 8 รูป อาทิ พระมงคลวโรปการ (หลวงพ่อชํานาญ) วัดชินวราราม จ.ปทุมธานี พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม พระมงคลกิจโกศล (หลวงปู่ฤๅษีตาไฟ) วัดเทพหิรัญย์ จ.ชัยนาท พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า และเนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลที่ เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงเจริญพระชันษาครบ 8 รอบ 96 พรรษา ในปี 2566 ทรงประทานพระอนุญาตให้จัดสร้างสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ตั้งอยู่ ณ คลอง 9 ต.ลําลูกกา อ.ลําลูกกา จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ 172 ไร่ โดยได้รับบริจาคที่ดินจากคุณธัญรัศมิ์ นันธนวัฒน์ และครอบครัว เพื่อเป็น “รมณียสถาน” หรือสถานที่อันรื่นรมย์ เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม รองรับคณะสงฆ์ สามเณร และศรัทธาพุทธศาสนิกชน ที่มีความต้องการที่จะไปฝึกปฏิบัติธรรมตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงกับคณาจารย์และพระอาจารย์ที่จะเมตตาไปดูแลจัดการอบรม โดยได้มีการออกแบบพื้นที่เป็น 3 ส่วน ที่มุ่งเน้นการก่อเกิดประโยชน์ให้กับพุทธศาสนิกชนอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) เป็นสถานที่สําหรับผู้ปฏิบัติธรรม อันประกอบด้วย ศาลาปฏิบัติธรรม โรงทาน สถานพยาบาล และอาคารที่พักของพระสงฆ์ สามเณร และผู้ปฏิบัติธรรมลักษณะค้างคืน 2) ปรับพื้นที่ในการสนองแนวพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา และต่อยอด” แนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โดยดําริเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ และ 3) พื้นที่ต้นแบบ “เกษตรสมัยใหม่ที่ยั่งยืน” โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ “ในโอกาสที่กระทรวงมหาดไทยได้รับการสถาปนาครบ 130 ปี จึงได้ร่วมเป็นเจ้าภาพการก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ 4 ชั้น เพื่อใช้เป็นที่พักของพระภิกษุ สามเณร สามารถรองรับพระภิกษุสามเณร จํานวน 100 รูป โดยประมาณการค่าวัสดุ ค่าก่อสร้าง ไว้ที่ 50 ล้านบาท ซึ่งพี่น้องศรัทธาสาธุชน สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ ด้วยการเช่าบูชาพระพุทธรูปประจํากระทรวงจําลอง และวัตถุมงคลราชสีห์ จํานวน 6 รายการ เป็นจํานวน 52,340 องค์ ได้แก่ 1) ราชสีห์ทองคํา จัดสร้าง 260 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 90,000 บาท 2) ราชสีห์เงิน จัดสร้าง 2,565 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 5,000 บาท 3) ราชสีห์รมดํา จัดสร้าง 25,650 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 500 บาท 4) ราชสีห์ใหญ่โลหะพิเศษ ขนาด 4 นิ้ว จัดสร้าง 2,565 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 10,000 บาท 5) พระพุทธมุนีศรีประชานาถ พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยจําลอง ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว จัดสร้าง 1,300 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 13,000 บาท และ 6) เหรียญพระพุทธมุนีศรีประชานาถ และราชสีห์ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย ขนาดเหรียญ 2.4 เซนติเมตร จัดสร้าง 20,000 เหรียญ สําหรับผู้บริจาคเงิน 130 บาท ทั้งนี้ สําหรับผู้สนใจวัตถุมงคล “ราชสีห์ทองคํา” สามารถร่วมบริจาคได้ที่ Line Official “ราชสีห์ 130 ปี มท.” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือติดต่อสํานักงานที่ดินจังหวัด สํานักงานที่ดินจังหวัดสาขาทั่วประเทศ และสําหรับวัตถุมงคลรายการอื่น ๆ ร่วมบริจาคผ่านไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ที่ ww.jubjaai.com ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป และจะจัดส่งวัตถุมงคลได้ในช่วงประมาณเดือนกันยายน 2565 ผ่านทางไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น แบบด่วนพิเศษ (EMS) เพื่อให้ผู้สั่งจองสามารถทราบข้อมูลในการสั่งจองและสามารถติดตามสถานการณ์จัดส่งสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง อํานวยความสะดวกแก่ผู้ที่สั่งจอง โดยที่ไม่ต้องเดินทางมารับด้วยตนเอง และมีการประกันภัยกรณีวัตถุมงคลสูญหาย หรือเสียหายอันเกิดจากการจัดส่ง” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนท่านผู้มีศรัทธาและสาธุชนทุกท่าน ร่วมอนุโมทนาบริจาคเงินบูชาวัตถุมงคลในวาระ 130 ปี การสถาปนากระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอขอบคุณ ท่านนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน และท่านณรงค์ สืบตระกูล ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมที่ดิน รวมถึงคณะทํางานจัดสร้างทุกท่าน ที่ได้เป็นกําลังสําคัญในการริเริ่มมงคลกุศลอันเป็นการเสริมสร้างพลังแห่งกตเวทิตาคุณของชาวมหาดไทยและพุทธศาสนิกชน ในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันหลักของชาติ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความผาสุกของพี่น้องประชาชน ให้เกิดความสถาวร อันเป็นปณิธานที่มุ่งมั่นของคนมหาดไทย สืบมาตลอดระยะเวลา 130 ปี “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” และมุ่งมั่นสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็นคุณประโยชน์ตลอดไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจำกระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์ฯ วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์ฯ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานสงฆ์ พิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565 (แรม 11 ค่ํา เดือน 8) เวลา 10.19 น. ที่พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระเกศ “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” เพื่อนําไปประดิษฐาน ณ ศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ และพิธีเททองหล่อวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร โดยพระคณาจารย์ ประกอบด้วย พระมงคลวโรปการ (หลวงพ่อชํานาญ) วัดชินวราราม จ.ปทุมธานี พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม พระมงคลกิจโกศล (หลวงปู่ฤๅษีตาไฟ) วัดเทพหิรัญย์ จ.ชัยนาท พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม นั่งปรกอธิษฐานจิตร่วมในพิธี มี พระมหาเถระ พระเถระ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร พระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม วรมหาวิหาร เมตตาร่วมพิธี โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารฝ่ายข้าราชการการเมือง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คุณธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ กรรมการที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุกในพระดําริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี โดยเมื่อเวลา 09.09 น. เป็นพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานสงฆ์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นําคณะผู้บริหารระดับสูงจุดธูปเทียนบูชาฤกษ์หน้าโต๊ะเครื่องบวงสรวง และจุดธูปปักที่เครื่องบวงสรวง พราหมณ์อ่านโองการบูชาฤกษ์อันเชิญเทวดา และประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้น ในเวลา 10.19 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีเททองหล่อพระเกศพระพุทธมุนีศรีประชานาถ และวัตถุมงคลราชสีห์กระทรวงมหาดไทย เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยทรงเจิมอักขระแผ่นทอง เงิน นาก แล้วหย่อนแผ่นทอง เงิน นาก ลงในช้อน เทลงในแบบ แล้วจับด้านสายสิญจน์ประกอบพิธีเททอง และประพรมน้ําพระพุทธมนต์เป็นสิริมงคล ผู้ร่วมพิธีกรวดน้ํา รับพร เป็นอันเสร็จพิธี ประกอบพิธีเททอง ทั้งนี้ ในช่วงก่อนประกอบพิธี ท้องฟ้า สภาพอากาศมีความแปรปรวน มืดครึ้ม แต่เมื่อถึงฤกษ์มงคลพิธี เกิดสิ่งอัศจรรย์ที่เมฆหมอกที่มืดครึ้มกลับสลายกลายเป็นแสงแดดแผดจ้า อันเป็นยามมงคลที่เหล่าเทวดาฟ้าดินต่างมาอํานวยอวยชัยอนุโมทนาบุญ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งจิตตั้งใจประกอบคุณงามความดีด้วยบริสุทธิ์ให้แก่ประเทศชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และในเวลา 10.30 น. นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวการจัดสร้างวัตถุมงคล เนื่องในโอกาสการสถาปนากระทรวงมหาดไทย ครบ 130 ปี โดยกล่าวว่า นับเป็นพระเมตตาอย่างสูงที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมตตาประทานมงคลนามพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยว่า “พระพุทธมุนีศรีประชานาถ” ซึ่งมีความหมายที่ย้ําเตือนใจให้ชาวมหาดไทยและพุทธศาสนิกชนได้น้อมบูชาสาธุการว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่งอันนํามาซึ่งความเจริญของปวงประชา” โดยการสร้างพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้มีที่มา 3 ประการ อันได้แก่ 1) ในวาระอันเป็นมงคลที่กระทรวงมหาดไทยได้รับการสถาปนาครบ 130 ปี 2) นับตั้งแต่การสถาปนากระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2435 ยังไม่เคยมีการสร้างพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และ 3) พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยที่จัดสร้างในครั้งนี้ มีขนาดหน้าตัก 32 นิ้วซึ่งเท่ากับอาการ 32 ประการของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และจะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นมงคลแก่ศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ ถนนเจริญนคร เขตคลองสาน ซึ่งตั้งอยู่ข้างวัดเศวตฉัตรวรวิหาร ทั้งนี้เมื่อศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่แล้วเสร็จ จะเป็นที่ตั้งของสํานักงานรัฐมนตรี สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรมการพัฒนาชุมชน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยสําหรับที่ตั้งกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบันนั้น จะมีการปรับอาคารที่เป็นอาคารสมัยใหม่ที่มีความสูงที่บดบังทัศนียภาพของโบราณสถานที่เป็นที่ตั้งศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร อันเป็นวัดประจํารัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เปลี่ยนเป็นพื้นที่สวนหย่อม สร้างความร่มรื่น และซึมซับความสวยงามทางสถาปัตยกรรมสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ให้กับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และยังเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่พระบรมวงศานุวงศ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์อีกด้วย โดยพิธีที่จัดขึ้นในวันนี้ นับเป็นมิ่งมงคลที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาเป็นองค์ประธาน การเททองหล่อพระพุทธรูปประจํากระทรวง ในส่วนที่เป็นพระเกศ และทรงอธิษฐานจิตทองชนวน เงินชนวน สําหรับนําไปเป็นเชื้อมวลสารในการจัดทําเหรียญพระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทย และราชสีห์อันเป็นสัญลักษณ์ประจํากระทรวงมหาดไทย และได้รับเมตตาจากพระเกจิอาจารย์ร่วมนั่งปรกอธิษฐาน “สําหรับพิธีพุทธาภิเษก จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 (วันที่ 9 เดือน 9) ณ บริเวณลาน กระทรวงมหาดไทย โดยได้รับเมตตาจากพระครูวิศิษฏ์พิทยาคม (วราห์ ปุญญวโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิทอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระคณาจารย์ นั่งปรกอธิษฐานจิตอีก 8 รูป อาทิ พระมงคลวโรปการ (หลวงพ่อชํานาญ) วัดชินวราราม จ.ปทุมธานี พระครูยติธรรมานุยุต (หลวงพ่อแป๊ะ) วัดสว่างอารมณ์ จ.นครปฐม พระมงคลกิจโกศล (หลวงปู่ฤๅษีตาไฟ) วัดเทพหิรัญย์ จ.ชัยนาท พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (หลวงพ่ออิฏฐ์) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงต้น นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่ออีกว่า และเนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลที่ เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะทรงเจริญพระชันษาครบ 8 รอบ 96 พรรษา ในปี 2566 ทรงประทานพระอนุญาตให้จัดสร้างสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ตั้งอยู่ ณ คลอง 9 ต.ลําลูกกา อ.ลําลูกกา จ.ปทุมธานี บนพื้นที่ 172 ไร่ โดยได้รับบริจาคที่ดินจากคุณธัญรัศมิ์ นันธนวัฒน์ และครอบครัว เพื่อเป็น “รมณียสถาน” หรือสถานที่อันรื่นรมย์ เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม รองรับคณะสงฆ์ สามเณร และศรัทธาพุทธศาสนิกชน ที่มีความต้องการที่จะไปฝึกปฏิบัติธรรมตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงกับคณาจารย์และพระอาจารย์ที่จะเมตตาไปดูแลจัดการอบรม โดยได้มีการออกแบบพื้นที่เป็น 3 ส่วน ที่มุ่งเน้นการก่อเกิดประโยชน์ให้กับพุทธศาสนิกชนอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) เป็นสถานที่สําหรับผู้ปฏิบัติธรรม อันประกอบด้วย ศาลาปฏิบัติธรรม โรงทาน สถานพยาบาล และอาคารที่พักของพระสงฆ์ สามเณร และผู้ปฏิบัติธรรมลักษณะค้างคืน 2) ปรับพื้นที่ในการสนองแนวพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “สืบสาน รักษา และต่อยอด” แนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา โดยดําริเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ และ 3) พื้นที่ต้นแบบ “เกษตรสมัยใหม่ที่ยั่งยืน” โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ “ในโอกาสที่กระทรวงมหาดไทยได้รับการสถาปนาครบ 130 ปี จึงได้ร่วมเป็นเจ้าภาพการก่อสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ 4 ชั้น เพื่อใช้เป็นที่พักของพระภิกษุ สามเณร สามารถรองรับพระภิกษุสามเณร จํานวน 100 รูป โดยประมาณการค่าวัสดุ ค่าก่อสร้าง ไว้ที่ 50 ล้านบาท ซึ่งพี่น้องศรัทธาสาธุชน สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ ด้วยการเช่าบูชาพระพุทธรูปประจํากระทรวงจําลอง และวัตถุมงคลราชสีห์ จํานวน 6 รายการ เป็นจํานวน 52,340 องค์ ได้แก่ 1) ราชสีห์ทองคํา จัดสร้าง 260 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 90,000 บาท 2) ราชสีห์เงิน จัดสร้าง 2,565 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 5,000 บาท 3) ราชสีห์รมดํา จัดสร้าง 25,650 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 500 บาท 4) ราชสีห์ใหญ่โลหะพิเศษ ขนาด 4 นิ้ว จัดสร้าง 2,565 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 10,000 บาท 5) พระพุทธมุนีศรีประชานาถ พระพุทธรูปประจํากระทรวงมหาดไทยจําลอง ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว จัดสร้าง 1,300 องค์ สําหรับผู้บริจาคเงิน 13,000 บาท และ 6) เหรียญพระพุทธมุนีศรีประชานาถ และราชสีห์ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย ขนาดเหรียญ 2.4 เซนติเมตร จัดสร้าง 20,000 เหรียญ สําหรับผู้บริจาคเงิน 130 บาท ทั้งนี้ สําหรับผู้สนใจวัตถุมงคล “ราชสีห์ทองคํา” สามารถร่วมบริจาคได้ที่ Line Official “ราชสีห์ 130 ปี มท.” ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือติดต่อสํานักงานที่ดินจังหวัด สํานักงานที่ดินจังหวัดสาขาทั่วประเทศ และสําหรับวัตถุมงคลรายการอื่น ๆ ร่วมบริจาคผ่านไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น ที่ ww.jubjaai.com ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป และจะจัดส่งวัตถุมงคลได้ในช่วงประมาณเดือนกันยายน 2565 ผ่านทางไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น แบบด่วนพิเศษ (EMS) เพื่อให้ผู้สั่งจองสามารถทราบข้อมูลในการสั่งจองและสามารถติดตามสถานการณ์จัดส่งสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง อํานวยความสะดวกแก่ผู้ที่สั่งจอง โดยที่ไม่ต้องเดินทางมารับด้วยตนเอง และมีการประกันภัยกรณีวัตถุมงคลสูญหาย หรือเสียหายอันเกิดจากการจัดส่ง” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนท่านผู้มีศรัทธาและสาธุชนทุกท่าน ร่วมอนุโมทนาบริจาคเงินบูชาวัตถุมงคลในวาระ 130 ปี การสถาปนากระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอขอบคุณ ท่านนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน และท่านณรงค์ สืบตระกูล ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมที่ดิน รวมถึงคณะทํางานจัดสร้างทุกท่าน ที่ได้เป็นกําลังสําคัญในการริเริ่มมงคลกุศลอันเป็นการเสริมสร้างพลังแห่งกตเวทิตาคุณของชาวมหาดไทยและพุทธศาสนิกชน ในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันหลักของชาติ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความผาสุกของพี่น้องประชาชน ให้เกิดความสถาวร อันเป็นปณิธานที่มุ่งมั่นของคนมหาดไทย สืบมาตลอดระยะเวลา 130 ปี “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” และมุ่งมั่นสร้างสรรค์กิจกรรมอันเป็นคุณประโยชน์ตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่า! ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเท็จ @ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 อย่า! ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเท็จ @ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ .... หลังจากที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เปิดระบบการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผ่านเครือข่ายมือถือทั้ง 4 ค่าย ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น . ขณะนี้ ระบบได้ตรวจพบการแจ้ง "ข้อมูลเท็จ" จากการลงทะเบียนเป็นจํานวนมากพอสมควร แม้จะทําการจองได้สําเร็จแล้ว แต่จะไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ได้ เนื่องจากต้องเร่งฉีดให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือ 60 ปีขึ้นไป . โดยผู้สูงอายุที่ได้คิวฉีดวัคซีนจะได้รับ SMS และ QR CODE ที่มี "สัญลักษณ์พิเศษ" เพื่อบ่งบอกว่าเป็นการจองคิวฉีดรอบผู้สุงอายุมากกว่า 60 ปี #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย่า! ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเท็จ @ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 อย่า! ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเท็จ @ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ .... หลังจากที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ เปิดระบบการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผ่านเครือข่ายมือถือทั้ง 4 ค่าย ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น . ขณะนี้ ระบบได้ตรวจพบการแจ้ง "ข้อมูลเท็จ" จากการลงทะเบียนเป็นจํานวนมากพอสมควร แม้จะทําการจองได้สําเร็จแล้ว แต่จะไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ได้ เนื่องจากต้องเร่งฉีดให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือ 60 ปีขึ้นไป . โดยผู้สูงอายุที่ได้คิวฉีดวัคซีนจะได้รับ SMS และ QR CODE ที่มี "สัญลักษณ์พิเศษ" เพื่อบ่งบอกว่าเป็นการจองคิวฉีดรอบผู้สุงอายุมากกว่า 60 ปี #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43894